Professional Documents
Culture Documents
ภาควิชาเกษตรกลวิธาน
คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร
คํานํา
รศ.ดร.บัญญัติ เศรษฐฐิติ
ภาควิชาเกษตรกลวิธาน
คณะเกษตร
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร
สารบัญ
บทที่ หนา
1 รถแทรกเตอร 1
บทนํา 2
ลักษณะทั่วไป 2
ประเภทของรถแทรกเตอร 3
สวนประกอบและการทํางาน 5
เครื่องยนตตน กําลัง 6
เครื่องยนตดีเซล 7
การใชน้ํามันไบโอดีเซลทดแทนน้ํามันดีเซล 9
เครื่องยนตดีเซล 4 จังหวะ 11
เครื่องยนตดีเซล 2 จังหวะ 13
ระบบถายทอดกําลัง 21
ลอ 26
ระบบบังคับเลีย้ ว 28
ระบบเบรก 28
ระบบไฮดรอลิค 30
ระบบพวงอุปกรณ 32
การบํารุงรักษา 34
การขับรถแทรกเตอรและการติดเครื่องจักรกลการเกษตร 37
2 เครื่องมือเตรียมดิน 40
บทนํา 41
ไถ 42
ไถหัวหมู 45
ไถบุกเบิก 52
วิธีการไถ 59
จอบหมุน 68
พรวนจาน 74
เครื่องมือประเภทซี่ 78
ไถดินดาน 79
ไถสิ่ว 80
คราดซี่ 82
พรวนซี่ 82
สารบัญ(ตอ)
พรวนสปริง 83
เครื่องมือยกรอง 84
3 เครื่องปลูก 87
บทนํา 88
เครื่องปลูกที่ใชเมล็ด 89
เครื่องหยอดเมล็ดและเครื่องโรยเมล็ด 89
เครื่องพนหวานเมล็ด 99
เครื่องปลูกที่ใชตนกลา 102
เครื่องดํานา 102
เครื่องดํานาใชแรงคน 102
เครื่องดํานาใชเครื่องยนตแบบเดินตาม 103
รถดํานา หรือเครื่องดํานาใชเครื่องยนตแบบนั่งขับ 105
การเตรียมกลาแผนเพื่อใชกบั เครื่องดํานา 109
เครื่องปลูกที่ใชทอนพันธุ 114
เครื่องปลูกออย 114
4 เครื่องพนสารเคมีปองกันกําจัดศัตรูพืช 119
บทนํา 120
เครื่องพนสารเคมีที่เปนของเหลว 122
เครื่องพนสารเคมีแบบแรงดันน้ํา 123
เครื่องพนสารเคมีแบบสูบชัก 123
เครื่องพนสารเคมีแบบสะพาย 124
เครื่องพนสารเคมีชนิดสูบโยก 126
เครื่องพนสารเคมีชนิดติดรถแทรกเตอร 127
เครื่องพนสารเคมีแบบลมพา 138
เครื่องพนสารเคมีแบบแรงดันลม 144
เครื่องพนสารเคมีแบบแรงเหวี่ยงหนีศูนย 145
เครื่องพนสารเคมีแบบหมอก 147
เครื่องพนสารเคมีที่เปนผง 149
เครื่องพนสารเคมีที่เปนเม็ด 150
5 เครื่องมือเก็บเกี่ยวพืชอาหารสัตว 151
บทนํา 152
เครื่องตัดหญา 155
สารบัญ(ตอ)
เครื่องตัดหญาแบบใบมีดเคลื่อนที่ไปมา 155
เครื่องตัดหญาแบบดรัม 158
เครื่องตัดหญาแบบมัลติดิส 159
เครื่องตัดหญาแบบหมุนเหวี่ยงแนวนอน 160
เครื่องตัดหญาแบบหมุนเหวี่ยงแนวตั้ง 162
เครื่องบีบขอและลําตนหญา 163
เครื่องบีบขอและลําตน 164
เครื่องตัด บีบขอและลําตน 165
เครื่องคราดหญา 166
เครื่องคราดแบบหมุนเหวี่ยง 167
เครื่องคราดแบบหมุนเหวี่ยงชนิดแกนหมุน 1 แกน 167
เครื่องคราดแบบหมุนเหวี่ยงชนิดแกนหมุน 4 แกน 168
เครื่องคราดแบบวงลอ 168
เครื่องอัดฟอนหญา 169
เครื่องอัดฟอนหญาแบบสี่เหลี่ยม 169
เครื่องอัดฟอนหญาแบบกลม 172
6 เครื่องใสปุย 175
บทนํา 176
เครื่องหวานปุย คอก 178
เครื่องใสปุยเม็ด 178
เครื่องหวานปุย เม็ด 179
เครื่องโรยปุย 181
เครื่องโรยปุยเปนแถว 181
เครื่องโรยปุยหนาดิน 182
7 เครื่องเกี่ยวนวดขาว 184
บทนํา 185
การเกี่ยวขาว 185
การเกี่ยวขาวโดยใชแรงคน 186
การเกี่ยวขาวโดยใชเครื่องเกี่ยว 186
เครื่องเกี่ยววางราย 187
เครื่องเกี่ยวมัดฟอน 189
การนวดขาว 190
สารบัญ(ตอ)
การนวดขาวโดยใชแรงคน 191
การนวดขาวโดยใชแรงงานสัตว 191
การนวดขาวโดยใชรถไถเดินตาม หรือรถแทรกเตอร 191
การนวดขาวโดยใชเครื่องนวดขาวแบบเทาถีบ 192
การนวดขาวโดยใชเครื่องนวดขาวแบบนวดตามแกนลูกนวด 192
การนวดขาวโดยใชเครื่องปลิดเมล็ดขาว 194
การทําความสะอาด 195
เครื่องเกี่ยวนวดขาว 196
เครื่องเกี่ยวนวดขาวของประเทศตะวันตก 198
เครื่องเกี่ยวนวดขาวของญี่ปุน 199
เครื่องเกี่ยวนวดที่พัฒนาในประเทศไทย 203
8 การจัดการเครื่องจักรกลการเกษตร 212
ความสามารถของเครื่องจักรกลการเกษตร 213
ความสามารถในการทํางานเชิงทฤษฎี 213
ความสามารถในการทํางานเชิงพื้นที่ 214
ประสิทธิภาพการทํางานในพื้นที่ของเครือ่ งจักรกลการเกษตร 215
ขนาดของเครือ่ งจักรกลการเกษตร 216
กําลังของเครือ่ งจักรกลการเกษตร 217
ตนทุนของการใชเครื่องจักรกลการเกษตร 218
ตนทุนคงที่ 218
ตนทุนผันแปร 219
9 ความปลอดภัยในไรนา 223
ความปลอดภัยเมื่อใชรถแทรกเตอรและเครื่องจักรกลการเกษตร 224
ความปลอดภัยเมื่อใชสารเคมี 226
สารบัญรูป
รูปที่ หนา
1.1 การสงกําลังของรถแทรกเตอรที่ใชในการเกษตร. 2
1.2 การแบงประเภทของรถแทรกเตอร 3
1.3 รถแทรกเตอรตีนตะขาบ 4
1.4 รถแทรกเตอรลอยาง 4
1.5 รถไถเดินตาม 5
1.6 สวนประกอบของรถแทรกเตอร 5
1.7 สวนประกอบของเครื่องยนต 6
1.8 การทํางานของเครื่องยนตดีเซล 4 จังหวะ 12
1.9 การทํางานของเครื่องยนตดีเซล 2 จังหวะ 14
1.10 การระบายความรอนดวยอากาศ 16
1.11 การระบายความรอนดวยของเหลว (น้ํา) 16
1.12 ระบบวิดสาด 18
1.13 ระบบใชแรงฉีด 18
1.14 ระบบวงจรปมหัวฉีด 19
1.15 หมอกรองอากาศ 21
1.16 ระบบถายทอดกําลังของแทรกเตอร 22
1.17 คลัชแบบตางๆ 23
1.18 ระบบเกียรแบบเลื่อนขบ 24
1.19 ระบบเกียรขบอยูกับที่ 24
1.20 ลักษณะและสวนประกอบของเฟองทายและเฟองขับลอ 25
1.21 กลไกการทํางานของเพลาอํานวยกําลัง 26
1.22 ลักษณะและสวนประกอบของยาง 27
1.23 กลไกการทํางานของระบบบังคับเลี้ยว 28
1.24 เบรกชนิดขยายออก 29
1.25 เบรกชนิดรัดเขา 29
1.26 เบรกชนิดแผน 30
1.27 ระบบควบคุมตําแหนง 31
1.28 ระบบควบคุมแรงลาก 32
1.29 คานลากแบบตางๆ 33
1.30 ระบบพวงอุปกรณแบบติดกับรถแทรกเตอร 33
สารบัญรูป(ตอ)
2.30 ลักษณะของใบมีด 70
2.31 แนวระดับของจอบหมุน 71
2.32 แนวระดับของจอบหมุนเมื่อมองจากดานขาง 72
2.33 การจัดเรียงใบมีดตามลักษณะงาน 72
2.34 วิธีการเตรียมดินดวยจอบหมุนในลักษณะตางๆ 73
2.35 พรวนจาน 74
2.36 พรวนจานแบบทํางานครั้งเดียว 75
2.37 พรวนจานแบบทํางานสองครั้ง 76
2.38 พรวนจานชุดที่ 2 ผลักดินกลับไปแนวเดิม 76
2.39 จานพรวนแบบเยื้องขาง 77
2.40 จานพรวนแบบขอบหยัก 78
2.41 เครื่องมือประเภทซี่ 78
2.42 ผลที่ไดจากการไถดินดาน 79
2.43 ลักษณะของไถดินดาน 80
2.44 ลักษณะของไถสิ่ว 80
2.45 ลักษณะการแตกตัวของดินเมื่อใชไถสิว่ 81
2.46 แสดงการแยกตัวของดินเมื่อใชหัวเจาะ 2 แบบ 81
2.47 คราดซี่แบบตางๆ 82
2.48 หัวเจาะของคราดซี่แบบตางๆ 82
2.49 พรวนซี่แบบตางๆ 83
2.50 พรวนสปริง 83
2.51 เครื่องมือยกรอง ก) แบบปกนูน ข) แบบปกเวา ค) แบบจาน 85
3.1 ลักษณะการปลูกพืช 88
3.2 แผนผังแสดงประเภทและชนิดของเครื่องปลูก 89
3.3 เครื่องปลูก 90
3.4 จานจับเมล็ด 90
3.5 จานจับเมล็ดแบบตางๆ 92
3.6 หลักการทํางานของเครื่องปลูกที่มีจานจับเมล็ดแบบลูกกลิ้งเฟอง 93
3.7 หลักการทํางานของเครื่องปลูกที่มีจานจับเมล็ดแบบลูกกลิ้งเปนปุม 93
3.8 ชนิดของทอสงเมล็ด 94
3.9 อุปกรณเบิกรองชนิดตางๆ 94
3.10 ลอกลบดิน 95
สารบัญรูป(ตอ)
3.11 การขับจานจับเมล็ด 97
3.12 การใชอุปกรณขีดแนว 99
3.13 เครื่องพนหวานเมล็ดขาวงอก 100
3.14 เครื่องดํานาใชแรงคนชนิดใชกับตนกลาเปนแผน 103
3.15 ภาพตัดขวางของเครื่องดํานาใชแรงคนชนิดใชกับตนกลาเปนแผน 103
3.16 เครื่องดํานาใชเครื่องยนตชนิดใชกับกลาแผน 104
3.17 แสดงการทํางานของชุดสอมปกดํา 105
3.18 เครื่องดํานาใชเครื่องยนตแบบนั่งขับชนิดใชกับตนกลาลางราก 106
3.19 เครื่องดํานาใชเครื่องยนตแบบนั่งขับชนิดใชกับตนกลาแผน 106
3.20 ดานหลังของเครื่องดํานา 107
3.21 การทํางานของชุดสอมปกดํา 107
3.22 แผนกลาที่ใชกับเครื่องดํานา 110
3.23 เครื่องเพาะแผนกลา 111
3.24 กระบะเพาะกลา 111
3.25 แสดงลักษณะและขนาดของแปลงกลา 113
3.26 ภาพขยายแปลงเตรียมกลาแผน 113
3.27 ลักษณะของแปลงกลาทีเ่ พาะในแปลงนา 114
3.28 เครื่องปลูกออย 116
3.29 ระบบตัดตนออย 117
4.1 แผนผังการแบงประเภทของเครื่องพนสารเคมี 121
4.2 เครื่องพนสารเคมีแบบสูบชัก 124
4.3 สวนประกอบและการทํางานของเครื่องพนสารเคมีชนิดอัดลม 126
4.4 สวนประกอบและการทํางานของเครื่องพนสารเคมีชนิดสูบโยก 126
4.5 เครื่องพนสารเคมีชนิดติดรถแทรกเตอร 127
4.6 กลไกกวนน้ํายาเคมี 128
4.7 ปมลูกสูบ 128
4.8 ปมหอยโขง 129
4.9 ปมเกียร 129
4.10 ปมลูกกลิ้ง 129
4.11 กราฟเปรียบเทียบอัตราการไหลและความดันระหวางปม 3 แบบ 130
4.12 ปมไดอะแฟรม 130
4.13 ลิ้นปรับความดัน 131
สารบัญรูป(ตอ)
ตารางที่ หนา
บทที่ 1 รถแทรกเตอร
(Tractor)
2
บทนํา
รถแทรกเตอร (รูปที่ 1.1) คือ ยานพาหนะชนิดพิเศษทีส่ ามารถสงกําลังออกไปยัง
อุปกรณหรือเครื่องจักรกลที่ใชในการเกษตร เชน ไถหัวหมู ไถกระทะ ไถดินดาน เครื่องพน
สารเคมีเพื่อทําใหการปฏิบตั ิงานในการเกษตรบรรลุผลสําเร็จ
การสงผานกําลังของรถแทรกเตอรออกไปใชประโยชน สวนใหญมี 2 ทาง ดังตอไปนี้
1. ทางลอ ทําใหลอยึดแนนอยูกับดิน ขณะที่รถแทรกเตอรกําลังปฏิบตั ิงาน ทํา
ให รถแทรกเตอรดัน หรือฉุดเครื่องจักรกลการเกษตรได
2. ทางเพลาอํานวยกําลัง ทําใหรถแทรกเตอรสงกําลังออกไปขับเครื่องจักรกล
ในการเกษตรชนิดอื่นได เชน เครื่องสูบน้ํา เปนตน
ลักษณะทั่วไป
รถแทรกเตอรที่ใชในการเกษตรมีรูปรางหลายแบบ แตสวนใหญจะประกอบดวย
เครื่องยนตตน กําลัง อุปกรณพวงลากและขับหมุนเครือ่ งจักรกลการเกษตร
โดยทั่วไป รถแทรกเตอรมีลักษณะดังตอไปนี้
1. เครื่องยนตมีรอบต่ําแตมแี รงบิดสูง ทั้งนี้เพราะตองการใหเกิดแรงฉุดลากที่มี
ประสิทธิภาพในการทํางาน
2. ลอหลังใหญและหนากวาง เพื่อรับน้ําหนักที่เกิดขึ้นในขณะทํางาน นอกจากนั้นยัง
ทําให แรงเสียดทานเพิ่มขึ้น ซึ่งเปนผลใหแรงฉุดลากเพิ่มขึ้นดวย
3
ประเภทของรถแทรกเตอร
การแบงประเภทของรถแทรกเตอร (รูปที่ 1.2) ขึ้นอยูกับกําลังของเครื่องยนต ถากําลัง
ของเครื่องยนตต่ํากวา 25 แรงมา (18.65 กิโลวัตต) เรียกวารถแทรกเตอรขนาดเล็ก ถากําลัง
ของเครื่องอยูระหวาง 25 แรงมาถึง 50 แรงมา (18.65 กิโลวัตต ถึง 37.3 กิโลวัตต) เรียกวารถ
แทรกเตอรขนาดกลาง สวนรถแทรกเตอรขนาดใหญ คือรถที่มีกําลังเครื่องยนตมากกวา 50
แรงมา (37.3 กิโลวัตต) ขึ้นไป
ประเภทรถแทรกเตอร
ตีนตะขาบ ลอยาง
รถแทรกเตอรเหลานี้สวนใหญใชลอยางซึ่งปรับระยะหางได โดยอาจจะปรับใหกวาง
หรือแคบไดตามระยะหางของแถวพืชที่ปลูก
รถแทรกเตอรลอยาง (รูปที่ 1.4) แบงออกเปนแบบขับเคลื่อน 2 ลอ และแบบขับเคลื่อน
4 ลอ โดยที่แบบขับเคลื่อน 2 ลอ จะมีขนาดลอหนาเล็กกวาแบบขับเคลื่อน 4 ลอ และเปนแบบ
ที่นิยมใชกันมาก อยางไรก็ตามรถแทรกเตอรขับเคลื่อน 4 ลอจะมีแรงฉุดลาก ประสิทธิภาพ
ของการขับเคลื่อน และการเลี้ยวดีกวา เมือ่ เปรียบเทียบรถแทรกเตอร 2 คันที่มีน้ําหนักเทากัน
นอกจากนั้นยังสามารถติดตั้งเครื่องจักรกลในการเกษตรเขากับรถแทรกเตอรประเภท
นี้ได โดยติดกับแขนพวง 3 จุด (three points linkage) สวนการบังคับใหอุปกรณสูงขึ้นจาก
พื้นดิน หรือลดลงนั้น อาศัยคันบังคับของระบบไฮดรอลิค
การใชระบบไฮดรอลิคกับอุปกรณที่ติดตัง้ ไวไดประโยชนหลายประการ แตประการที่
สําคัญคือ ใหความสะดวกในการนําอุปกรณจากไรหนึ่งไปยังอีกไรหนึ่ง อีกทั้งยังทําใหการกลับ
รถบริเวณทายไรรวดเร็วขึน้ และประหยัดเนื้อที่อีกดวย
5
รถแทรกเตอรขนาดเล็กเปนรถแทรกเตอรที่มีราคาถูกและนิยมใชกันมากในฟารม
ขนาดเล็ก
รถไถเดินตาม เปนรถแทรกเตอรที่มีขนาดเล็กที่สุด แรงมาไมสูง และราคาต่ํา แต
เนื่องจากวาผูปฏิบัติงานตองเดินตามหลังเพื่อบังคับรถชนิดนี้ จึงทําใหการปฏิบตั ิงานในไรนา
ตองใชกําลังมาก
สวนประกอบและการทํางาน
รถแทรกเตอร (รูปที่ 1.6) ประกอบดวยสวนตางๆทีส่ ําคัญคือ เครื่องยนต คลัตช
กระปุกเกียร ดอกจอกและเฟองบายศรี อุปกรณบังคับเลี้ยว คานลาก แขนพวง 3 จุด ชุดเฟอง
ทดลอ ลอสายพาน เฟองทาย ลอบังคับเลีย้ ว (ลอหนา) และลอขับ
เครื่องยนตตนกําลัง
เครื่องยนตดเี ซล
เครื่องยนตดีเซล (diesel engine) เปนเครื่องยนตที่มีการเผาไหมภายในอีกประเภทหนึ่ง
ที่น้ํามันดีเซล หรือมันโซลาจะถูกผสมกับอากาศที่กําลังถูกอัดตัวอยางรุนแรง และมีความรอน
สูงภายในหองเผาไหม กลายเปนเชื้อระเบิดที่มีความรอนสูงโดยการฉีดน้ํามันที่มีความดันสูงให
เปนฝอยอยางละเอียด และรุนแรงภายกระบอกสูบ เพื่อทําใหน้ํามันกับอากาศทีม่ ีความรอนสูง
นั้นไดผสมกันอยางหมดจด จนกลายเปนเชื้อระเบิดเกิดการระเบิดขึ้นอยางรุนแรงและใหกําลัง
งานสูงในที่สุด ซึ่งจะทําใหเครื่องยนตเกิดการทํางานขึ้นตามจังหวะของการทํางานนั้นๆ ของ
เครื่องยนต เชน จังหวะดูด จังหวะอัด
โดยปกติน้ํามันดีเซลความดันต่ําจากถังจะถูกบังคับใหเคลื่อนที่ไปโดยผานกรรมวิธี
ตางๆ ของระบบสงน้ํามันเชื้อเพลิงกลายเปนน้ํามันที่สะอาดและความดันสูง เพื่อที่จะสงไปยัง
8
หัวฉีดใหฉีดออกผสมกับอากาศที่มีความรอนสูง กลายเปนเชื้อระเบิดที่รอนจนเกิดการระเบิดขึ้น
ตรงตามกําหนดเวลาอยางถูกตอง สําหรับอากาศทีถ่ ูกอัดจนมีความรอนสูงภายในกระบอกสูบ
นั้นมาจากอากาศในบรรยากาศซึ่งถูกดูดใหเคลื่อนผานเขามาทางทอทางเดินของอากาศผาน
หมอกรองอากาศ เพื่อทําใหอากาศสะอาดขึ้นและเขาสูกระบอกสูบ ถูกผสมกับน้ํามันดีเซล
ภายในหองเผาไหมในที่สุด ของเสียที่เกิดขึ้นจากการระเบิดภายในกระบอกสูบจะถูกผลักดันให
ออกจากกระบอกสูบอยางรวดเร็วตามจังหวะการทํางานของเครื่องยนตทางทอไอเสียผาน
กรรมวิธตี า งๆ และออกสูบรรยากาศภายนอก เครื่องยนตดีเซลจําแนกออกเปนเครื่องยนตหมุน
เร็ว เครื่องยนตหมุนปานกลาง และเครื่องยนตหมุนชา
เครื่องยนตดีเซลหมุนชา คือเครื่องยนตทเี่ พลาขอเหวีย่ งหมุนไมเกิน 500 รอบตอนาที
เครื่องยนตดีเซลหมุนปานกลาง เปนเครื่องยนตที่เพลาขอเหวี่ยงหมุนอยูระหวาง 500-
1000 รอบตอนาที
เครื่องยนตหมุนเร็ว หมายถึงเครื่องยนตที่เพลาขอเหวี่ยงหมุนเร็วกวา 1000 รอบตอ
นาที
คุณสมบัติของเครื่องยนตดีเซล
1. เปนเครื่องยนตที่ใชน้ํามันดีเซล หรือน้ํามันโซลาเปนเชือ้ เพลิง
2. อากาศบริสุทธิ์เทานั้นทีเ่ ขาไปภายในกระบอกสูบในจังหวะดูดของการทํางานของ
เครื่องยนต
3. ปมน้ํามันความดันสูง เปนความดันสูง เปนตัวทําใหน้ํามันเชื้อเพลิงความดันต่ํา
เปนน้ํามันความดันสูง
4. หัวฉีด เปนตัวฉีดใหน้ํามันพุงเขาไปภายในหองเผาไหมของกระบอกสูบเปนฝอย
ที่ละเอียดและรุนแรง
5. เปนเครื่องยนตที่ทําใหเกิดอัตราการอัดตัวของอากาศในกระบอกสูบ
ขอดีของเครื่องยนตดีเซล
1. เปนเครื่องยนตที่สามารถใชไดกับน้ํามันขนที่มีราคาถูกได
2. เครื่องยนตขนาดเทากัน เครื่องยนตดีเซลจะเปนเครือ่ งยนตที่ใหกาํ ลังมาที่
สูงกวา เนื่องจากเปนเครื่องที่ใหอัตราการอัดตัวของอากาศสูงกวา
3. ไมมีระบบจุดระเบิดของเครื่องยนตที่ประกอบดวยกระแสไฟฟา และมี
อุปกรณนอยชิ้น
4. การจุดระเบิดกอนเวลาหรือการชิงจุดของเชื้อระเบิดมีนอ ย และสามารถ
หลีกเลี่ยงได
5. เปนเครื่องยนตที่ใชน้ํามันเชื้อเพลิงไดอยางประหยัด และสามารถควบคุม
การใชน้ํามันไดอยางแนนอน
9
ขอเสียของเครื่องยนตดีเซล
1. เปนเครื่องยนตที่มีน้ําหนักตอกําลังมาสูง
2. เครื่องยนตมีราคาแพง เพราะตองออกแบบและสรางใหมีความแข็งแรงสูง
เนื่องจากเครื่องยนตใหกําลังมาสูง
3. การสั่นสะเทือนของเครื่องยนตสูง และมีเสียงดังมาก
4. อุปกรณในระบบน้ํามันเชื้อเพลิงของเครื่องยนตมีราคาสูง
5. เครื่องยนตติดยาก เมื่อเครื่องยนตสึกหรอหรือเครื่องยนตเสีย กําลังอัดลดลง
บาง หรือในฤดูที่อากาศหนาวเย็น
การใชน้ํามันไบโอดีเซลทดแทนน้ํามันดีเซล
ไบโอดีเซล เปนเชื้อเพลิงเหลวทีผ่ ลิตจากการนําน้ํามันพืช เชน ปาลม สบูดํา มะพราว
ทานตะวัน ถั่วเหลือง และไขมันสัตว เพื่อนํามาใชทดแทนน้ํามันดีเซล
น้ํามันไบโอดีเซลถูกนํามาทดลองใชในเครื่องยนตเปนผลสําเร็จครั้งแรกของโลก เมื่อ
วันที่ 10 สิงหาคม ค.ศ.1893 โดย "รูดอลฟ ดีเซล" (Rudolf C. Diesel : 1858 - 1913) วิศวกร
ชาวเยอรมัน ผูประดิษฐเครือ่ งยนตที่มีชื่อวา " ดีเซล " และไดจดสิทธิบตั รในปถัดมา
น้ํามันไบโอดีเซลที่มีการผลิตมีอยู 3 ประเภทดังนี้
1. ไบโอดีเซล ที่ใชน้ํามันของพืช หรือไขมันจากสัตวโดยตรง (straight vegetable oil)
เชน ใชน้ํามันมะพราว น้ํามันปาลม หรือ น้ํามันจากไขสัตว เชน น้ํามันหมู เปนตน ปอนลงไปใน
เครื่องยนตดีเซล โดยไมตองผสมหรือเติมสารเคมีอื่นใด อยางไรก็ตามสิ่งสําคัญของการใชนํา้ มัน
พืชโดยตรง คือ ตองมีการอุนน้ํามันในทุกจุดที่มีน้ํามันผานไดแก ถังน้ํามัน ทอทางเดินน้ํามัน ชุด
กรองน้ํามัน อุณหภูมิของน้ํามันที่อุนอยางนอย 70oC แนวทางในการนําน้ํามันพืชมาใชโดยตรง
เปนวิธีการที่ไดน้ํามันในราคาที่ถูกโดยเฉพาะอยางยิ่งการนําน้ํามันพืชซึ่งยังไมผานกระบวนการ
กลั่นมาใช แตการที่จะนํามาใชไดอยางเหมาะสมจําเปนตองอาศัยความรอนในการหลอมเหลว
ไขแข็ง และลดความหนืดของน้ํามัน เนื่องจากน้ํามันพืชมีความหนืดสูงกวาน้ํามันดีเซลประมาณ
11-17 เทา ทีอ่ ุณหภูมิต่ําน้ํามันพืชยิ่งมีความหนืดสูงขึ้นเปนลําดับจนเกิดเปนไข การที่น้ํามันพืช
มีความหนืดสูงกวาน้ํามันดีเซล ทําใหหัวฉีดน้ํามันฉีดน้ํามันใหเปนฝอยไดยาก เกิดเปนอุปสรรค
ตอการปอนน้ํามันเชื้อเพลิงเขาสูหองเผาไหม และเกิดการสันดาปไมสมบูรณ นอกจากนี้แลว
น้ํามันพืชมีคุณสมบัติที่ระเหยตัวกลายเปนไอไดชาและนอยมาก (slow/low volatility) ยิ่งทําให
เกิดการจุดระเบิดไดยาก เครื่องยนตติดยาก และหลงเหลือคราบเขมาเกาะที่หัวฉีด ผนังลูกสูบ
แหวนและวาลว จากคุณสมบัติที่น้ํามันพืชมีความหนืดสูงและระเหยตัวไดต่ํากวาน้ํามันดีเซลนี้
ทําใหเกิดความยุงยาก เมื่อใชน้ํามันพืชโดยตรงในเครือ่ งยนต
10
ขอแตกตางระหวางไบโอดีเซลกับน้ํามันดีเซล
1. จุดวาบไฟของน้ํามันดีเซลต่ํา ประมาณ 50 °C ในขณะที่จุดวาบไฟของน้ํามันไบโอ
ดีเซล ประมาณ 100 °C ขึ้นไป
2. น้ํามันดีเซลมีกํามะถันสูงแตน้ํามันไบโอดีเซลไมมี ผลตอการทํางานของเครื่องยนต
3. ไบโอดีเซลชวยหลอลื่นแทนกํามะถัน และลดฝุนละอองหรือควันดํา ที่เรียกวา
particulate matter ใหต่ําลง โดยไมทําใหเครื่องยนตอุดตันเพราะเผาไหมหมด
เครื่องยนตดเี ซล 2 จังหวะ
เครื่องยนต 2 จังหวะ (cycle diesel engine) เปนเครือ่ งยนตแบบงาย การทํางานและ
ชิ้นสวนตางๆ ของเครื่องยนต 2 จังหวะ มีความยุงยากนอยกวาเครือ่ งยนตแบบ 4 จังหวะ การ
นําเอาอากาศดีเขาไปในกระบอกสูบและปลอยอากาศที่เกิดจากการเผาไหมออกจากกระบอกสูบ
เกิดขึ้นโดยการเปดและปดของลูกสูบเอง เครื่องยนตชนิดนี้จึงไมจําเปนตองมีลิ้นและกลไก
เกี่ยวกับลิ้น
ลักษณะของเครื่องยนต 2 จังหวะ มีดังนี้
1. อางน้ํามันเครื่องปดสนิท แตเครื่องยนตบางแบบมีชองใหอากาศหรือไอดีเขาเพื่อ
ผานขึ้นไปในกระบอกสูบ
2. ไมมีเครื่องกลไกของลิ้น ลูกสูบจะทําหนาที่เปนลิ้นเอง
3. กระบอกสูบอยูในลักษณะตัง้ ตรง
4. มีชองไอดี (inlet port) เปนทางใหอากาศเขาไปภายในกระบอกสูบ โดยอาจจะมี
เครื่องเปาอากาศชวยเปาเขาไป
5. มีชองไอเสีย (exhaust port) เปนทางใหอากาศเสียที่เกิดจากการเผาไหมออกไป
จากกระบอกสูบ
สัดสวนความอัด
เมื่อลูกสูบอยูท ี่ตําแหนงศูนยตายลางในจังหวะดูด ภายในกระบอกสูบจะมีปริมาตรที่
บรรจุสวนผสมน้ํามัน และอากาศหรืออากาศเพียงอยางเดียว เมื่อลูกสูบเคลื่อนที่ขนึ้ ในจังหวะอัด
ปริมาตรนี้จะถูกอัดใหลดลงตรงสวนของลูกสูบ เมื่อลูกสูบเคลื่อนทีถ่ ึงจุดศูนยตายบนปริมาตรจะ
มีขนาดเล็กทีส่ ุด บริเวณทีม่ ีปริมาตรเล็กนี้ถูกเรียกวาหองเผาไหม
สัดสวนความอัด (compression ratio) คืออัตราสวนระหวางปริมาตรภายในกระบอกสูบ
เมื่อลูกสูบอยูท ี่จุดศูนยตายลางกับปริมาตรภายในกระบอกสูบ เมื่อลูกสูบอยูที่ศูนยตายบน
สัดสวนความอัดของเครื่องยนตมีความสําคัญมากเพราะมีความสัมพันธกับชนิดและ
คุณภาพของน้ํามันเชื้อเพลิงที่จะนําไปใช สําหรับเครือ่ งยนตดีเซลนั้น น้ํามันเชื้อเพลิงจะถูกฉีด
เขาไปในกระบอกสูบหลังจากที่อากาศถูกอัดแลว สัดสวนความอัดอยูระหวาง 18:1 ถึง 22:1
ระบบระบายความรอน
พลังงานความรอนถูกเปลีย่ นเปนพลังบานกลเพื่อนําไปใชงานนั้น เกิดจากการเผาไหม
ภายในเครื่องยนต ความรอนที่เกิดจากาการเผาไหมนี้มีมากแตถูกเปลี่ยนเปนพลังงานกลนอย
ความรอนสวนใหญจะสูญเสียไปโดยการถายเทความรอนไปที่เสื้อสูบ ฝาสูบ ลูกสูบ และลิ้น
ดังนั้น ถาหากชิ้นสวนตางๆ เหลานี้ไมไดรับการระบายความรอนทีด่ ี และเพียงพอแลวจะทําให
เครื่องยนตไดรับความเสียหายและกอใหเกิดอันตรายได การระบายความรอนในเครื่องยนตจึงมี
ความสําคัญเพราะถาหากวามีการระบายความรอนนอยเกินไปเครื่องยนตจะรอนมาก ชิ้นสวน
ตางๆ อาจจะชํารุดแตกเสียหาย ลูกสูบและลิ้นอาจจะไหม เครื่องยนตอาจจะเกิดการนอค และ
ระบบหลอลื่นจะทํางานไดไมดี แตถาหากมีการระบายความรอนมากเกินไป เครื่องยนตจะเย็น
ทําใหส้นิ เปลืองน้ํามันเชื้อเพลิง
15
การระบายความรอนแบงออกไดเปน 2 ระบบ
1. ระบบระบายความรอนดวยอากาศ
2. ระบบระบายความรอนดวยของเหลว
การระบายความรอนดวยอากาศ (air cooling system) สวนใหญจะใชกับเครื่องยนต
ขนาดเล็กสูบเดียว โดยการใชอากาศที่ผานเครื่องยนตเปนตัวรับความรอนทีร่ ะบายจาก
เครื่องยนต เสื้อสูบและฝาสูบจะออกแบบใหมีลักษณะเปนครีบเพื่อเพิ่มพื้นที่สําหรับการระบาย
ความรอนใหกับอากาศ โดยอาจจะมีพัดลมติดอยูตรงลอชวยแรง และมีแผนโลหะทําเปนกระบัง
ลมบังคับทิศทางลม ใหผานบริเวณตัวเครือ่ งเพื่อทําใหการระบายความรอนดีขึ้น
ระบบระบายความรอนดวยของเหลว (liquid cooling system) สวนใหญอาศัยน้ํารับ
ความรอนที่ระบายออกจากเครื่องยนตและใชอากาศรับความรอนจากน้ํา ทําใหน้ําเย็นลงแลวให
น้ําเย็นนั้นไหลกลับไปรับความรอนจากเครื่องใหม ระบบระบายความรอนดวยของเหลวนี้
สามารถควบคุมอุณหภูมิของเครื่องยนตไดดีกวา และชวยใหเครื่องยนตเย็นเร็วกวาระบบระบาย
ความรอนดวยอากาศ
ระบบระบายความรอนดวยน้ําในเครื่องยนตประกอบดวยสวนตาง ๆ ดังนี้
1. หมอน้ําหรือรังผึ้ง (radiator) ทําหนาทีถ่ ายเทความรอนจากน้ําใหอากาศดวย
การรับน้ําที่มคี วามรอนจากเสื้อสูบ และทําใหเย็นลงโดยใหอากาศที่พัดผานรับเอาความรอน
จากน้ําในหมอน้ําไป หมอน้ําประกอบดวยหมอน้ําสวนบนและหมอน้ําสวนลาง ระหวางหมอน้ํา
สวนบนและสวนลาง จะมีทอน้ําเล็กๆ หลายทอเชือ่ มอยู ทําใหน้ําแยกไหลไปตามทอ ตรง
บริเวณทอน้ําเล็กๆ เหลานีจ้ ะมีโลหะเชื่อมติดเปนครีบ มีลักษณะคลายรังผึ้งเพื่อใหเกิดพื้นที่ผวิ
สําหรับระบายความรอนไดมาก โดยความรอนของน้ําจะถายเทความรอนใหกับอากาศทีพ่ ัด
ผาน
2. ปมน้ํา (water pump) ปมน้ําสวนใหญจะเปนปมแบบหอยโขง ติดตั้งอยูบน
บริเวณหนาของเสื้อสูบและรับกําลังหมุนมาจากสายพาน ปมจะดูดน้ําจากหมอน้ําสวนลางผาน
เขาตัวปมของทอน้ําขางลาง และไหลออกจากปมเขาหมุนเวียนอยูในชองวางภายในเสื้อสูบและ
ฝาสูบเพื่อรับความรอนจากสวนตางๆ น้ําที่ไดรับความรอนแลวจะไหลออกจากเสื้อสูบทางทอ
น้ําขางบนผานลิ้นควบคุมอุณหภูมิน้ําเขาไปยังหมอน้ําสวนบน จากนั้นก็ไหลผานบริเวณรังผึ้ง
เพื่อถายเทความรอนใหแกอากาศตอไป
16
ระบบหลอลืน่
การหลอลื่นเปนสิ่งสําคัญสําหรับการทํางานของเครื่องยนตเนื่องจากภายในเครื่องยนตมี
ชิ้นสวนทีเ่ คลือ่ นไหวและเสียดสีกันมาก แมวาผิวหนาของชิ้นสวนทีเ่ กิดการเสียขดสีระเรียบ แต
เมื่อเสียดสีกันจะทําใหเกิดความรอน ชิ้นสวนทั้งสองอาจจะหลอมติดกัน ทําใหเกิดความ
เสียหายตอเครื่องยนตได การหลอลื่นจึงมีหนาที่สําคัญคือลดการเสียดสีของชิ้นสวนตางๆ และ
ลดการสูญเสียกําลังเนื่องจากการเสียดสี นอกจากนั้น ยังชวยระบายความรอน อุดการรั่วซึม ลด
ความดังของเสียง และทําความสะอาดชิ้นสวนตางๆ
การแบงชนิดของน้ํามันหลอลื่นถือเอาคาความหนืดเปนหลัก โดยทางสมาคมวิศวกรรม
ยานยนตเปนผูกําหนด โดยเรียกชนิดของน้ํามันเปนคาของ เอส เอ อี เชน น้ํามันหลอลื่น เอส
เอ อี เบอร 30 ซึ่งแสดงถึงความขนหรือใสของน้ํามันเทานั้น มิไดบอกถึงคุณภาพหรือสภาพของ
งานที่ใชกับน้าํ มันชนิดนี้
น้ํามันหลอลื่นที่ใชกับเครื่องสวนใหญจะเปนน้ํามัน เอส เอ อี เบอร 10 ถึง 40 สวน
น้ํามันหลอลื่นที่ใชกับเกียรและเฟองทายจะเปนน้ํามัน เอส เอ อี เบอร 50 ถึง 140
ระบบหลอลื่นในเครื่องยนต สามารถแบงออกไดเปน 2 ระบบคือ
1. ระบบวิดสาด
2. ระบบใชแรงฉีด
ระบบวิดสาดเปนระบบหลอลื่นที่งายและใชมากในเครื่องยนตสูบเดียวที่มีการระบาย
ความรอนดวยอากาศ น้ํามันหลอลื่นที่อยูในหองน้ํามันเครื่องจะถูกปมดูดสงน้ํามันจากหอง
น้ํามันเครื่องไปยังอางน้ํามันเครื่องซึ่งอยูใตกานสูบที่ปลายกานสูบจะมีเหล็กวิดสาด (Dipper) จุม
ลงในอางน้ํามันเครื่องและวิดเอาน้ํามันเครื่องสาดไปทั่วชิ้นสวนตางๆ ของเครื่องยนต
ระบบใชแรงฉีด ใชกันมากสําหรับเครื่องยนตของรถแทรกเตอรและรถยนต ซึ่งมีความ
ยุงยากและซับซอนกวาแบวิดสาด แตทําการหลอลื่นดีกวา
18
1 เพลาลูกเบี้ยว
2 ทอทางเดินน้ํา
3 สลักลูกสูบ
4 ทอทางเดินน้ํามันหลัก
5 ปมน้ําและหมอกรอง
6 เพลาขอเหวี่ยง
ระบบหลอลื่นแบบใชแรงฉีดประกอบดวยสวนตางๆ ดังนี้
1. เครื่องกรองน้ํามันกอนเขาปม
2. ปม
3. ลิ้นควบคุมความดัน
4. หมอกรองน้ํามันเครื่อง
5. เครื่องวัดความดันน้ํามันเครื่อง
เมื่อเครื่องยนตทํางาน เพลาลูกเบี้ยวจะขับใหปมหมุนและดูดน้ํามันหลอลื่นขึ้นมาจาก
อางน้ํามัน ผานเครื่องกรองเพื่อแยกเอาสิ่งสกปรกและเศษโลหะขนาดใหญออก แตเนื่องจาก
ความเร็วของปมขึ้นอยูกับความเร็วของเครื่องยนต ดังนั้น ความดันในน้ํามันเนื่องจากการดูด
ของปมจึงเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เมื่อความดันของน้ํามันมากเกินไปลิ้นควบคุมความดันน้ํามัน
ก็จะเปดและปลอยใหน้ํามันบางสวนไหลกลับเขาหองน้ํามันเพื่อกรองสิ่งสกปรกเล็กๆ หรือเศษ
19
เขมาทําใหน้ํามันสะอาด หลังจากนั้นน้ํามันก็จะถูกสงขึ้นไปหลอลื่นที่ประกับเพลาขอเหวีย่ ง
กานลูกสูบเพลาลูกเบี้ยว เฟองตางๆ สลักลูกสูบและชิน้ สวนอื่นๆ
ระบบน้ํามันเชื้อเพลิงของเครื่องยนตดเี ซล
ระบบน้ํามันเชื้อเพลิง (fuel system) ทําหนาที่สงน้ํามันเชื้อเพลิงเขาไปในกระบอกสูบ
และจุดระเบิด เครื่องยนตดีเซลจะไมดูดน้ํามันเชื้อเพลิงเขาไปในกระบอกสูบ แตจะดูดเฉพาะ
อากาศอยางเดียว สวนน้ํามันเชื่อเพลิงนั้นจะถูกฉีดเขาไปในกระบอกหลังจากที่อากาศภายในถูก
อัดจนกระทั่งมีความดันและความรอนสูง เครื่องยนตดีเซลจึงจําเปนตองมีปมหัวฉีด และหัวฉีด
ทําหนาที่สงน้ํามันเชื่อเพลิงเขาไปในกระบอกสูบ สําหรับสวนประกอบของระบบน้ํามันเชื่อเพลิง
ที่สําคัญมีดังนี้
1. ปมสงน้ํามัน (delivery pump) ทําหนาที่สงน้ํามันเชือ่ เพลิงไปยังหมอกรองน้ํามัน
เชื้อเพลิงและปมหัวฉีดตลอดเวลาดวยความดันที่สม่ําเสมอ ปมสงน้ํามันทํางานโดย
การหมุนของเพลาลูกเบี้ยวของปมหัวฉีด ปมสงน้ํามันจะมีปมมืออยูดวย สําหรับ
ทําการไลลมจากวงจรไหลของน้ํามันเชื้อเพลิงในกรณีมีอากาศปะปนอยู
ระบบถายทอดกําลัง
เครื่องยนตจะถายทอดกําลัง (รูปที่ 1.16) ไปยังลอ เพลาอํานวยกําลัง ปมไฮดรอลิค
และอื่นๆ เพื่อกอใหเกิดประโยชน สําหรับสวนประกอบที่สําคัญของระบบนี้มีดังนี้
คลัช
คลัชในรถแทรกเตอรประกอบดวยคลัชขับเคลื่อนและคลัชเพลาอํานวยกําลัง คลัช
ขับเคลื่อนซึ่งทําหนาที่ตัดและตอการสงกําลังจากเครื่องยนตไปขับลอใหรถแทรกเตอรเคลื่อนที่
คลัชเพลาอํานวยกําลังทําหนาที่ตัดและตอการสงกําลังจากเครื่องยนตไปหมุนเพลาอํานวย
กําลัง เพื่อสงกําลังออกไปใชงานภายนอกรถแทรกเตอร
ระบบเกียร
เกียรคือสวนที่ทําหนาที่แบงขั้นความเร็ว และเพิ่มกําลังฉุดลากของลอรถแทรกเตอร
โดยปกติถาใชเฟองเกียรทมี่ ีอัตราการทดรอบสูง ความเร็วรอบของลอจะต่ําแตมีกําลังฉุดลาก
สูง ในทางตรงกันขาม ถาตองการใหรถแทรกเตอรวิ่งเร็วที่สุด ก็ตองใชเฟองเกียรทใ่ี หอัตราการ
ทดรอบต่ําหรือไมตองมีการทดรอบเลย เครื่องยนตหมุนดวยความเร็วเทาไร ลอก็หมุนดวย
ความเร็วเทานั้น ซึ่งในกรณีเชนนี้ในรถแทรกเตอรไมมีความเร็วสูงถึงขั้นนี้ อยางไรก็ตามเมื่อ
ลอหมุนดวยความเร็วสูงกําลังฉุดลากก็จะต่ํา
22
(ก) เฟองขับเพลาลออยูใกลเฟองทาย
(ข) เฟองขับเพลาลออยูใกลลอ
ก. ลักษณะและการทํางานของคลัชแบบรวมหนึ่งจังหวะ
ข. ลักษณะและการทํางานของคลัชแบบรวมสองจังหวะ
รูปที่ 1.17 คลัชแบบตางๆ
24
เฟองทาย
เฟองทาย (รูปที่ 1.20) เปนตัวทําใหการหมุนของลอหลังทั้งสองขางมีความเร็วรอบ
ตางกันเมื่อเลีย้ วรถ โดยที่ลอ ดานนอกจะหมุนมากกวาหรือเร็วกวาลอดานใน
เมื่อรถแทรกเตอรวงิ่ ตรง แรงตานทานของดินที่กระทําตอลอทั้งสองขางเกือบเทากัน
ในขณะเลี้ยว แรงตานทานของดินที่ลอดานในจะมากกวาดานนอก บางครั้งแมรถแทรกเตอรจะ
วิ่งในทางตรง เฟองทายอาจจะถายทอดกําลังใหกับลอขางใดขางหนึ่งมากกวา เชน ในกรณีที่
ลอขางหนึ่งลื่นหรือหมุนฟรี หรือติดหลม ดังนั้นจึงตองอาศัยการล็อคเฟองทาย
ระบบล็อคเฟองทาย จะทําใหลอทั้งสองขางหมุนไปพรอมๆกัน ไมใหลอขางใดขางหนึ่ง
หมุนฟรี
ขอดีของการล็อคเฟองทายคือ ทําใหรถแทรกเตอรสามารถวิ่งไดดีขึ้น ทั้งบนพื้นดิน
ทราย ดินออน และดินโคลน นอกจากนั้นยังทําใหวิ่งตรงและมีสมรรถนะในการขับเคลื่อนดีขนึ้
25
เฟองขับลอ
รถแทรกเตอรตองการอัตราการทดสูงจากเครื่องยนตไปยังลอหลังสําหรับการใชงานหนัก
อัตราการทดของรถแทรกเตอรนอกจากจะอาศัยการทดรอบของเฟองบายศรี และเฟองเดือยหมูใน
ระบบเฟองทายแลว ยังเพิม่ อัตราทดใหสูงขึ้น โดยเพิ่มเฟองทดอีกอีก 1 ชุด ระหวางเฟองทายกับ
เฟองขับลอ
เพลาอํานวยกําลัง
รถแทรกเตอรสวนใหญจะมีเพลาอํานวยกําลัง (รูปที่ 1.21) สําหรับขับอุปกรณซึ่งจะอยูดาน
ทายของรถแทรกเตอร แตรถแทรกเตอรบางแบบอาจจะมีเพลาอํานวยกําลังเสริมที่ตรงกลาง หรือ
ทางดานหนาตัวรถ
เพลาอํานวยกําลังมี 2 ระบบ ระบบแรกนั้นการหมุนของเพลาอํานวยกําลังจะแยกอิสระจาก
ชุดเกียรหลัก เรียกวาเพลาอํานวยกําลังอิสระ เพลาอํานวยกําลังแบบนี้ใชขับเครื่องตัดหญาเปนสวน
ใหญ และอีกระบบนั้นการหมุนของเพลาอํานวยกําลังจะเปนสัดสวนกับการหมุนของลอขับเคลือ่ น ซึ่ง
ขึ้นอยูกับชุดเกียรหลักเรียกวา เพลาอํานวยกําลังสัมพันธกับความเร็วรถ ซึ่งนิยมใชกับเครื่องหยอด
เมล็ด
26
ลอ
ลอของรถแทรกเตอรที่ใชในการเกษตรเปนลอยาง ลอหนา มี ดอกยางเปนวงกลมเพื่อทําให
การเลี้ยวรถสะดวก ไมลื่นไถลออกดานขาง ลอหลัง เปนลอขับเคลือ่ นที่มีดอกยางใหญซึ่งเอียงทํามุม
กับแนวการเคลื่อนที่ของรถ เพื่อทําใหยึดเกาะดินไดมั่นคง เกิดแรงฉุดลากสูง
ดอกยางทําดวยยาง สวนในทําดวยผาวางเปนชั้นๆ เรียงซอนกันเพื่อทําใหยางมีความ
แข็งแรง ทนทานตอการกระแทก สําหรับขอบยางดานติดกับกระทะลอมีเสนลวดสปริงฝงอยูเปน
วงกลมตลอดวงลอ เพื่อเสริมความแข็งแรง
ขนาดของยางจะระบุเปนตัวเลข เชน 7.50 - 16 เปนขนาดยางที่ใชกับลอหนาของรถ
แทรกเตอร รถพวง โดยที่ตัวเลขตัวแรกหมายถึงความกวางของหนายาง ตัวเลขตัวที่สองคือ
เสนผาศูนยกลางของลอหรือกระทะลอ ตัวเลขเหลานี้มหี นวยเปนนิว้ สําหรับลอหลังนั้นสวนใหญมักจะ
เขียนเปนตัวเลขและตัวอักษร เชน 18.4/15-30 4 PR ซึ่งหมายความวาความกวางของหนายาง
เทากับ 18.4 นิ้ว สามารถใชแทนยางขนาดความกวาง 15 นิ้วได โดยที่ขนาดเสนผาศูนยกลางของลอ
ก็คือ 30 นิ้ว และมีชั้นผาใบ 4 ชั้น สําหรับชั้นผาใบนีถ้ ายิ่งมีมากยางยิ่งมีความแข็งแรงและรับน้ําหนัก
ไดมากขึ้น สวนแรงดันมาตรฐานนั้นจะขึน้ อยูกับขนาดและจํานวนผาใบ ดังที่ปรากฏในตารางที่ 1.2
27
ระบบบังคับเลี้ยว
ระบบบังคับเลีย้ วทําหนาที่ควบคุมใหรถแทรกเตอรเคลือ่ นที่ไปทางซายหรือทางขวา
ตามความตองการ
รูปที่ 1.23 แสดงการหมุนพวงมาลัยของรถแทรกเตอรไปตามทิศทางของลูกศร ทํา
ชิ้นสวนตางๆ เคลื่อนที่ดังตอไปนี้ เฟองของกระปุกพวงมาลัยจะทําใหแขนตอ คันชักคันสงตัว
บน แขนบังคับเลี้ยว คันชักคันสงตัวลางเคลื่อนที่ตามทิศทางของลูกศรไปดวย
ดังนั้นทิศทางการเลี้ยวจึงขึน้ อยูกับระยะทางการหมุนและทิศทางการหมุนของ
พวงมาลัย
ระบบเบรก
รถแทรกเตอรมีเบรกเฉพาะ 2 ลอหลัง โดยที่กลไกเบรกทั้งสองแยกกันอยางอิสระ ถา
เบรกขางซายลอหลังซายจะหยุด ถาเบรกขางขวาลอหลังขวาจะหยุด ทั้งนี้เพื่ออํานวยความ
สะดวกในการเลี้ยววงแคบในขณะทํางานได อยางไรก็ตามเมื่อขับรถแทรกเตอรบนถนนก็
สามารถล็อคใหเบรกทั้งสองขางทํางานพรอมกันได เพื่อปองกันรถหมุนกลับพลิกคว่ําขณะที่ใช
ความเร็วสูง
นอกจากนั้น รถแทรกเตอรยังมีเบรกมือ หรือเบรกขณะจอดโดยอาจจะเปนแบบล็อค
คันเหยียบเบรกขณะจอด
ถากลไกเบรกของรถแทรกเตอรที่ใชระบบเฟองขับลอเพื่อเพิ่มอัตราทดและแรงบิด
มักจะอยูที่เพลาขับลอที่ตออกจากเฟองทาย เนื่องจากเพลานี้มีแรงบิดคอนขางต่าํ
29
ระบบไฮดรอลิค
ระบบไฮดรอลิคของรถแทรกเตอรสามารถใชขบั เคลื่อนอุปกรณ หรือเครื่องจักรกล
การเกษตร โดยมีสวนประกอบที่สําคัญ คือปมไฮดรอลิค หรือกระบอกไฮดรอลิคเพื่อใชในการ
ยกและวางอุปกรณ ระบบไฮดรอลิคที่สามารถควบคุมตําแหนงของอุปกรณโดยอัตโนมัติ
เรียกวาระบบควบคุมตําแหนง เพื่อใหความลึกในการไถสม่ําเสมอ นอกจากนั้นยังมีระบบ
ควบคุมแรงลาก เพื่อใหรถแทรกเตอรมีแรงขับเคลื่อนคงที่ในขณะติดอุปกรณแขนพวง 3 จุด
ระบบควบคุมตําแหนง
ระบบควบคุมตําแหนง (รูปที่ 1.27) ใชกับอุปกรณที่มีความตานทานการฉุดลากนอย
เชน เครื่องพรวนและกําจัดวัชพืช เครื่องหยอดเมล็ดพืชและใสปุย เครื่องปลูกพืช ฯลฯ
นอกจากนั้นยังสามารถใชกบั ไถหัวหมูขณะทํางานในดินออนและพื้นที่ราบเรียบ
คันควบคุมตําแหนงจะควบคุมระบบโดยการยกหรือวางแขนยก ซึ่งทําใหแขนไฮดรอ
ลิคและอุปกรณเคลื่อนที่เปนสัดสวนกันไปดวย
ระบบควบคุมแรงลาก
ระบบควบคุมแรงลาก (รูปที่ 1.28) เหมาะสําหรับการทํางานที่ตองการใหความ
ตานทานในการทํางานของอุปกรณคงที่ หรืออุปกรณที่ใชแรงลากสูง เชน รถพวง
การควบคุมแรงลากจะมีสปริงเปนตัวรับสัญญาณ ที่จุดพวงของแขนกลาง ซึ่งจะทํา
หนาที่ควบคุมกานตอและวาลวควบคุม
แรงที่ถายทอดใหกับตัวรับสัญญาณซึ่งเปนสัดสวนกับแรงตนทานการขับเคลื่อน จะทํา
ใหเกิดปฏิกิรยิ าตอบสนองในกลไกวาลวควบคุมผานทางกานตอ
31
อุปกรณจะถูกควบคุมใหอยูในตําแหนงคงที่เมื่อแรงตานทานการขับเคลื่อนคงที่ แตเมื่อ
แรงตานทานการขับเคลื่อนเปลี่ยนแปลง หรือแรงตานทานดินเปลี่ยนแปลง ตัวรับสัญญาณก็จะ
สงสัญญาณใหมไปยังกลไกวาลวควบคุม ซึ่งจะทําใหลูกสูบในกระบอกไฮดรอลิคเคลื่อนที่ใน
ตําแหนงที่สัมพันธกับขนาดของแรงขับเคลื่อนที่กําหนดไว
ในขณะที่มีการเพิ่ม (หรือลด) แรงตานทานการขับเคลื่อน จะทําใหลูกสูบกระบอกไฮ
ดรอลิคเคลื่อนที่เพื่อยก (หรือวาง) อุปกรณ การยกหรือวางอุปกรณจะเกิดขึ้นตอเนื่องจนกระทั่ง
แรงตานทานการขับเคลื่อนพอดีกับตําแหนงคันควบคุม
การใชระบบไฮดรอลิคกับอุปกรณที่ติดตัง้ ไดประโยชนหลายประการ แตประการที่
สําคัญที่สุดคือ ใหความสะดวกในการนําอุปกรณจากไรหนึ่งไปยังอีกไรหนึ่ง อีกทั้งยังทําใหการ
กลับรถบริเวณทายไรรวดเร็วขึ้น และประหยัดเนื้อที่อีกดวย
32
ระบบพวงอุปกรณ
การบํารุงรักษา
การบํารุงรักษา สามารถทําใหรถแทรกเตอรมีอายุการใชงานยืนยาวโดยไมจําเปนตอง
ซอมแซมบอยๆ การบํารุงรักษามีทั้งที่ทําประจําวันและทําเปนระยะๆ
การบํารุงรักษารถแทรกเตอรประจําวันเปนสิ่งสําคัญ ถาหากละเวนอาจจะทําให
เสียเวลาไปโดยเปลาประโยชน คือแทนทีจ่ ะนํารถไปปฏิบัติงานได กลับตองนําไปซอมแซม
นอกจากนั้นระยะเวลาที่รถแทรกเตอร หรือเครื่องจักรกลการเกษตรปฏิบัติงานไดเร็ว
หรือชาก็ขึ้นอยูกับการบํารุงรักษาที่ดีและสม่ําเสมอ
การบํารุงรักษาประจําวันทั้ง 9 ประการ ที่จะกลาวตอจึงเปนสิ่งจําเปนอยางยิ่ง
1. แบตเตอรี่
2. ระดับน้ํามันเชื้อเพลิง
3. ระบบระบายความรอน
4. น้ํามันเกียรและน้ํามันเฟองทาย
5. หมอกรองอากาศ
6. น้ํามันเครื่อง
7. ยาง
35
8. นอตและสลัก
9. จุดอัดจารบี
การบํารุงรักษาเปนระยะๆ
นอกจากการบํารุงรักษาประจําวันแลว ก็มีสิ่งที่ตองการการบํารุงรักษาเปนระยะๆ ซึ่ง
ระบุไวในหนังสือคูมือประจํารถ ที่บริษทั ผูผลิตแจกเมือ่ ซื้อรถแทรกเตอร
การเปลี่ยนน้าํ มันเครื่อง โดยทั่วๆ ไป บริษัทผูผ ลิตรถแทรกเตอร จะแนะนําให
เปลี่ยนน้ํามันเครื่องหลังจากปฏิบัติงานประมาณ 120 ชั่วโมง น้ํามันเครื่องที่ใชตองเปนชนิด
เดียวกัน หนังสือคูมือจะระบุวิธีการลางไสกรอง หรือระยะเวลาที่จะตองเปลี่ยนไสกรอง
น้ํามันเครื่อง
การเปลี่ยนน้าํ มันเกียรและน้ํามันเฟองทาย ควรจะเปลี่ยนน้ํามันเกียรและน้ํามัน
เฟองทายหลังจากปฏิบัติงานประมาณ 700 ชั่วโมง น้ํามันที่ใชเติมจะตองสะอาด มีความขน
และคุณภาพตามที่กําหนดไวในหนังสือคูม ือ
การอัดจารบีปมน้ําและการหยอดน้ํามันไดนาโม ปกติบริษัทผูผ ลิตจะแนะนําใหทาํ
ในเวลาเดียวกับการเปลี่ยนน้ํามันเครื่อง แตถาหยอดน้ํามันไดนาโมมากเกินไปจะเปนสาเหตุให
ทุนของไดนาโมเสียหายได แตไดนาโมบางชนิดอาจจะไมตองหยอดน้ํามันตลอดอายุการใชงาน
การอัดจารบีและขันลอหนาใหแนน การอัดจารบีอัดที่ดุมลอจนกระทั่งจารบีเกาไหล
ออกมาหมด และตรวจสอบลอใหแนน ซึ่งปกติแลวจะแนะนําใหกระทําปละหนึ่งครั้ง
การตั้งเบรกและคลัช ควรจะตรวจสอบทุกๆ 2 เดือน หรือตั้งพรอมกับการเปลี่ยน
น้ํามันเกียร และน้ํามันเฟองทาย สวนวิธีการตั้งใหทําตามหนังสือคูมือของรถแทรกเตอร การตั้ง
เบรกคือการตัง้ ระยะฟรีของขาเหยียบเบรกมิใชตั้งทีต่ ัวเบรก ระยะฟรีนี้จะลดลงขณะที่เบรก
ทํางานจนรอน ถาระยะฟรีมากเกินไปจะทําใหขาเหยียบถึงทีว่ างเทากอนที่เบรกจะทํางาน
เต็มที่ สวนการตั้งคลัชก็เชนเดียวกัน ถาคันเหยียบคลัชไมมีระยะฟรีจะทําใหผาคลัชเสียหาย
การทําความสะอาดหรือเปลี่ยนไสกรองน้ํามันเชื้อเพลิง ควรจะทําตามคําแนะนํา
ของหนังสือคูมือประจํารถแทรกเตอร ซึ่งจะระบุวธิ ีทําความสะอาดและชนิดของไสกรองที่ใช
37
การซอมแซมเปนระยะ การซอมแซมรถแทรกเตอรเปนสิ่งจําเปนที่จะตองกระทํา
เพราะ
1. รถแทรกเตอรมีการสึกหรอตามปกติ แตจะลดลงไดมากถามีการบํารุงรักษา
ตามที่กลาวมาแลว
2. รถแทรกเตอรอาจจะประสบอุบัตเิ หตุ แตถาผูปฏิบัตงิ านมีความระมัดระวัง
ตลอดเวลาอุบตั ิเหตุกล็ ดลง
สําหรับลักษณะที่ชิ้นสวนตางๆ ที่สึกหรอตามปกตินั้น สวนใหญจะมีรูปหรือระบุไวใน
หนังสือคูมือประจํารถเสมอ
การขับรถแทรกเตอรและการติดเครื่องจักรกลการเกษตร
สวนสําคัญที่สดุ ในการทํางานของรถแทรกเตอรคือ สตารท คันเรง พวงมาลัย คลัช คัน
เกียร และเบรก
กอนจะสตารทรถแทรกเตอรทุกครั้ง คนขับควรจะนั่งอยูบนเบาะอยางเรียบรอยแลว รถ
แทรกเตอรสว นมากจะมีระบบกลไกเพื่อความปลอดภัย เชน ปลดเกียรใหอยูในตําแหนงวาง
หรือเหยียบคลัชใหจมกอนจึงสตารทรถติดได เปนตน
การขับรถแทรกเตอรที่ใชเครื่องยนตดีเซลมีขั้นตอนดังตอไปนี้
1. ดึงเบรกมือใหตึง
2. ปลดคันเกียรใหอยูในตําแหนงวาง และเหยียบคลัชลงไปใหจนเพือ่ ลดภาระของ
มอเตอรสตารท
3. ตั้งคันเรงใหอยูในตําแหนงระหวางเรง 3/4 และเรงสูงสุด
4. กดปุมดับใหอยูในตําแหนงสตารท
5. เปดสวิตชสตารท
6. บิดสวิตชสตารท ถาเครื่องยนตยังสตารทไมติดภายใน 30 วินาที ก็ใหปลอยสวิตช
สตารท และรออีกประมาณ 30 วินาทีกอนที่จะสตารทใหมอีกครั้งหนึ่ง การสตารทบอยๆ โดย
ไมหยุดทําใหแบตเตอรี่เสียหายได
7. เหยียบขาคลัชลงใหสุด
8. เขาเกียรทตี่ องการ
9. ปลดเบรกมือลงใหสุด
10. คอยๆ ปลอยขาเหยียบคลัช รถแทรกเตอรจะเคลื่อนที่ชาๆ
11. เรงคันเรงใหไดความเร็วตามทีต่ องการ
12. วางเทาทัง้ สองบนที่วางเทา
13. บังคับพวงมาลัยไปตามทิศทางทีต่ องการ
38
วิธีการติดอุปกรณเตรียมดินเขากับรถแทรกเตอร มีดังตอไปนี้
1. ติดแขนกลางเขากับอุปกรณและปลอยทิ้งไว
2. ลดแขนลาก
3. ถอยรถตรงไปยังอุปกรณ โดยพยายามเล็งใหจุดกึ่งกลางของลอหลังทั้งสองตรงกับ
จุดกึ่งกลางของอุปกรณ หรือจุดกึ่งกลางของหูหิ้ว หรือบุชตาไกทั้งสองของอุปกรณ และให
เพลาทายของรถขนานกับอุปกรณ
4. เมื่อแขนยกอุปกรณถึงหูหิ้ว หรือบุชตาไกที่ติดอยูกบั อุปกรณ หยุดรถเขาเกียรวาง
และดึงเบรกมือ
5. ลงจากรถ
6. ติดแขนลากขางซายเขากับหูห้วิ ขางซายของอุปกรณ ใสสลัก
7. ติดแขนลากขางขวาเขากับหูหิ้วขางขวาของอุปกรณ ใสสลัก ถาแขนลากสูงหรือต่ํา
กวาหูหิ้ว ปรับที่คันปรับระดับ
8. กลับขึ้นไปนั่งบนเบาะรถ และติดแขนกลางเขากับรูของหูพิเศษ ที่ทายรถ ถาไมตรง
รูอาจจะปรับไดโดยการเลื่อนรถไปขางหนาหรือคอยๆ ใชไฮดรอลิคยกอุปกรณขึ้น
9. ใชไฮดรอลิคยกอุปกรณขึ้นจากพื้น และขับรถออกไปยังที่ปฏิบตั ิงาน
ในกรณีที่ขับรถแทรกเตอรบนถนนควรจะเคารพกฎจารจร ความเร็วสูงสุดที่กฎหมาย
ยอมใหใชไดคอื 30 กิโลเมตรตอชั่วโมง แตถาลากรถพวงก็ใชไมเกิน ความเร็ว 20 กิโลเมตรตอ
ชั่วโมง
เมื่อขับรถแทรกเตอรบนถนน คนขับรถควรจะตรวจสอบสิ่งเหลานี้ใหแนใจเสียกอน
1. เบรกตองอยูในภาพดี อยาลืมล็อคเบรกทั้งสองขางเขาดวยกัน
2. กระจกสองหลังตองสะอาด และอยูในตําแหนงที่มองขางหลังไดชัดเจนถึงแมจะลาก
รถพวงอยู
39
3. ยางและระบบพวงมาลัยอยูในสภาพดี
4. ติดสัญลักษณที่หมายถึงรถวิ่งชา
5. ดวงไฟหนารถตลอดจนไฟสัญญาณยังทํางานอยูอยางปกติ
40
บทที่ 2 เครื่องมือเตรียมดิน
(Tillage Machinery)
41
บทนํา
ประโยชนที่สําคัญที่สุดที่ไดรับจากรถแทรกเตอรก็คือ การสงกําลังออกไปฉุดหรือขับ
เครื่องทุนแรงในการเกษตรที่เรียกวาเครือ่ งมือเตรียมดิน
การเตรียมดินเปนการปรับสภาพของดินในแปลงเพาะปลูก เพื่อใหเหมาะสําหรับ
การงอกของเมล็ด การปลูกพืช และการเจริญเติบโตของพืช เชน การไถ การยอยดิน และ
การกําจัดวัชพืช เปนตน
เครื่องมือเตรียมดิน
ไถจาน พรวนจาน
พรวนสปริง
เครื่องมือประเภทซี่
วัตถุประสงคที่สําคัญในการเตรียมดินมีดังนี้
1. เพื่อทําใหคุณสมบัติทางกายภาพของดินดีขึ้น เชน เกิดชองวางในดิน อากาศและ
น้ําถายเทไดสะดวก
2. เพื่อควบคุมและกําจัดวัชพืช รวมทั้งทําลายไข และแมลงที่เปนศัตรูพืช
3. เพื่อทําใหผิวดินเหมาะสมกับการชลประทาน และการระบายน้ํา
4. เพื่อกลบและคลุกเคลาพืช หรือปุยลงไปในดิน
42
5. เพื่อทําใหเชื้อจุลินทรีย และสิ่งมีชีวิตในดินมีกิจกรรมมากขึ้น
6. เพื่อสงวนและรักษาหนาดินไมใหเกิดการชะลางและพังทลาย
เครื่องมือเตรียมดินแบงออกได 2 กลุม กลุมแรกใชสําหรับเปดหนาดินใหไดความลึก
ตามความตองการ เรียกวาเครื่องมือเตรียมดินครั้งที่หนึ่ง (primary tillage machinery) กลุมที่
สองใชสําหรับยอยดินใหมีขนาดเล็กเหมาะสําหรับการปลูกพืช เรียกวาเครื่องมือเตรียมดินครั้งที่
สอง (secondary tillage machinery)
เครื่องมือชนิดตางๆ ที่สําคัญของแตละกลุมดังที่กลาวมา แสดงไวในรูปที่ 2.1 ซึ่งจะ
สังเกตเห็นวา จอบหมุน (rotary cultivator) ปรากฏอยูทั้งสองกลุมเพราะวา เครื่องมือชนิดนี้
ใชไดทั้งการเปดหนาดิน และการยอยดินซึ่งเหลือเปนกอนหลังจากใชไถ เชน ไถดินดาน
(subsoiler) และไถสิว่ (chisel plough) สวนคราดซี่ (tined cultivator) นั้นใชสําหรับยอยดินและ
กําจัดวัชพืช สวนไถยกรองนั้นจะถูกใชหลังจากเตรียมดินเสร็จเรียบรอยแลว
ไถ
ไถ (plough) เปนเครื่องมือที่ใชเปดหรือพลิกดินในพื้นที่ที่จะทําการเกษตร โดยไดรับ
แรงฉุดจากรถแทรกเตอร ไถแบงออกได 2 ชนิด คือ ไถหัวหมู (moldboard plough) และไถ
บุกเบิก (ไถจาน) (disc plough) การเลือกใชไถชนิดไหนขึ้นอยูกับสภาพของพื้นที่ที่จะไถเปน
สําคัญ คือ ถาพื้นดินมีตอไม กอนหิน หรือหญาสูงๆ ควรจะใชไถบุกเบิกเพราะวาเมื่อไถไปชน
ตอไมหรือกอนหิน ไถจะหมุนรอบตัวขามสิ่งกีดขวางเหลานี้ ทําใหลดความเสียหายที่จะเกิด
ขึ้นกับไถได สวนหญาสูงๆ ก็ไมเปนอุปสรรคตอไถชนิดนี้เชนกัน ในทางตรงกันขาม ถาไถผืน
ดินที่ปราศจากตอไม หิน หรือหญาสูงๆ ก็เลือกใชไถหัวหมูได ซึ่งถาใชไถชนิดนี้ดวยความ
ประณีตก็อาจจะไดแปลงเพาะปลูก โดยที่ไมตองใช คราดคราดซ้ําอีก
การใชไถหัวหมูและไถบุกเบิกทีถ่ ูกตองควรจะตองพิจารณาสิ่งตางๆ ตอไปนี้ดว ย
1. รองไถ รองไถแตละรองควรจะมีความกวางเทากัน (รูปที่ 2.2) ดังนั้น จึงจําเปนที่
จะตองตรวจดูระยะหางระหวางลอของรถแทรกเตอรใหตรงตามคําแนะนําของบริษัทผูผลิตไถ
2. ไถหัวหมูและไถบุกเบิกควรจะอยูในแนวระดับ (รูปที่ 2.3) เพื่อที่ไถทุกตัวจะไดกิน
ดินเทากัน สาเหตุสําคัญที่ทาํ ใหการตั้งไถผิดเพราะแขนกลางสั้น หรือยาวเกินไป การตั้ง
ความยาวของแขนกลางไมถูกตอง จะทําใหความลึกของการไถไมสม่ําเสมอ
ถาแขนกลางสัน้ ดานหลังจะลอย ไถจะเบนไปดานขางขณะไถเพราะจะไมมีแรงกด
พอที่จะกินดินที่ดานหลัง
ถาแขนกลางยาวเกินไป จะทําใหไถตัวหลังกินดินลึกเกินไป
43
4. ไถหัวหมูและไถจานทุกตัวควรจะกินดินลึกตามความตองการขณะไถ โดยที่ความเร็ว
ของรถแทรกเตอรก็ควรจะสัมพันธกับความลึกนี้ดวย ความเร็วที่ใชในการไถขึ้นอยูกับสภาพ
ของดิน ความลึก ขนาดของไถและกําลังของรถแทรกเตอรที่ฉุดไถนัน้ แตก็ควรจะทําการไถ
โดยใชความเร็วสูงที่สุดเทาที่จะทําได ถาหากวาคุณภาพของงานไมเสีย กลาวคือ เมื่อใช
ความเร็วสูงขีไ้ ถจะถูกพลิกออกไปไดไกล ทําใหผืนดินที่ไถไมเรียบรอย แตถาใชความเร็วใน
การไถต่ํามากเกินไป ขี้ไถก็พลิกไมหมด เปนเหตุใหตอ งใชเครื่องมือเตรียมดินชนิดอื่นๆ อีก
หลายครั้งกอนที่จะไดแปลงเพาะปลูกทีด่ ี
5. ขอสําคัญประการสุดทายก็คอื การซอมแซมและบํารุงรักษา เนื่องจากไถนี้มีชิ้นสวน
ที่สัมผัสกับดินอยูเสมอ ดังนั้น จึงตองมีการตรวจสอบอยูเปนประจํา ถาชิ้นสวนไหนสึกหรอหรือ
โคงงอก็ควรจะซอมแซมหรือเปลี่ยนใหม สําหรับการบํารุงรักษานั้นก็ควรจะมีการอัดจารบีเขาไป
ในชิ้นสวนที่หมุนเปนประจํา โดยเฉพาะอยางยิ่งที่ลอและจานไถ นอกจากนั้น หลังจากเสร็จงาน
แลวก็ควรจะทาไถดวยน้ํามัน เพื่อปองกันสนิม และทําใหการพลิกขี้ไถงายขึ้นอีกดวย
45
ไถหัวหมู
ตามทฤษฎี การไถคือการตัดแนวดินที่มพี ื้นที่หนาตัดเปนรูปขนมเปยกปูน ABCD (รูป
ที่ 2.5) แลวพลิกใหอยูในตําแหนง A’B’C’D’ ซึ่งซอนกันเปนมุมประมาณ 45 องศา แตอยางไรก็
ตามในแงปฏิบัติ ตําแหนงดังกลาวจะผันแปรไปตามสัดสวนของความกวางและความลึกของการ
ไถ
ระยะ AB แทนความลึกของการไถ
ระยะ BC แทนความกวางของการไถ (หนวยเปนนิว้ เชน 10, 12 หรือ 14 นิ้ว เปนตน)
สวน ABCD นั้นแทนพื้นทีห่ นาตัดของขี้ไถ ซึ่งมีหนวยเปนตารางเซนติเมตร
โดยปกติแรงฉุดลากของรถแทรกเตอรขณะไถแปรผันตามชนิดของดิน ซึ่งมีคาระหวาง
0.4-0.9 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร ดังนั้น การคํานวณหากําลังของรถแทรกเตอรที่เหมะสม
จึงมีวิธีการดังตัวอยางตอไปนี้
จงคํานวณหากําลังที่จําเปนของรถแทรกเตอรที่ลากไถหัวหมู 1 คู ซึ่งไถไดลึก 25
เซนติเมตร กวาง 30 เซนติเมตร ดวยความเร็ว 5 กิโลเมตร/ชั่วโมง เมื่อไถดินรวน
พื้นที่หนาตัดของขี้ไถ 25 × 30 × 2 = 1,500 ตารางเมตร
แรงฉุดลากไถ 1,500 × 0.6 = 900 กิโลกรัม
ความเร็วของรถแทรกเตอร 5 กิโลเมตร/ชั่วโมง = 1.4 เมตร /วินาที
กําลังที่ตองการในการลากไถ 900 × 1.4= 1260 กิโลกรัม-เมตร/วินาที
หรือ 1,260 75 = 16.8 แรงมา
ถารถแทรกเตอรมีประสิทธิภาพในการลากไถประมาณ 50 % กําลังของเครื่องยนตที่
ตองการคือ 16.8 × 2 = 33.6 แรงมา
สวนประกอบของไถหัวหมู
ไถหัวหมูเปนอุปกรณทางการเกษตรที่สําคัญ ซึ่งใชในการเตรียมดิน โดยทําหนาที่ตัด
ดินในแนวดิ่ง แนวนอน และพลิกดินใหดินชั้นลางขึ้นมาอยูขางบน หนาดินลงไปอยูขางลาง
โดยทั่วไปไถหัวหมูประกอบดวยชิ้นสวนตางๆ ดังนี้
1. ผาลไถ เปนชิ้นสวนที่ทําหนาทีต่ ัดดินในแนวนอนใตดินใหแยกออกจากกัน และเริ่ม
ตนพลิกดินกอนที่ปกไถ จะทําหนาที่พลิกดินกอนที่ปกไถ จะทําหนาที่พลิกดินตอ ในการทํา
หนาที่นี้ผาลไถตองอาศัยสวนประกอบทีส่ ําคัญดังที่แสดงไวในรูปที่ 2.7 คือยอดผาล ซึ่งมี
ลักษณะคมและงองุมเพื่อจิกดินไปในดิน คมผาลทําหนาที่ตัด และปกผาล ซึ่งชวยพลิกดิน
สวนประกอบของผาลไถทั้งสามนี้อาจจะสึกหรือไดเมื่อใชงานไปนานๆ ดังนั้น จึงควรจะ
ตรวจสอบและแกไขใหอยูในสภาพเดิมเสมอ
การปรับไถหัวหมู
การไถใหไดงานที่ดีนั้น จําเปนตองมีการปรับไถอยูเสมอทั้งกอนไถและระหวางการไถ
1. การปรับกอนไถ
1.1 ตรวจสอบกําลังของรถแทรกเตอรใหสัมพันธกับจํานวนไถที่จะใชกอนติด
ชุดไถ หลังจากนั้นจึงปรับความกวางของการกินดินของไถตัวแรกใหสัมพันธกับ
ความกวางของลอหลัง โดยการคลายนอตยึดและเลื่อนเพลาขวางใหความกวาง
ของการกินดินของไถตัวอื่นๆ ที่เหลือ
1.2 ตรวจสอบระยะของไถแตละตัว (รูปที่ 2.10)
1.2.1 นําชุดไถมาวางบนพืน้ คอนกรีตหรือพื้นดินที่เรียบ ถอดผาลไถ
ออก ใชเชือกหรือทอนไมที่มีขอบตรงวางแนบกับเหล็กกันขางของไถแลว
ขีดเสน วัดระยะหาง A และ B ถาเสนทีล่ ากไมขนานกัน หรือไมเทากัน
แสดงวาไถตัวหนึ่งบิดเบี้ยวไปจากเดิมในกรณีนี้ตองปรับไถตัวนั้นเสียใหม
1.2.2 หลังจากที่ไดเปลี่ยนหรือซอมแซมผาลไถใหม ยอดผาลควรจะ
แตะดิน และอยูในแนวเดียวกัน
12.3 ทําเครื่องหมายบนปกไถ และวัดระยะหางระหวางปกไถจากจุด
ที่ไดทําเครื่องหมายไว ถาระยะ A ไมเทากันก็ควรจะตองมีการปรับปกไถ
ใหม
1.3 ตรวจสอบระยะจิกดิน (pitch) และมุมจิกดิน (pitch angle) ของไถแตละ
ตัว ใหตรงตามชนิดของไถที่ใช (รูปที่ 2.11) ระยะจิกดินทําใหมุมจิกดิน
เปลี่ยนแปลง
1.4 ตรวจสอบ side suction ใหมีระยะ 0.4-1 เซนติเมตร และ down suction
ใหมีระยะ 1-4 เซนติเมตร ไถแตละตัว (รูปที่ 2.12)
1.5 ปรับอุปกรณตัดดินใหถูกตอง และเหมือนกันทุกตัว
1.6 หยอดน้ํามันหลอลื่นที่แบริ่งทุกตัว และขันนอตยึดติดใหแนน รวมทั้งสูบลม
ยางรถแทรกเตอรใหไดความดันที่เหมาะสม
50
2. การปรับระหวางการไถ
2.1 ปรับคันบังคับไฮดรอลิคใหอยูในตําแหนงควบคุมแรงลาก (draft control)
2.2 ปรับแขนกลางเพื่อใหไถดินลึกหรือตื้นตามความตองการโดยการหมุนเขา
หรือคลายออก
2.3 ปรับใหไถกินดินตั้งฉากกับพื้น โดยสังเกตหลังไถวาเหล็กดันขางตั้งฉาก
กับพื้นที่ไถแลว
2.4 เลือกความลึกของการไถโดยการปรับคันบังคับการควบคุมตําแหนง
(position control)
51
การบํารุงรักษาไถหัวหมู
1. ลางดินและแซะเอาเศษหญาทีต่ ิดกับตัวไถออกใหหมด ถาพบสวนที่ฉีกขาดหรือบิด
เบี้ยวก็ควรจะซอมแซม
2. ปองกันตัวไถและอุปกรณตัดดินไมใหเปนสนิมดวยการทาน้ํามันจาระบี หรือทาสี
ปองกันสนิม
3. เก็บชุดไถไวในที่รม
4. ใชแผนไมรองตัวไถไมใหสัมผัสกับดินเพื่อปองกันความชื้น
ไถบุกเบิก
ไถบุกเบิกเปนอุปกรณทางการเกษตรที่สําคัญอีกชนิดหนึ่ง ซึ่งใชในการเตรียมดิน ไถ
บุกเบิกเปนไถที่มีโครงสรางแข็งแรงและมีจานไถที่หมุนไดรอบตัว ดังนั้นจึงทําใหการไถในดินมี
หิน รากไม ตอไม หรือแมแตในดินที่แหงและแข็งไดดี ไถบุกเบิก ทําหนาที่ตัดดินในแนวดิ่ง
แนวนอน และพลิกดิน เชนเดียวกับไถหัวหมู
สวนประกอบของไถบุกเบิก
ไถบุกเบิกมีชื่ออีกวาไถจานหรือไถกระทะ เพราะมีลักษณะคลายกับกระทะสวนที่
เรียกวาไถบุกเบิกนั้น เนื่องจากความนิยมที่ใชในพื้นทีบ่ ุกเบิกใหม เชน ปาที่เปดใหมซึ่งมีดินที่
เปนอุปสรรคตอการไถมาก ไถบุกเบิก (รูปที่ 2.13) ประกอบดวยสวนตางๆ ที่สําคัญ ดังนี้
1. คานไถ เปนโครงเหล็กเหลี่ยมหรือเหล็กกลมซึ่งมีขาไถยึดติดอยู
2. จานไถ เปนหัวใจของไถบุกเบิก ซึ่งถูกยึดไวกับขาไถดวยลูกปนรูปกรวย (รูปที่ 2.14)
เพื่อทําใหจานไถหมุนไดรอบตัวขณะทีก่ ําลังตัด ยก และพลิกขี้ไถ จานไถที่มีขนาดใหญ
สามารถตัดดินไดกวางและลึก รวมทั้งตัดหญาที่ขึ้นคลุมดินไดดีอีกดวย สวนจานไถที่มีขนาดเล็ก
นั้น กินดินแข็งไดดีกวา จานไถสวนใหญทํามาจากเหล็กพิเศษ และผานกระบวนการชุบ
53
ลักษณะของขี้ไถ
เมื่อจานไถตัดดินขณะเคลื่อนที่จะใหแรงเฉือนและแรงกด โอกาสที่ดินจะแตกออกเปน
กอนเล็กจึงมีมาก
สําหรับการพลิกของขี้ไถนัน้ เนื่องจากลักษณะของไถเปนจาน ขี้ไถที่ไดจึงมีลักษณะ
ของพื้นที่หนาตัดเปนรูปวงรีที่ซอนกันเปนสันคลื่น (รูปที่ 2.16)
การปรับไถบุกเบิก
การปรับไถทีผ่ ิดทําใหการไถไมไดผลดี ไถไดพื้นที่นอย ไมคุมกับคาใชจายและเวลาที่
เสียไป นอกจากนั้นยังอาจจะเปนสามเหตุทําใหตัวไถ หรือรถแทรกเตอรเสียหายได เชน
เพลาทายขาด ยางแตก โซกันเหวี่ยงขาด เปนตน
55
การปรับไถทีถ่ ูกตองควรจะปฏิบัติดังตอไปนี้
1. การปรับไถกอนทํางาน
1.1 ปรับระยะหางของลอหนาและลอหลังของรถแทรกเตอร ใหตรงกับ
คําแนะนําของบริษัทผูผ ลิตไถ โดยปกติถาใชไถ 2-3 จาน ก็ควรจะตั้งระยะหางเทากับ 56 นิ้ว
ถาใชไถ 3-4 จาน ก็ควรจะตั้ง 60 นิ้ว แตถามากกวา 4 จานขึ้นไปใหตั้ง 64 นิ้ว การตั้ง
ระยะหางของลอใหถูกตองจะทําใหดินในรองไถที่หนึ่ง ซึ่งอยูระหวางลอรถแทรกเตอรกับจานไถ
ตัวที่หนึ่งถูกพลิกกลบทั้งหมด นอกจากนั้น ยังทําใหชุดไถไมเบี่ยงเบนออกไปจากทิศทางของ
รถแทรกเตอร เนื่องจากเสนแนวการลากไถตรงกับจุดศูนยกลางแหงความตานทานของไถ
1.2 ปรับเพลาขวาง (cross shaft) ใหไดความกวางของรองตามความตองการ
(รูปที่ 2.17) เมื่อบิดเพลาขวางจะทําใหแขนลากขางหนึ่งหดเขา แขนลากอีกขางหนึ่งยืดออก ซึ่ง
เปนผลใหไถบิดตาม แตเนื่องจากปลายแขนลากทั้งสองมีลูกหมากหรือตาไก (ball and socket
joint) ซึ่งขยับตัวได ดังนั้น ชุดไถจะเหวี่ยงตัวเองเขาไอยูในแนวการลากไถไดขณะที่ทําการไถ
ชุดไถก็ไมเบี่ยงเบนออกไปจากแนวไถ
1.3 ปรับโซกันเหวี่ยงคูนอก ใหแขนลากโยกไปมาไดประมาณ 4 นิ้ว เมื่อติด
ไถแลว ถาโซหยอนเกินไป ไถอาจจะแกวงไปปะทะกับลอรถแทรกเตอร ซึ่งเปนอุปสรรคตอ
การเคลื่อนที่ แตถาโซตึงเกินไป ก็อาจจะทําใหความลึกของการไถถูกจํากัด เพราะโซรั้งไว
1.4 ปรับแขนกลางใหไดความยาวมาตรฐานโดยสังเกตจากรอยควัน่ ที่ทําเปน
เครื่องหมายไว
1.5 ปรับตั้งลอคัดทาย (rear furrow wheel) ใหอยูในตําแหนงที่เหมาะสมกับ
ดินชนิดที่จะไถ โดยปกติบริษัทผูผลิตจะทําเครื่องหมายบอกตําแหนงที่จะปรับใหเหมาะสมกับ
ชนิดดินไว (รูปที่ 2.18) แตถาไมไดทําไวก็อาจจะตองปรับโดยการเลื่อนลอคัดทาย ให
เครื่องหมายที่ทําไวในแนวแกนเพลาตรงกับเครื่องหมายที่ตวั ยึดเพลา ซึ่งสวนใหญจะเปน
ตัวเลข การปรับก็เพียงแตเลื่อนใหตัวเลขตรงกันเทานั้น สําหรับสปริงของลอคัดทายนั้น เมื่อ
ไถในที่ดินแข็งตองขันใหสปริงแข็งขึ้นเพือ่ ใหจานลอคัดทายกินดิน แตถาขันแข็งเกินไปจะทําให
จานไถดินตื้นและทําใหลอหมุนฟรี
56
มุมเอียงยิ่งมากจานไถยิ่งพลิกดินไดดี แตควรจะระวังการอัดตัวแนนของดินเกาะติดกับจานไถ
ดังนั้นจึงควรปรับจานไถใหไดมุมที่เหมาะสมตามตารางที่ 2.2
17. ปรับความกวางของการไถ โดยการเลื่อนตําแหนงขาไถที่ยึดกับคานไถ
เมื่อเลื่อนขาไถจานไถจะเลือ่ นตามไปดวย การใชจานไถที่มีมากกวา 1 จาน สวนใหญมักจะ
ติดตั้งใหรอยไถซอนกันประมาณหนึ่งในสามของเสนผาศูนยกลาง (รูปที่ 2.20) มิฉะนั้นจะมีดิน
บางสวนที่ไมถูกไถ
2. การปรับเมื่อเริ่มไถ
2.1 ปรับแขนลากขางขวา เพื่อใหคานไถอยูในแนวระดับขนานกับพืน้ ดิน
เมื่อมองจากทายรถแทรกเตอร ซึ่งแสดงวาไถกินดินเทากันทุกตัว (เชนเดียวกับรูปที่ 2.4) ทั้งนี้
ควรจะหยุดไถและลงจากรถมาดู หลังจากไถไปได 3-4 เมตร สวนการปรับนั้น ใหปรับที่คัน
ปรับระดับของแขนลางขางขวา
2.2 ปรับแขนกลาง เพื่อใหคานไถอยูในแนวระดับขนานกับพื้นดินเมื่อมอง
จากดานขางของรถแทรกเตอร (เชนเดียวกับรูปที่ 2.3) ถาไมขนานแสดงวาจานไถทุกจานกิน
ดินไมเทากัน ความลึกของการไถไมสม่ําเสมอ ถาแขนกลางสั้นเกินไป ไถตัวหลังจะกินดินลึก
เกินไป
2.3 ปรับแนวตรงของการไถ โดยการสังเกตโซกันเหวีย่ งทั้งสองเสน เมื่อไถ
กินดินในแนวตรงโซกันเหวีย่ งจะหยอนเทาๆ กัน ถาโซขางไหนหยอนแสดงวาไถไปทางดานนั้น
พวงมาลัยรถแทรกเตอรจะฝนมือและโซอาจจะขาดได วิธีแกไขใหสงั เกตความตึงของโซ ถาไถ
เบนไปทางดานขวา โซดานซายจะตึงใหปรับลอคัดทายใหหันชี้ไปทางซาย ถาเบนไปทางซาย
โซดานขวาจะตึงใหปรับลอคัดทายใหหันชี้ไปทางขวา อยางไรก็ตามอยาลืมตรวจดูใหลอคัดทาย
มีความคมอยูเสมอ
2.4 ปรับใบมีดแซะดินใหจุดต่ําสุดของใบมีดอยูเหนือจุดศูนยกลางของจานไถ
เล็กนอย และขอบของใบมีดตองอยูชิดจานไถมากที่สดุ (1.5 ม.ม.) เมื่อตองการไถลึกใหตั้ง
ใบมีดแซะดินใหอยูสูง ถายิ่งใบมีดแซะดินอยูต่ํา ขี้ไถยิ่งแตกดีขึ้นเทานั้น แตในพื้นที่ที่มีหญา
ถาติดตั้งใบมีดแซะดินดวยก็อาจจะทําใหเกิดชองวางทีด่ ินเขาไปอุดตันเปนอุปสรรคตอการหมุน
และพลิกดินของจานไถ ดังนั้น จึงมีการถอดใบมีดแซะดินออก
การบํารุงรักษาไถบุกเบิก
ไถบุกเบิกจําเปนตองไดรับการบํารุงรักษาเชนเดียวกับเครื่องมือทุนแรงทางการ
เกษตรชนิดอื่นๆ ดังนั้นจึงมีการแบงระยะเวลาการบํารุงรักษาเปน 2 ระยะ
1. ระหวางเวลาทีใ่ ชงานหรือขณะไถ ตองมีการอัดจาระบีเขาไปตามขอตอตางๆ
และชิ้นสวนทีเ่ คลื่อนที่เปนประจํา นอกจากนั้นยังจําเปนตองขันนอตที่หลวมและปรับระยะฟรี
ตางๆใหถูกตอง แตถาคิดจะใชไถเปนระยะเวลาหลายๆ วัน ก็ควรจะชโลมน้ํามันไวเพื่อปองกัน
สนิม
59
2. ระหวางที่ไมใชงานหรือเก็บ ตองใชจาระบีทาผิวจานไถสวนที่พลิกดินจนเปนเงา
เพื่อปองกันสนิม แตกอนที่จะทาควรจะลับคมจานไถเสียกอนในกรณีที่ใชงานจนทื่อ อยาลืม
ลับคมทางดานเดิมที่ลับมาจากโรงงาน สวนลูกปนรูปกรวยนั้นถาไมใชแบบที่อัดจาระบีไวสําเร็จ
ก็จําเปนที่จะตองอัดจาระบีเขาไปใหม พรอมกับตรวจสอบอยาใหลูกปนมีระยะฟรีมากจนเกินไป
หลังจากนั้นก็ตรวจสอบดูวา คานไถคดงอหรือไม กอนที่จะนําไปเก็บไวในที่รมโดยไมถูกฝน และ
ไมวางอยูบนพื้นดิน สําหรับการตรวจสอบคานไถนั้นตองนําชุดไถไปวางบนพื้นเรียบ ถาไถแตละ
ตัวไมขนานกันทั้งในแนวตัง้ และแนวราบแสดงวาคานไถคดงอ
ขอดีและขอเสียของไถบุกเบิก
ไถหัวหมูและไถบุกเบิกตางก็มีขอดีและขอเสียที่แตกตางกัน การเปรียบเทียบยอมทํา
ใหสามารถเลือกใชไดเหมาะสมกับสภาพพื้นที่ที่มีอยู
ขอดี
1. ใชงานไดดีใสภาพพื้นที่ที่มีหินปนอยูไดโดยไมเสียหาย
2. สึกหรอชา เนื่องจากจานไถหมุนได ใหแรงเสียดทานลดลง
3. บํารุงรักษางาย และสะดวก เพราะไมจําเปนตองถอดแยกชิ้นสวนตางๆของตัวไถ
ออกจากกัน
4. ใชแรงฉุดลากนอยกวา เนื่องจากมีแรงเสียดทานนอย
5. จานไถมีความคมอยูเสมอ เพราะขณะใชงานจานไถจะหมุนเปนการลับคมไปในตัว
ขอเสีย
1. ไถกินดินนอย ตองใชน้ําหนักถวง เพื่อใหกินดินขึ้น
2. พลิกดินไดไมหมด ทําใหขี้ไถไมสวย
3. ความลึกของการไถถูกจํากัด โดยลูกปนรูปกรวย
วิธีการไถ
กอนทําการไถควรจะแบงพื้นที่ออกเปนสวนๆ เพื่อใหเหมาะสมและสะดวกตอการ
ทํางาน ความกวางของพื้นที่แตละสวนไมควรจะเกิน 40 เมตร สวนความยาวนั้นไมจํากัด
เพราะไมตองเสียเวลาในการกลับรถมาก เมื่อแบงพื้นที่เสร็จแลวก็ทําการตัดหัวงาน หรือแบง
พื้นที่ของแปลงทั้งสองดานใหยาวประมาณ 2 ชวงตัวรถแทรกเตอร การตัดหัวงานทําไดโดย
การปรับใหไถตัวหลังกินดินเพียงผาลเดียว กอนที่จะเดินรถใหไถกินดินเปนแนวตื้นๆ ตลอด
ความยาวของหัวแปลงทั้งสอง เพื่อใชเปนแนวสําหรับสังเกตในในการไถเมื่อเขางานและยกไถ
เมื่อออกจากงาน มิฉะนั้น การวางไถและยกไถจะไมตรงเปนแนวเดียวกัน ทําใหไดขี้ไถไมสวย
60
การเลี้ยวกลับหัวงาน
การเลี้ยวรถแทรกเตอรกลับที่หัวงานเปนปจจัยอยางหนึ่งที่ทําใหการไถเสร็จสิ้นไปดวย
เวลาอันรวดเร็ว รูปที่ 2.24 แสดงวิธีเลี้ยวกลับรถแทรกเตอรที่ถูกตอง และประหยัดเวลา
การเลี้ยวกลับแตละวิธสี ูญเสียเวลาที่แตกตางกัน วิธีเลีย้ วกลับที่เร็วที่สุดหรือเสียเวลา
นอยที่สุดคือวิธีที่ 1 และ2 สวนวิธีที่ 3 และ4 นั้นจะใชกต็ อเมื่อมีความจําเปน เชนความกวางของ
หัวงานเล็กเกินไป
การเก็บงาน
หลังจากที่ทําการไถไปจนเหลือพื้นที่ดานขางทั้งสองหรือขางงานเทากับพื้นที่หวั งานทั้ง
สองดาน ซึ่งเปนที่กลับรถแทรกเตอรแลวก็จะทําการไถเก็บงานโดยการไถวนรอบพื้นที่ที่ยังไม
ถูกไถนี้
65
สําหรับการไถนั่นควรจะไถใหทิศทางการสาดของขี้ไถสลับกันทุกป ปแรกไถใหขี้ไถสาด
เขาไปในแปลง ทั้งนี้ เพื่อปองกันไมใหพื้นที่ของหัวงานเอียงไปขางใดขางหนึ่ง ถาไถแบบ
เดียวกันซ้ํากันทุกๆ ป
การไถเก็บงานโดยใหขี้ไถสาดเขาไปในแปลง (รูปที่ 2.25) จะเริ่มไถตอจากไถรอบ
สุดทายทางดานขางงานเมื่อเห็นวาพื้นทีข่ องขางงานเทากับพื้นที่หวั งานแลว พอไถมาถึง
บริเวณมุมดังในรูปก็ยกไถขึน้ (รูปที่ 2.25 ก) พรอมกับเลียวรถแทรกเตอรทํามุม 270 องศา
เพื่อทําการไถหนาหัวงาน ครั้นไถไปจนถึงมุมอีกดานหนึ่งแลวก็เลี้ยวรถเชนเดิม และทําการไถ
ตอไปเรื่อยๆ แตเมื่อทําการไถไปหลายๆ แนวแลว พื้นที่ในการเลีย้ วรถจะลดลงจนไมพอก็ตอง
ใชวธิ ีถอยหลังเขาไปเก็บงานดังรูปที่ 2.25 ข โดยการยกไถแลววิ่งไปขางหนาเมื่อถึงบริเวณมุม
ที่จะเลี้ยวรถ แลวถอยรถเขาไปตั้งแนวที่ขอบเขตงานหรือขอบแปลง หลังจากจากนั้นก็ทําการ
ไถตอไปขางหนาเชนเดิม เมื่อไถมาถึงบริเวณมุมตอไปก็ทําการเลี้ยวรถเชนเดิม และทําการไถ
ตอไป ดังรูปที่ 2.25 ค จนเต็มพื้นที่ การไถเก็บงานแบบนี้จะปรากฏแนวลอรถทับขี้ไถ และ
พื้นที่สามเหลีย่ มเล็กๆ ที่ไมถูกไถดังในรูปที่ 2.25 ง
การไถเก็บงานโดยใหขี้ไถสาดออกไปจากแปลงนั้น จะไถวนซายหรือทวนเข็มนาฬิกา
โดยเริ่มไถจากขอบเขตงานดานใดดานหนึ่ง เชน ขางงานดังในรูป 2.26 ก เมื่อไถเขาไปใกลมุม
ของแปลงในระยะที่จะเลี้ยวรถไปยังขอบเขตงานอีกดานหนึ่ง ก็ใหยกไถขึ้นและเลี้ยวรถไปตั้งลํา
ชิดกับขอบเขตงานของดานนั้น แลวจึงถอยรถไปใหผาลตัวสุดทายจรดขอบเขตงาน หลังจาก
นั้นก็ทําการไถตอไปขางหนา เมื่อไถมาถึงบริเวณทีจ่ ะเลี้ยวรถก็ใหดําเนินการเชนเดิม ดังรูปที่
66
67
รูปที่ 2.27 ขั้นตอนการไถ
68
จอบหมุน
จอบหมุนเปนเครื่องมือที่ใชในการเตรียมดินชนิดหนึ่ง โดยอาจจะถือวาเปนเครื่องมือ
เตรียมดินครั้งที่หนึ่ง หรือครั้งที่สองก็ได ที่วาเปนเครื่องมือเตรียมดินครั้งที่หนึ่ง เพราะ
สามารถที่จะใชเครื่องมือนี้เพียงหนเดียวก็ปลูกพืชได แตดินตองอยูในสภาพที่ยงั ไมอัดตัวแนน
หรือแข็งมากเกินไป สวนการใชจอบหมุนเปนเครื่องมือเตรียมดินครั้งที่สองนั้น เปนการใช
หลังจากการไถแลว
เครื่องมือชนิดนี้สามารถยอยขนาดกอนดินใหเล็กลงไดตามความตองการ และทํางาน
ไดเรียบรอย รวดเร็วกวาเครื่องมือเตรียมดินชนิดอื่น แตใชกําลังมากกวาในกรณีทรี่ ถ
แทรกเตอรติดเครื่องมือเตรียมดินชนิดอื่น ถึงแมวาขณะที่จอบหมุนทํางานจะเกิดแรงผลักชวย
ใหรถแทรกเตอรเคลื่อนที่ไปขางหนา ซึ่งเปนการชวยกําลังเครื่องยนตในการขับเคลื่อนตัวรถ
ขณะทําการพรวนดินก็ตาม กําลังของรถแทรกเตอรสวนใหญทใี่ ชไปในการขับจอบหมุนก็เพื่อ
หมุนใบมีดใหตัดดิน และเอาชนะแรงตานของดิน ดังนั้น จอบหมุนจะทํางานไดดี และใชกําลัง
69
จากรถแทรกเตอรนอยหรือมากยอมขึ้นอยูกับความเร็วรอบที่หมุน และลักษณะรูปรางของใบมีด
เปนสําคัญ
ลักษณะทัว่ ไป
จอบหมุนประกอบดวยชุดของใบมีด ติดอยูกับเพลา โดยติดตั้งตอๆ กันไปมีลักษณะ
คลายเกลียวสวาน เรียกวา โรเตอร (rotor) ดังรูปที่ 2.28 ก เวลาตองการใหโรเตอรหมุน เพลา
อํานวยกําลังของรถแทรกเตอรก็สงกําลังมายังชุดเกียรของจอบหมุน ซึ่งจะทดรอบสงกําลังตอไป
ยังโซในกลองหุมโซ ไปหมุนเพลาของชุดใบมีดหรือที่เรียกวา โรเตอร อีกทีหนึ่ง ใบมีดจะสับเขา
ไปในดิน และเหวี่ยงดินออกไปขางหลัง ดังรูปที่ 2.28 ข และ 2.28 ค
ขณะที่รถแทรกเตอรเคลื่อนที่ไปขางหนา ใบมีดใบเดิมจะสับเขาไปในดินอีกครั้งหนึ่ง
ประมาณ 2-3 นิ้ว การกระทําอยางนี้จะเกิดซ้ําแลวซ้ําอีก ระยะหางระหางการสับของใบมีดใบ
เดิมเรียกวา ระยะสับ (cut) ดัง A ในรูปที่ 2.28 ข และ 2.28 ค ซึ่งระยะสับนี้จะขึ้นอยูกบั
ความเร็วในการเคลื่อนที่ของรถแทรกเตอร และความเร็วของโรเตอร
ระยะสับยิ่งเล็ก ยิ่งไดดินละเอียด และละเอียดมากขึน้ เมื่อถูกเหวี่ยงใหไปกระทบกับ
กระบังหลัง ดังรูปที่ 2.28 ข
ประโยชนที่สาํ คัญของจอบหมุน ไดมาจากใบมีดที่หมุนดวยความเร็วสูง ทําใหสับดิน
ไดดีถูกกีดขวางนอย และหลังจากใชเครื่องมือนี้ผืนดินคอนขางจะไดระดับ แตก็มีขอเสียคือ
ตองการกําลังในการทํางานมาก และไดความลึกจํากัดอยูระหวาง 4 - 4 ½ นิ้ว (10-12 ซม.)
ถานําไปใชงานในสภาพดินที่แหง ใบมีดาจะสึกเร็ว หรือถาโรเตอรหมุนเร็วมากก็จะสับดินจน
แหลก ซึ่งอาจจะทําใหเกิดปญหาการกัดเซาะ (erosion) ขึ้นภายหลัง ปญหานี้โดยมากจะ
เกิดขึ้นเมื่อใชจอบหมุนในการเตรียมดินครั้งที่สอง ซึ่งจะแกใหโดยใหโรเตอรหมุนชาลง
จอบหมุนแบงออกเปน 3 แบบตามลักษณะการขับของเพลาใบมีด (รูปที่ 2.29)
1. ระบบขับกลาง การหมุนของเพลาใบมีดระบบนี้ไดรับแรงขับจากเพลาอํานวยกําลัง
ที่ขับเฟองเกียรที่อยูกึ่งกลางของเพลาใบมีด
2. ระบบขับขาง การหมุนของเพลาใบมีดระบบนี้ไดรับแรงขับจากเพลาอํานวยกําลังที่
ขับเฟองเกียรที่มีเพลาตอไปยังเฟองโซซึ่งอยูดานขาง
3. ระบบขับแยกสวน เนือ่ งจากเพลาใบมีดมี 2 สวน ดังนี้ การหมุนเพลาใบมีดจึงมี
อาศัยแรงขับจากเพเลาอํานวยกําลังที่แยกออกเปน 2 ขาง แตอาศัยหองเฟองเกียรรวมกัน
สําหรับใบมัดของขอบหมุนนั้นสามารถจัดเปนกลุมตามลักษณะและรูปรางได 3 กลุม
(รูปที่ 2.30) ดังนี้
1. ใบมีดธรรมดา ใบมีดลักษณะนี้สามารถทําใหดินแตกตัวไดดี เหมาะสําหรับการ
พรวนดินในสภาพพื้นที่ที่เปนดินแข็ง โดยอาศัยกําลังจากรถแทรกเตอรนอย
70
การใช การปรับจอบหมุน
1. เลือกใชความเร็วของโรเตอร แลความเร็วของการเคลื่อนที่ของรถแทรกเตอร ให
เหมาะสมกับงานที่จะทํา ในพื้นที่ที่มีหญามากควรจะใชความเร็วของโรเตอรสูง และความเร็ว
ของรถแทรกเตอรต่ํา สวนพื้นที่ที่มีหญานอย ควรจะกําหนดใหใบมีดสับดินใหไดระยะสับกวาง
ขึ้น โดยการลดความเร็วของโรเตอร หรือเพิ่มความเร็วของรถแทรกเตอร หรือทําทั้งสองอยาง
2. ปรับลอปรับความลึกใหไดความลึกมากที่สุดเทากับที่จะปรับได แตก็ไมควรจะลึก
เกินกําลังที่รถแทรกเตอรจะสามารถขับเคลื่อนไปได ดังนั้น กําลังมาของรถแทรกเตอรจึงเปน
ปจจัยสําคัญทีจ่ ํากัดความลึกของการทํางาน
71
3. เมื่อมองจากดานหลังของรถแทรกเตอร จอบหมุนควรจะจะอยูในแนวระดับขนาน
กับพื้นดิน เชนเดียวกับเครือ่ งมือเตรียมดินชนิดอื่นๆ ถาไมไดระดับก็ปรับไดที่คันปรับระดับ ซึ่ง
จะทําใหแขนลากขางขวายกขึ้นหรือต่ําลง (รูปที่ 2.31)
4. เมื่อมองจากดานขางของรถแทรกเตอร จอบหมุนควรจะอยูในแนวระดับขนานกับ
พื้นดิน ถาไมไดระดับก็ปรับไดที่แขนกลาง (รูปที่ 2.32)
5. การปดหรือเปดกระบังหลังขึ้นอยูกับความตองการที่จะใหดินในแปลงหยาบ หรือ
ละเอียด ถาตองการใหดินละเอียดก็ปด ถาตองการหยาบก็เปด
6. เลือกใชความเร็วของโรเตอรต่ําๆ และหลีกเลีย่ งการใชจอบหมุนในดินที่มีสภาพแหง
มาก เพื่อลดความสึกหรอของใบมีด
7. ในการขับรถแทรกเตอรลากจอบหมุนเพื่อยอยดินนั้น ควรจะเริ่มตนจากกึ่งกลางของ
ดานใดดานหนึ่งกอน เมื่อขับรถแทรกเตอรไปจนถึงกึ่งกลางของดานตรงกันขามแลวก็เลี้ยวกลับ
ทางขวาในหัวงาน ใหดานขางของจอบหมุนชิดกับรอยพรวนที่เกิดจากจอบหมุนในรอบกอน
สําหรับตอๆ ไปก็ยังคงเลี้ยววนขยายวงออกไปเรื่อยๆ ดวยวิธกี ารขางตนจนกวาจะหมดแปลง
สําหรับการเตรียมดินดวยวิธีอื่นๆ นั้น ไดอธิบายไวในหัวขอขางหนา
การจัดเรียงใบมีด
การนําจอบหมุนไปใชเตรียมดินนั้นมีหลายลักษณะ ขึ้นอยูกับวัตถุประสงคของผูใช
เชน ไถหรือยอยดินใหเรียบ ยกรองตรงกลาง ยกรองสองขาง หรือพรวนระหวางแถว ในการ
ปฏิบัติงานเหลานี้จะตองมีการจัดเรียงใบมีดใหม ดังรูปที่ 2.33
72
วิธีเตรียมดินดวยจอบหมุน
การเตรียมดินดวยจอบหมุนที่ติดทายรถแทรกเตอรมีหลายลักษณะ ดังที่ไดแสดงไวใน
รูปที่ 2.34
73
การบํารุงรักษา
การบํารุงรักษาจอบหมุนที่สาํ คัญ มีดงั นี้
1. อัดจารบีทหี่ ัวอัด ซึ่งสวนใหญจะอยูท ี่ลอ ปรับความลึกและเพลาอํานวยกําลัง
2. ตรวจ และเติมน้าํ มันเกียรในกลองหุมโซใหไดระดับอยูเสมอ
3. ตรวจ และตั้งโซใหตึงตามที่ระบุไวในหนังสือคูมือ
4. เปลีย่ นใบมีดที่สึกทั้งชุด แตอยาถอดทัง้ ชุดออกทันที ควรจะเปลี่ยนใบมีดที่สกึ ทีละ
อัน ใหตรงตําแหนงเดิมเพื่อปองกันการสับสน
74
พรวนจาน
พรวนจาน (disc harrow) เปนอุปกรณที่ใชสําหรับยอยดินใหแตกเปนกอนเล็กๆ เพื่อให
ดินมีสภาพที่เหมาะสมสําหรับการเจริญเติบโตของพืช โดยไมทําใหวัชพืช เศษพืช หรือพืชคลุม
ดินที่ไถกลบไวกลับขึ้นมาอยูเหนือดิน แตจะสลายตัวกลายเปนปุยตอไป ดังนั้น พรวนจานจึง
เปนเครื่องมือที่เหมาะสมสําหรับเตรียมแปลงเพาะปลูกที่สําคัญ
สําหรับการพรวนนัน้ ความเร็วของรถแทรกเตอรตองสูงพอที่จะทําใหดินแตก
ละเอียดตามความตองการ
ถาการพรวนครั้งแรก ดินบางสวนไมแตกเปนกอนเล็กพอ แตถา พรวนครั้งทีส่ อง ดินก็
ละเอียดมากเกินไป ในสภาพเชนนี้ควรผูกโซตามขวางดานหลังของพรวนเพื่อลากไปกับพื้นดิน
จะทําใหดินเรียบ ไดระดับเหมาะสมสําหรับการหยอดเมล็ดพืช ถาไมมีโซก็อาจจะใชทอนไมลาก
แทนได
ลักษณะทัว่ ไป
พรวนจานมีลักษณะแตกตางกับไถจาน กลาวคือจานพรวนทุกตัวยึดติดกับทอกลวง
เปนแถว ภายในทอกลวงมีแกนยึดติดกับโครงพรวน (รูปที่ 2.35) ขณะทําการพรวน จานพรวน
ทุกตัวหมุนไปรอบๆแกนเพลาทั้งหมด พรวนจานแบงออกเปน 3 แบบ ดังตอไปนี้
1. แบบทีท่ ํางานครั้งเดียว (single acting) หรือแบบรูปตัววี (รูปที่ 2.36) พรวนจาน
ชนิดนี้ประกอบดวยจาน 2 ชุด วางอยูในลักษณะผลักดินออกไปจากแนวทิศทางการเคลื่อนที่
แตเครื่องมือแบบนี้จะทิ้งแนวดินที่ไมถูกพรวนอยูระหวางชองวางของปลายตัววี ซึ่งเปนขอเสียที่
สําคัญที่ทําใหหมดความนิยมใชลงไปเรื่อยๆ ถึงแมวาจะมีการติดตั้งเหล็กสปริงโคงรูปตัวซีเสริม
เขาไป เพื่อทําหนาที่พรวนก็ตาม
2. แบบทํางานสองครั้ง (double acting) (รูปที่ 2.37) พรวนจานแบบนี้มีชุดพรวน
เพิ่มขึ้นอีก 2 ชุด ตอกับแบบ แรกแตอยูในลักษณะตัววีหัวกลับ เพื่อทําหนาที่ผลักดินกลับ
เขาไปอยูในแนวเดิมเหมือนกับกอนที่จะถูกพรวน โดยพรวนจานรูปตัววีชุดแรก (รูปที่ 2.38)
ดังนั้น เมื่อใชพรวนแบบนี้ดนิ จะถูกพรวนสองครั้ง ทําใหดินในแปลงที่ถูกพรวนคอนขางไดระดับ
3. แบบเยื้องขาง (offset) (รูปที่ 2.39) พรวนจานแบบนี้ประกอบดวยชุดพรวน 2 ชุด
วางอยูในลักษณะเปนรูปตัววีนอน พรวนชุดแรกจะทําหนาที่ตัดดินกอนใหญและผลักดินที่ยอย
แลวไปทางขาว หลังจากนั้นพรวนชุดที่สองจะยอยดินอีกครั้งหนึ่งกอนที่จะผลักกลับเขาไปอยูใน
ตําแหนงเดิม พรวนจานแบบนี้มีขอดีคือ เขาไปพรวนใกลกลับตนพืชไดมากกวาแบบอื่นๆ
จานพรวนสวนใหญจะเปนแบบจานกลมขอบเรียบ ถาเปนแบบขอบหยัก (รูปที่ 2.40)
จะนิยมใชในแปลงที่มีหญา หรือวัชพืชคอนขางมาก เพราะตัดหญาไดดี ขนาดของจานสวนมาก
จะมีเสนผาศูนยกลางอยูระหวาง 400 ถึง 700 มิลลิเมตร และความลึกในการพรวนดินประมาณ
1/4 ของเสนผาศูนยของจานพรวน
หลักการใชงาน
การใชพรวนทีถ่ ูกตองควรจะยึดถือหลักปฏิบัตดิ ังนี้
1. พรวนชุดหนาและชุดหลัง ควรจะตองกินดินลึกเทาๆ กัน ถาชุดใดชุดหนึ่งกินดิน
มากกวากัน จะทําใหรถแทรกเตอรเหไปทางซายหรือขวา และการบังคับพวงมาลัยใหรถเดิน
77
ตรงทําไดยาก
การปรับใหพรวนกินดินลึกเทาๆ กัน ทําไดโดยการขันหรือคลายแขนกลาง ถาขัน
แขนกลางใหสนั้ เขาจะทําใหพรวนชุดหลังสูงขึ้นจากพื้นดิน และถาคลายแขนกลางใหยาวออก
พรวนชุดหนาจะสูงขึ้นจากพื้นดิน
2. เมื่อยืนอยูดานหลังของรถแทรกเตอรขณะทีก่ ําลังพรวนอยู หรือพรวนไปไดสัก 2-
3 เมตร หยุดรถลงมายืนดูดานหลัง คานที่ยึดพรวนควรจะอยูในแนวระดับขนานกับพื้นดิน นั่นก็
หมายความวา พรวนจะไมกนิ ดินลงไปลึกทางดานใดดานหนึ่ง
การปรับใหพรวนอยูในแนวระดับขนานกับพืน้ ตองปรับทีค่ ันปรับระดับ การหมุนคัน
ปรับระดับจะทําใหแขนลากขางขวาสูงขึน้ หรือลดลง แลวแตทศิ ทางของการหมุน
3. ความลึก และความเร็วในการพรวนมีความสําคัญมาก ความลึกของงานจะเพิ่ม
ขึ้นถาเพิ่มน้ําหนักลงบนคาน หรือโครงของพรวน หรือถาปรับมุมระหวางจานพรวนกับทิศทาง
ของการพรวนใหเล็กลง
ความเร็วของการพรวนก็มีผลกระทบกระเทือนตอความลึก เมื่อความเร็วลดลงพรวน
จะกินดินลึกแตดินจะแตกนอยลง เมื่อเพิ่มความเร็วขึ้นพรวนจะกินตืน้ แตดินจะแตกมากขึ้น
4. การบํารุงรักษาพรวนจานที่สาํ คัญที่สุดคือการอัดจาระบี หัวอัดจาระบีควรจะสะอาด
จาระบีผานเขาไปไดงาย ถาชํารุดหรืออุดตันควรจะเปลีย่ นใหม
ขอสําคัญอีกประการหนึ่งคือพรวนที่บิ่น หรือหัก ควรจะเปลี่ยนใหม และควรจะตรวจ
สอบดูนอตที่ยดึ พรวนเปนประจํา ถาหลวมตองขันใหแนนเสมอ
เครื่องมือประเภทซี่
เครื่องมือเตรียมดินประเภทซี่(tined implement) (รูปที่ 2.41) เปนทั้งเครื่องมือเตรียม
ดินครั้งที่หนึ่ง เชนไถดินดาน ไถสิ่ว และเครื่องมือเตรียมดินครั้งที่สอง เชนพรวนซี่ พรวนสปริง
ลักษณะทั่วไป
เครื่องมือประเภทนี้ มีหลักการทํางานคือ จิกลงไปในดิน และถูกลากไปตลอดแนวทําให
ดินแตกรวนโดยไมมีการพลิกดินเชนไถหัวหมู หรือไถจาน คุณภาพของดินที่ตองการขึ้นอยู
79
ไถดินดาน
ไถประเภทนี้ใชระเบิดดินดานหรือดินชั้นลางที่ถูกอัดแนน ซึ่งเกิดขึ้นเนื่องจากน้ําหนัก
ของรถแทรกเตอร หรือเครื่องมือทุนแรงที่มี่น้ําหนักมากซึ่งเคลื่อนที่ผานบอยๆ ทําใหดินนั้น
แตกแยกออก ปลอยใหน้ําไหลลงไปสูดินชั้นลาง และน้าํ ใตดินเคลื่อนที่ไปสูดินชั้นบน
นอกจากนั้นยังชวยใหรากพืชเจริญเติบโตลงไปหาอาหารในดินชั้นลางอีกดวย (รูปที่ 2.42)
ไถสิ่ว
ไถประเภท (รูปที่ 2.44) นี้ใชสําหรับระเบิดดินเชนเดียวกัน แตจะตืน้ กวาไถดิน
ดาน และลึกกวาการไถธรรมดา ดังนั้นวัสดุที่ใชสรางจึงมีความแข็งแรงนอยกวา รถแทรกเตอร
ขนาดกลางก็สามารถลากไดถึงครั้งละ 8 ตัว โดยติดตั้งใหหางกัน ประมาณ 30 เซนติเมตร ตาม
หลักการแลวลักษณะของขาไถ และมุมยกของปลายหัวเจาะจะมีผลตอแรงฉุดลากมาก มุมยกนี้
คือมุมที่เอียงออกไปจากระดับดิน เมื่อไถจมลงไปในดิน โดยปกติขาไก และมุมยก 20 องศา
เปนมุมที่ใชแรงฉุดลากต่ํา ขาไถทีต่ รงยอมจะถูกตานทานจากดินคอนขางสูง สวนขาไถโคง
มักจะเกิดมีการสะสมและอัดตัวของดินในสวนโคงนั้นมาก ทําใหเสียกําลังฉุดลากสูงกวาเมื่อไถ
ดินลึก
คราดซี่
เครื่องมือประเภทนี้ (รูปที่ 2.47) มีความแข็งแรงนอยกวาไถสิว่ เพราะใชกับงานที่อยู
ใกลผวิ ดินเชน ยอยกอนดินที่ไดจากการใชเครื่องมือเตรียมดินครั้งที่หนึ่ง กําจัดวัชพืชที่ขึ้นอยู
ระหวางแถว หรือถอนรากวัชพืชออกจากดิน
หัวเจาะทีต่ ิดอยูกับปลายซีค่ ราดมีหลายลักษณะขึ้นอยูก ับงานที่ตองการ ดังที่แสดงไว
ในรูปที่ 2.48
พรวนซี่
เครื่องมือประเภทนี้ (รูปที่ 2.49) ไมมีหัวเจาะที่เปลีย่ นได ซี่พรวนจะสั้น มีน้ําหนัก และ
รูปรางที่แตกตางกัน ซี่พรวนที่โคงไปขางหนาจะกินดินไดลึกกวาซี่พรวนตรงและโคงไปดานหลัง
เครื่องมือประเภทนี้เหมาะสําหรับแปลงเพาะที่ตองการเตรียมดินละเอียดมาก โดยปกติซี่ฟนจะ
ยึดติดกับโครงพรวนแบบสลับฟนปลาตั้งแต 20-30 ตัว
พรวนสปริง
เครื่องมือประเภทนี้ (รูปที่ 2.50) ใชสําหรับยอยดินใหแตกรอน ทําลายวัชพืช และ
ผสมปุยหรือวัสดุเนาเปอยใหเขากับดินไดดี พรวนแบบนี้กินดินไดลกึ และสม่ําเสมอกวาพรวนซี่
นอกจานั้นยังใชไดดีในสภาพดินที่มีหิน ขรุขระและไมเรียบไดดี
การใชเครื่องมือประเภทซี่
1. กรณีที่ใชเครื่องมือที่มีซี่หลายๆ ตัว ตองแนใจวาคาน (toolbar) อยูในแนวระดับ
ขนานกับพื้นดิน (ปรับไดที่คันปรับระดับ)
2. ระดับขางหนาและขางหลังของเครื่องมือตองไมสูงหรือต่ํา ถาไมไดระดับปรับที่แขน
กลาง
3. ความลึกและความเร็วของการทํางานเปนสิ่งที่สําคัญที่สุด ถาความเร็วเพิ่มขึ้น จะ
ทําใหยอยดินไดละเอียดขึ้น แตเมื่อความเร็วเพิ่มขึ้น ความลึกจะลดลงเพราะกําลังรถ
แทรกเตอรจํากัด ดังนั้น จึงจําเปนตองเลือกวาจะใหเครื่องมือกินดินลึกแตใชความเร็วต่ํา หรือ
กินดินตื้นแตใชความเร็วสูง
84
เครื่องมือยกรอง
เครื่องมือยกรอง (ridger) แบงออกเปน 2 แบบ คือ แบบหัวหมู (moldboard) และ
แบบจาน (disc) แบบหัวหมูแบงยอยออกไดอีกเปนชนิดปกนูน (convex board) และชนิดปกเวา
(concave board)
เครื่องมือยกรองแบบหัวหมูชนิดปกนูนจะงัด และดันดินออกดานขางทั้งสองขาง (รูปที่
2.51 ก) ทําใหเกิดสันรอง ที่ดินอัดตัวกันคอนขางแนน ซึ่งเหมาะสําหรับปลูกมันฝรัง่ และถั่วลิสง
เครื่องมือยกรองแบบหัวหมูชนิดปกเวา จะงัดดินและดันเขาดานใน (รูปที่ 2.51 ข) เกิด
เปนสันรองขึ้นเชนเดียวกัน โดยแทจริงแลวการทํางานของปกทั้งสองขางก็เหมือนกับเอาไถหัว
หมู 2 ตัว มาหันหลังชนกัน แตละตัวก็ทาํ หนาที่เหมือนกับพลิกดิน เครื่องมือชนิดนี้ใชแทนไถ
ได โดยใชในการเบิกสันรองเกาซึ่งเคยปลูกพืชแลว เพื่อใหไดสันรองใหม สําหรับพืชรุนใหม
ตอไป
เครื่องมือยกรองแบบจาน (รูปที่ 2.51 ค) จะทําใหเกิดสันรองใหญแตไดดินหยาบ ซึ่ง
เหมาะสําหรับพืชหัว เชน มันสําปะหลัง มันเทศ โดยที่ชาวไรสามารถจัดจุดที่จะปลูกใหเหมาะ
สําหรับการหยอดเมล็ด และปลอยใหสันรองที่เหลือเปนดินหยาบ เพื่อปองกันการกัดเซาะ
การใชเครื่องยกรองแบบหัวหมู
การใชเครื่องมือแบบนี้มีขอที่ควรจะปฏิบตั ิตาม โดยไมคํานึงถึงวาจะเปนชนิดปนนู
หรือปกเวา ดังนี้
1. ตัวทําสันรองที่ติดกับคาน (toolbar) จะตองอยูในแนวระดับขนานกับผิวดินขณะที่ทํา
การยกรอง ถาไมไดระดับก็ปรับไดที่คันปรับระดับ (leveling box) โดยการยกหรือลดแขนลาก
ขางขวา
2. ตัวทําสันรองจะตองอยูในแนวระดับทัง้ หนาและหลัง เมื่อมองทางดานขางของ
แทรกเตอร ถาไมไดระดับก็ใหปรับทีท่ ี่แขนกลาง
3. ถามีครีบกันโคลง (stabilizer fin) ติดอยูควรจะปรับใหสูงขึ้นหรือต่ําลงตามระดับ
ความสูงของสันรองที่ตองการยก
85
การใชเครื่องยกรองแบบจาน
เครื่องยกรองแบบนี้มีขอทีค่ วรจะปฏิบัตติ าม ดังนี้
1. ตัวทําสันรองควรจะอยูในแนวระดับกับดิน ขณะกําลังยกรอง โดยเฉพาะอยางยิ่ง
เมื่อมีการใชจานหลายชุด การปรับก็ปรับไดที่คันปรับระดับ
2. การใชเหล็กกันโคลง (stabilizer bar) จําเปนอยางยิ่ง เพราะจะตองปองกันสันรอง
ไมใหเบนไปดานหลัง หรือบิดเบี้ยว
3. ความเร็วและความลึกขณะกําลังยกรอง มีความสําคัญมากเชนกัน ถายิ่งลึกสันรอง
ยิ่งสูง และมีดินใหพืชมาก เหมาะสําหรับพืชหัว ถาความเร็วยิ่งสูง ดินยิ่งถูกยอยมากและดินที่
สันรองจะละเอียด เพราะฉะนั้น ควรจะวิง่ รถแทรกเตอรดวยความเร็วสูง และตั้งใหกินลึก
4. ควรจะอัดจารบีที่แบริ่งของจาน และตรวจดูความแนนของนอตเปนประจํา สวน
จานที่หักหรือบิ่นควรจะเปลีย่ นใหมหรือลับใหคม
87
บทที่ 3 เครื่องปลูก
(Planters)
88
บทนํา
การปลูกพืชเปนงานที่เกี่ยวกับการนําเมล็ด ตนกลาและทอนพันธุล งสูดินที่ไถพรวนไว
แลว โดยใหไดระยะและความลึกตามทีต่ องการ ในขณะเดียวกันก็ทําการกลบดินที่อยูโดยรอบ
ดวย
โดยทั่วๆ ไป การปลูกพืชมีลักษณะ 3 ประการ คือ การปลูกบนพืน้ ราบ การปลูกใน
รอง และการปลูกบนสันรอง สําหรับการปลูกบนพื้นราบนั้น มักจะทําในบริเวณที่สภาพพื้นที่
และสิ่งแวดลอมเหมาะกับการเจริญเติบโตของพืช มีความชื้นพอเหมาะ ไมมีปญหาเรื่องน้ําทวม
สวนการปลูกพืชในรองนั้น เหมาะสําหรับพื้นที่เพาะปลูกที่คอนขางแหงแลง เพราะสามารถให
น้ําไปตามรองได และดินภายในรองยังรักษาความชืน้ ไวไดดีกวาดินที่สันรอง นอกจากนั้นสัน
รองยังทําหนาที่บังคับลมใหกับตนพืชไดอีกดวย สําหรับการปลูกบนสันรองนั้นเหมาะสําหรับ
พื้นที่ที่มีน้ํามาก เกิดน้ําทวมบอย เพราะน้ําสามารถระบายออกไปตามรองได นอกจากนั้นยัง
เหมาะสําหรับพืชที่ไมชอบความชื้นสูง
เครื่องปลูกสามารถจําแนกออกไดเปน 3 ประเภทตามลักษณะของสิ่งที่จะปลูกคือเมล็ด
พันธุ ตนกลา หรือทอนพันธ ดังแผนผังที่แสดงไวในรูปที่ 3.2
89
เครื่องปลูก
เครื่องโรยเมล็ด
เครื่องพนหวานเมล็ด
เครื่องปลูกที่ใชเมล็ด
เครื่องปลูกทีใ่ ชเมล็ดแบงออกไดตามลักษณะหรือวิธีการปลูก 3 ประเภทดังนี้
1. เครื่องหยอดเมล็ด (spacing drill) เปนเครื่องปลูกชนิดแมนยําโดยมีหลักการทํางาน
คือจับและปลอยเมล็ดพืชลงไปสูดินครั้งละเมล็ดตามระยะระหวางตน และระยะ
ระหวางแถวทีก่ ําหนดไว เชน ขาวโพด
2. เครื่องโรยเมล็ด (seed drill) เปนเครื่องปลูกชนิดเปนแถว โดยที่เครือ่ งมือประเภทนี้
จะจับและปลอยใหเมล็ดลงสูดินเปนแถว แถวหนึ่งมีหลายเมล็ด เชน ผักชี
3. เครื่องหวานเมล็ดเปนเครื่องปลูกที่กระจายเมล็ดออกไปทั่วทั้งแปลงที่ไดเตรียมดิน
ไวแลว โดยไมมีระยะระหวางแถวและระยะระหวางตน เชน การทํานาหวาน
เครื่องหยอดเมล็ดทําใหสามารถกําหนดจํานวนพืชที่ปลูกตอไรไดสูงสุด เพราะมีการ
หยอดเมล็ดใหมีระยะหางที่แนนอน ความลึกถูกตอง และกลบดินใหแนนอยางสม่ําเสมอ ทําให
พืชมีโอกาสแกพรอมกัน ซึ่งเปนเหตุใหเก็บเกีย่ วไดพรอมกันตลอดทั้งแปลง โดยอาจจะนํา
เครื่องจักรเขาไปเก็บเกีย่ วหรือกําจัดวัชพืชไดสะดวก
เครื่องหยอดเมล็ดและเครื่องโรยเมล็ด
เครื่องหยอดเมล็ดและเครื่องโรยเมล็ดประกอบดวยชิน้ สวนที่สําคัญ 5 ประการ
ดังตอไปนี้ (รูปที่ 3.3)
90
กลไกปอน
ในบรรดาชิ้นสวนทั้งหมดที่กลาวมา กลไกปอนเมล็ดเปนชิ้นสวนที่สลับซับซอนและ
สําคัญที่สุด เครื่องปลูกสวนมากมักจะใชกลไกทีเ่ รียกวา จานจับเมล็ด (seed plate) ดังรูปที่ 3.4
ขอบนอกของจานจับเมล็ดเปนชองกลมๆ มีขนาดและจํานวนตามทีต่ องการเรียกวาชอง
จับเมล็ด (seed hole) จานจับเมล็ดนี้ถูกออกแบบมาสําหรับติดตั้งที่กน ถังใสเมล็ด
เพลาขับที่ไดรบั แรงจากลอของเครื่องปลูกจะเปนตัวหมุนจานจับเมล็ด ชองจับเมล็ดเปน
ตัวจับเมล็ดไวและหมุนไปจนกระทั่งถึงรูทกี่ นถัง เมล็ดก็จะหลนออกจากรูผานทอลงไปในดิน
ขนาดของชองจับเมล็ดที่เจาะตองมีขนาดพอดีกับเมล็ดของพืชที่จะหยอด ถึงแมวาจะ
ถูกใสไวที่กนถังใสเมล็ด โดยวางเอียงเปนมุม หรือวางในลักษณะใดๆ ก็ตาม การทํางานก็คง
เดิม
รูปที่ 3.5 ก เปนรูปของจานจับเมล็ดติดตั้งอยูที่กนถังในแนวราบ มีชองจับเมล็ดลักษณะ
กลม และเหล็กปดเมล็ดสวนเกินออกจากชอง
รูปที่ 3.5 ข เปนจานจับเมล็ดที่ติดตั้งอยูในลักษณะเอียง มีชองจับเมล็ดเปนถวยลึกไมมี
เหล็กปดเมล็ดสวนเกิน เมล็ดพืชจะถูกจับใหติดมากับจานจากสวนลาง และติดขึ้นไปกับจาน พอ
ถึงสวนบนก็จะรวงลงสูทอสงเมล็ด ตกลงไปสูรองปลูกตอไป
รูปที่ 3.5 ค เปนจานจับเมล็ดแบบตั้งที่ประกอบขึ้นดวยจาน 2 แผน ซึ่งแตละแผนจะถูก
เจาะใหเปนรูเสี้ยววงกลมเปนระยะๆ โดยรอบ เมื่อนํามาประกบเขาดวยกัน โดยสอดแผนเหล็ก
ไวระหวางกลาง จะไดชองจับเมล็ดเปนรูครึ่งวงกลมที่มีระยะหางเทาๆดันอยูตรงกลางโดยรอบ
เมื่อเครื่องปลูกทํางาน จานจับเมล็ดนี้จะหมุนนําเมล็ดจากถังลงไปสูดานลาง และรวงลงสูทอสง
เมล็ด ตกลงไปสูรองปลูก แตถาเมล็ดทีถ่ ูกจับไวแนนเกินไป ไมหลุดรวงลงไป เหล็กดีดเมล็ดซึ่ง
อยูในชองวางระหวางจานทัง้ สองจะทําการดีดออก สําหรับลูกกลิ้งที่ติดตั้งไวดานบนนั้น มี
หนาที่ปาดเมล็ดสวนเกินออกจากชองจับเมล็ด ลูกกลิ้งนี้จะหมุนในทิศทางเดียวกับจานจับเมล็ด
แตเร็วกวา
92
นั้นก็สามารถปรับไดโดยการเลื่อนลูกกลิ้งไปตามแนวขนาน หรือปรับที่ชองเปดของถังใสเมล็ดที่
ติดกับลูกกลิ้ง เครื่องปลูกแบบนี้สามารถโรยเมล็ดพืชไดอยางสม่ําเสมอ โดยที่สภาพของพื้นที่
หรือความลาดเอียงไมมีผลตอการโรย มีระบบการทํางานก็งาย แตอาจจะมีปญหาในการโรย
เมล็ดที่มีขนาดเล็กหรือขนาดใหญเกินไป
นอกจากกลไกที่ใชปอนเมล็ดจะเปนลูกกลิ้งที่มีชองเฟองตรงแลว ยังมีลูกกลิ้งแบบที่มี
ปุมสี่เหลี่ยมอยูโดยรอบ (รูปที่ 3.7) ลูกกลิ้งชนิดนี้ปรับใหเลื่อนไปตามแนวแกนไมไดอัตราการ
หยอดเมล็ดจึงปรับไดที่ความเร็วรอบของการหมุน สวนขนาดของลูกกลิ้งนั้น ใหเลือกใชไดตาม
ความตองการขึ้นอยูกับขนาดของเมล็ดพืชที่จะปลูก ดังนั้น เครื่องปลูกที่ใชกลไกปอนเมล็ดแบบ
นี้จึงใชไดกับเมล็ดพืชไดหลายชนิด การหยอดก็สม่ําเสมอ เมล็ดไมแตก การปรับตั้งสามารถทํา
ไดสะดวกและรวดเร็ว
ทอสงเมล็ด
รูปที่ 3.8 แสดงชนิดของทอสงเมล็ดลงสูดิน ซึ่งมีหลายชนิด ทั้งนี้ทําดวยเหล็กหรือ
พลาสติก แตทุกชนิดตองมีความแข็งแรง และเปลี่ยนแปลงความยาวได เนื่องจากสวนปลายทอ
ยึดติดกับตัวเบิกรอง ซึ่งยกขึ้นลงไดเมื่อกระแทกกับหินหรือตอไม เพื่อลดความเสียหาย
1 ทอเหล็ก
2 ทอมวนที่ดึงยืดหดได
3 ทอยืดออกได
อุปกรณเบิกรอง
อุปกรณเบิกรองทําหนาที่เปดหนาดินใหเปนรองสําหรับหยอดเมล็ด สวนความลึกของ
รองที่เปดนั้นปรับได ขึ้นอยูกับชนิดของเมล็ดที่จะปลูกตัวเบิกรองมีหลายชนิดดังที่ปรากฏในรูปที่
3.9 แบบสันโคง (full หรือ curved runner) เหมาะสําหรับเปดรองใหลึกปานกลาง โดยที่ดินไม
มีเศษหญาหรือเศษวัชพืช การปลูกขาวโพดและฝายก็ใชตวั เบิกรองชนิดนี้ได แตถามีกรวด
ทรายหรือวัชพืชมาก อุปกรณเบิกรองแบบสันตื้น (stub runner) จะเหมาะสมกวา สําหรับแบบ
จอบ (hoe-type) นั้น ก็ใชไดดีในดินที่มีกรวดหิน หรือรากพืชปนอยูได การเปดรองทําไดลึก
และมีสปริงชวยยกตัวเบิกรองขึ้น เพื่อลดความเสียหายจากการกระแทกดวย สวนแบบจาน
(disk-type) นั้น เหมาะสําหรับดินแข็งและมีเศษวัชพืชมาก ในดินเหนียวก็ใชไดเพราะมีเหล็ก
ขูดติดอยู จานเปดรองนี้มีทั้งแบบจานเดี่ยวและจานคู จานเดี่ยวเปดรองไดลึกและตัดเศษวัชพืช
ไดดีกวาจานคู
ลอกลบดิน
ลอกลบดิน (รูปที่ 3.10) เปนสวนที่ทําหนาที่กลบดินฝงเมล็ดพืช และอัดดินใหสัมผัสกับ
เมล็ดพืช ลอกลบดินมีหลายชนิด ชนิดทีเ่ วาหนาลอเขาขางในเหมาะสําหรับเมล็ดขาวโพด ชนิด
ลอเรียบเหมาะสําหรับเมล็ดผัก สวนชนิดหนาลอมีสันเหมาะสําหรับพืชหัว
หลักการใชงาน
การใชเครื่องปลูกควรจะปฏิบัติดังตอไปนี้
1. เลือกใชจานจับเมล็ดใหเหมาะสมกับพืชทีจ่ ะปลูก โดยใหมีจํานวนและขนาดของ
ชองจับเมล็ดตามที่ตองการ และหมุนดวยความเร็วที่ถูกตอง เพื่อใหไดตนพืชโต
ขึ้นอยางมีระเบียบโดยมีระยะหางเทาๆ กัน ระยะของพืชในแถวขึ้นอยูกับขนาดของ
เฟองขับ (drive sprocket) และจํานวนชองจับเมล็ด ซึ่งจะระบุไวในหนังสือคูมือ
ของเครื่องปลูก
2. ชนิดเครื่องปลูกเขากับรถแทรกเตอร โดยใหมีระยะหางระหวางแถวพืชตามที่
ตองการ
3. ปรับอุปกรณเบิกรองใหกินดินลึกตามความตองการ เพื่อใหไดรองสําหรับหยอด
เมล็ดที่มีความลึกตามความตองการ
4. โครงของเครื่องปลูกควรจะอยูในแนวระดับขนาดกับพืน้ และเครื่องปลูกแตละตัว
ควรจะเปดรองไดความลึกเทากับ
96
5. ตรวจสอบความยาวของแขนกลาง เพื่อไมใหแรงกดเกิดขึ้นมากที่ดานหนาหรือ
ดานหลังของเครื่องปลูกขณะปฏิบตั ิงาน
6. ควรจะตรวจสอบสิ่งตางๆ เหลานี้ในไรเปนประจํา
6.1 เมล็ดควรจะเต็มอยูในถังใสเมล็ดเสมอ
6.2 ทอสงเมล็ดไมควรจะอุดตัน (โดยเฉพาะขณะที่ดินชื้น)
6.3 เมล็ดทุกเมล็ดควรจะถูกกลบ
7. ระยะระหวางแถวควรจะเทากันตลอด โดยการปรับอุปกรณขีดแนวใหเครื่องหมาย
เปนเสนตรงไว เพื่อขี้นําลอซายของแทรกเตอร
8. ปฏิบตั ิงานที่ความเร็วพอเหมาะ ถาเร็วเกินไปเครื่องปลูกจะกระดอนขึ้นและเมล็ด
หลนออกมามาก ทําใหอัตราการหยอดเมล็ดเสีย
9. ควรจะอัดจารบีและหยอดน้าํ มันอยางสม่ําเสมอ และขอที่สําคัญก็คอื ตองทําความ
สะอาดทุกๆ สวน กอนทีจ่ ะนําไปเก็บหลังฤดูเพาะปลูก โดยเฉพาะอยางยิ่งสวนที่
สัมผัสกับปุยจะทําปฏิกิริยาเคมีกับเหล็ก ทําใหชิ้นสวนนั้นเสียหาย
อัตราการปลูก
โดยปกติบริษทั ผูผลิตมักจะแนบหนังสือคูมือการใชเครือ่ งปลูกแจกใหมากับผูซื้อเสมอ
หนังสือคูมือดังกลาวจะบอกอัตราการปลูก และการตัง้ กลไกที่ควบคุมอัตราการปลูกใหเปนไป
ตามจํานวนทีต่ องการ อยางไรก็ตาม การทํางานในสภาพพื้นทีท่ ี่จํานําเครื่องปลูกนั้นไปใช
อาจจะแตกตางจากสภาพพื้นที่ไดทดสอบของบริษทั ผูผลิต ดังนั้น อัตราการจับเมล็ดอาจจะ
คลาดเคลื่อนไป วิธีที่ดีทสี่ ดุ ก็คือทดสอบหาอัตราการปลูกใหม ซึ่งอาจจะชวยใหประหยัดเมล็ด
พันธได สําหรับอัตราการปลูกนี้จะแสดงเปนหนวยน้ําหนักตอพื้นที่ปลูก
1. การหาอัตราการปลูกของเครื่องโรยเมล็ด
1.1 เครื่องมีลอขับ (drive wheel)
Q = L × 1000
π×n× W
Q = อัตราการจับเมล็ด (กิโลกรัม/เฮกตาร)
L = จํานวนเมล็ดที่จับและปลอยเมื่อลอขับหมุนได n รอบ
ตามกําหนด (กิโลกรัม)
n = จํานวนรอบของลอขับ
W = ความกวางของการทํางาน ซึ่งไดจาก
จํานวนแถว × ระยะระหวางแถว (เมตร)
D = เสนผาศูนยกลางที่แทจริงของลอขับ ซึ่งมีคาเทากับระยะที่วัดได
จากจํานวนที่กําหนด (เมตร) ÷ (π × จํานวนรอบที่กําหนด)
97
1.2 เครื่องที่ขับโดยเพลาอํานวยกําลัง
Q = M × 1000
V×T×W
Q= อัตราการจับเมล็ด (กิโลกรัม/เฮกตาร)
M= จํานวนเมล็ดที่จับและปลอยออกมาในระยะเวลาที่กําหนด
(กิโลกรัม)
T = ระยะเวลาที่กาํ หนด (วินาที)
W = ความกวางของการทํางาน (เมตร)
V = ความเร็วของรถแทรกเตอร (เมตร/วินาที)
2. การหาอัตราการปลูกของเครื่องหยอดเมล็ด
การกําหนดอัตราการจับของเมล็ดของเครื่องปลูกประเภทนี้ ขึ้นอยูกับการเลือก
ขนาดของจานจับเมล็ด
0.33 1
อัตราสวนความเร็วของการหมุนจานจับเมล็ดกับลอขับเคลื่อน = =
1 3
หรืออัตราสวนความเร็วของลอขับเคลื่อนตอจานจับเมล็ด = 3 : 1
สมมุติ N = ความเร็ว
T = จํานวนฟน
T1 × N 2
N2 = N3 =
T2
T ×N
และ N3 = 3 3
T4
N 3
จากการคํานวณ 1 =
N4 1
T 12
จากโจทย 3 =
T4 40
T T ×N
∴N4 = 3 × 1 1
T4 T2
T 40 1 10
1
= × =
T2 12 3 9
ใชลอเฟองขับที่มีจํานวนฟน 10 ฟน และลอเฟองตามที่มีจํานวนฟน 9 ฟน
สมมุติวาการใชเครื่องปลูกเมล็ดไดระยะระหวางเมล็ดถูกตอง 100 %
จํานวนเมล็ดตอพื้นที่เพาะปลูก
1
= × 1,0000
0.2 ×1.0
= 50,000 เมล็ด/เฮกตาร
อุปกรณขีดแนว
ในขณะที่ขับรถแทรกเตอรพวงเครื่องปลูก เพื่อจับและปลอยเมล็ดลงไปในดินที่เตรียมไว
นั้น เมล็ดจะถูกกลบจนไมสามารถสังเกตเห็นแนวทีไ่ ดหยอดเมล็ดไวได ถาขับรถแทรกเตอร
วกกลับมาปลูกในแนวตอไปนี้ ลอรถอาจจะทับเมล็ดที่หยอดไวได ดังนั้น จึงตองอาศัยอุปกรณ
ขีดแนว (รูปที่ 3.12) เพื่อทําเครื่องหมายเปนเสนตรงไปตลอดความยาวของพื้นที่ขณะทํางาน
เมื่อขับรถแทรกเตอรกลับมาก็ใหลอหนาขวาทับเสนทีข่ ดี นี้ แถวทีป่ ลูกครั้งใหมจะหางจากแถว
สุดทายของการปลูกครั้งกอนเทากับระยะระหวางแถวพอดี การปลูกพืชก็จะสม่ําเสมอทั่วทั้ง
แปลง
99
เครื่องพนหวานเมล็ด
การทํานาแบบที่ปลูกเมล็ดลงไปโดยตรง (direct seeding) เปนการปลูกขาวโดยไมมีการ
ตกกลา อาจจะปลูกหรือหวานเมล็ดขาวลงไปโดยตรง หรือนําเมล็ดขาวมาเพาะใหงอกเล็กนอย
แลวหวานลงในนาที่เตรียมดินไว เรียกวา นาหวาน (broadcasting) ซึ่งมีอยู 3 แบบดวยกันคือ
1. หวานสํารวย หลังจากเตรียมดินโดยไถ และคราดแลว ทําการหวานเมล็ด
ขาวแหงลงไป เมล็ดขาวจะตกลงไปอยูระหวางกอนดิน หรือรอยคราด เมื่อฝนตกลงมาขาวก็จะ
งอก
2. หวานคราดกลบ ทําเหมือนกับการหวานสํารวย แตวาหลังจากหวานเมล็ด
ขาวลงไปแลวคราดกลบอีกครั้ง ถาดินมีความชื้นเพียงพอก็อาจจะเพาะใหเมล็ดขาวงอกเล็กนอย
กอนแลวหวาน
3. หวานน้ําตม ไดแกการหวานขาวที่เพราะใหรากงอกแลวลงไปในนาที่เตรียม
ดินเรียบรอยเหมือนนาดําหลังจากเตรียมดินแลวตองรอใหดินตกตะกอนจนน้ําใสเพราะจะทําให
ขาวที่หวานลงไปไดรับแสงแดดเต็มที่ งอกไดเร็วและพนระดับน้ําขึ้นมาได โดยไมเนาตาย
เสียกอน ขณะที่หวานขาวลงไประดับน้ําในนาควรอยูระหวาง 3-5 เซนติเมตร ปจจุบันในพื้นทีท่ ี่
สามารถควบคุมน้ําไดดีไดมีการทํานาหวานน้ําตมแพรหลาย ในบางประเทศ เชน ออสเตรเลีย
และสหรัฐอเมริกา ลักษณะของการทํานาก็เปนประเภทนาหวาน อยางไรก็ตามนาหวานน้ําตมนี้
จะตองมีการปฏิบัตบิ างอยางดีกวาการทํานาดํา เชนการกําจัดวัชพืชในขณะที่เตรียมดิน เพราะ
นาประเภทนีเ้ มื่อตนขาวโตขึ้นมาแลวจะไมมีชองทางเดินไดสะดวกเหมือนกับการทํานาดํา จึง
ยุงยากในแงการเดินเขาไปทําการกําจัดวัชพืช
100
ปจจุบันไดมีการพัฒนาวิธีการปลูกขาวแบบหวานน้ําตมแผนใหมขึ้น โดยดัดแปลงจาก
การทํานาน้ําตมในอดีต การปลูกขาวแบบใหมนี้ เปนการปลูกขาวจากเมล็ดโดยตรง
เชนเดียวกับการปลูกแบบหวานขาวแหง แตมีวธิ ีการปฏิบัตทิ ี่ประณีตกวา คือ หวานเมล็ดขาวที่
เพาะใหงอกแลวลงในแปลงที่มีการเตรียมดิน ทําเทือก และปรับระดับผิวดินเปนอยางดีแลว
พรอมทั้งทํารองระบายน้ําเล็กๆ ภายในแปลงนาเพื่อระบายน้ําที่อาจขังอยูในจุดต่ําบางจุดออก
กอนที่จะหวานทําใหเมล็ดขาวงอกอยางสม่ําเสมอ ไมถูกน้ําทวมขังจนเมล็ดเนาเสีย การปลูกขาว
แบบหวานน้ําตมแผนใหม เปนวิธที ี่แพรหลายที่สุดโดยเฉพาะในพื้นทีท่ ี่มีระบบชลประทาน
เนื่องจากสามารถระบายน้ําเขาออกเพื่อควบคุมการงอกของเมล็ดขาวและวัชพืชได นาหวานน้ํา
ตมทําไดทั้งฤดูนาปและนาปรัง แตในฤดูนาปอาจเสี่ยงตอการมีฝนตกมากจนเมล็ดขาวถูกฝนชะ
ไหลไปรวมกันอยูขอบแปลง หรืออาจระบายน้ําออกไมทันทําใหตน ออนจมน้ําอยูหลายวันและ
เนากอนที่จะงอกยอดพนระดับน้ํา
การหวานขาวโดยใชแรงงานคนหวาน ตองใชเวลาหรือแรงงานในการหวาน
คอนขางมาก แรงงานที่หวานเกิดความเหน็ดเหนื่อยเมื่อยลา อีกทั้งการควบคุมความสม่ําเสมอ
ของเมล็ดที่หวานไมแนนอน ขึ้นอยูกับประสบการณและความชํานาญของแรงงานที่หวาน ทําให
ตนทุนการผลิตขาวสูงขึ้นและประสิทธิภาพการผลิตลดต่ําลง
เครื่องพนหวานเมล็ดขาวงอก (pre-germinated rice broadcaster) ที่นิยมใชกันอยูใ น
ประเทศลวนแลวแตดัดแปลงมาจากเครื่องพนสารเคมีแบบติดเครื่องยนตสะพายหลัง โดย
เพียงแตตอทอสงเมล็ดที่มีขนาดใหญจากถังบรรจุเมล็ดไปยังทอพนที่มีอยูเดิม โดยมีกระแสลมที่
เกิดจากการหมุนของเครื่องยนตเปนตัวนําเมล็ดผานปลายทอพนออกไปสูดิน สําหรับการใชงาน
นั้น ผูปฏิบตั ิจะตองเรงเครื่องยนตใหหมุนดวยความเร็วคงที่ พัดลมทีต่ ิดอยูก็จะสงลมเขาไปในทอ
พนดวยปริมาณที่คงที่เชนเดียวกัน สวนเมล็ดขาวที่ถูกปลอยออกมาจากถังบรรจุเมล็ดผานกลไก
ปรับปริมาณเมล็ดนั้นก็จะถูกกระแสลมพาออกไปดวย
เครื่องพนหวานเมล็ดขาวงอกประกอบดวยชิ้นสวนตางๆดังตอไปนี้
ถังบรรจุเมล็ด ลักษณะของถังเปนแบบทรงเหลี่ยม สวนลางของถังจะเปนมุม
เอียง เพื่อใหเมล็ดสามารถไหลออกจากถังไดสะดวก ดานบนเปนปากถังที่มีขนาดใหญเพื่อความ
สะดวกในการเติมเมล็ด
ชุดอุปกรณควบคุมปริมาณเมล็ด เปนอุปกรณที่ใชในการปรับอัตราเมล็ดที่
หวานใหมีความหนาบางตามความตองการ ซึ่งแตเดิมจะใชกระเดือ่ งซึ่งตอไปยังลิ้นเปดปดเปน
ตัวควบคุม แตปจจุบันชุดควบคุมปริมาณเมล็ดประกอบดวย คันเรง สายคันเรง ลิ้นเปดปด และ
สปริง โดนที่คันเรงจะดึงสายคันเรงทําใหลิ้นเปดมากหรือนอยตามความตองการ และสปริงจะ
พยายามดึงลิ้นใหอยูในตําแหนงที่เปดนอยลง หรืออยูในตําแหนงปดเมื่อสิ้นสุด
ชุดอุปกรณพน เมล็ด เปนอุปกรณสวนที่เมล็ดจากถังบรรจุเมล็ดมาบรรจบกับ
ทอลม ทําใหเมล็ดถูกแรงลมพัดพนหวานออกไป ประกอบดวยขอตอ 3 ทาง 45 องศาเปน
อุปกรณสวนที่เมล็ดจะมาบรรจบกับลม ตรงสวนที่เปนทิศทางการไหลของลมมีแผนกั้นลมทีว่ าง
เอียงตามมุมเอียง 45 องศา แผนกั้นลมนีจ้ ะปองกันไมใหลมที่ไหลมาตามทอลมไหลยอนขึ้นไป
ในทอสงเมล็ดปะทะกับเมล็ดที่กําลังไหลลงมา ซึ่งถาไมมีแผนกั้นลมนี้ จะทําใหเมล็ดไหลไม
สะดวก
ทอออน เปนทอพลาสติกใชสําหรับตอทอตาง ๆ เขาดวยกัน เพื่อประกอบเปน
สวนหนึ่งของทอสงเมล็ดและทอลมทีโดยมีคุณสมบัติไมบิดตัวเสียรูปทรงเวลาที่ดดั ทอเปนรูปโคง
และใชสําหรับตอทอพนเมล็ดเขากับขอตอ 3 ทาง ทําใหสามารถสายโยกทอพนเมล็ดไป-มา เพื่อ
บังคับทิศทางการพนหวานของเมล็ดไดเวลาปฏิบตั ิงาน
ทอพนเมล็ด เปนสวนที่เมล็ดจะถูกแรงลมพัดพนหวานออกไป
เครื่องปลูกที่ใชตน กลา
พืชสําคัญที่มกี ารปลูกโดยใชตนกลาคือขาวหรือการทํานาดํา (rice transplanting) ซึ่ง
หมายถึงการทํานาที่ตองมีการตกกลาเตรียมไวกอน และเมื่อกลามีอายุพอเหมาะจึงทําการถอน
กลาไปปกดําในนาที่เตรียมดินไวแลว และตลอดฤดูปลูกไดมีการขังน้ําอยูในนา เครือ่ งมือที่
สามารถจับตนกลาไวแลวปกลงไปในดินเรียกวาเครือ่ งดํานา (rice transplanter)
เครื่องดํานา
เครื่องดํานาแบงออกไดเปน 3 ประเภทคือเครื่องดํานาใชแรงคน (manual rice
transplanter) เครื่องดํานาใชเครื่องยนตแบบเดินตาม (walking type rice transplanter) และรถ
ดํานา หรือเครื่องดํานาใชเครื่องยนตแบบนั่งขับ (riding type rice transplanter)
เครื่องดํานาใชแรงคน อาศัยแรงงานจากคนโดยตรง ทําใหกลไกเกิดการปก
ดําดวยการเข็นเดินหนาและเดินถอยหลัง เครื่องดํานาประเภทนี้แยกออกตามชนิดของตนกลาที่
ใชกับเครื่องไดดังนี้
1. เครื่องดํานาใชแรงคนชนิดใชกับตนกลาลางราก ตนกลาที่จะใชกบั เครื่องชนิด
นี้จะถูกถอนออกจากแปลงเพาะกลา เมื่ออายุได 20-25 วัน แลวนํามาลางรากเอาดินที่ติดอยูกับ
รากออกใหหมด กอนนําไปจัดวางในถาดกลาอยางเปนระเบียบ ปกดําไดครั้งละ 4-6 แถว การ
สูญเสียตนกลาระหวางการปกดําเกิดขึ้นประมาณ รอยละ 11-34 ผูใชตองเดินถอยหลังเพื่อลาก
ตัวเครื่องไปและทําการปก โดยที่สอมปกดําเปนแบบหวีซึ่งมีลักษณะคลายกับสอม และมักจะทํา
ใหตนกลาเสียหาย ความสามารถในการทํางานของเครื่องไดประมาณวันละ 3 ไร (8 ชั่วโมง 2
คน ผลัดกัน) มีใชในประเทศไทยระยะหนึ่ง
2. เครื่องดํานาใชแรงคนชนิดใชกับตนกลาเปนแผน ลักษณะของเครือ่ งคลาย
กับชนิดแรก แตกตางกันทีต่ นกลาที่นํามาใชกับเครื่อง การเพาะกลามีขั้นตอนการเพาะที่
พิถีพิถันมากกวา โดยจะตองเพาะกลาใหเปนแผนพอดีกับชองถาดใสตนกลาของเครื่อง ปกดําได
ครั้งละ 4-8 แถว ผูใชตองเดินถอยหลังเชนเดียวกัน ความสามารถในการทํางานไดวันละ 2.5-3
ไร เปนเครื่องที่ไดรับการพัฒนาจากสถาบันวิจัยขาวระหวางประเทศ (IRRI) และไดมีการ
ปรับปรุงแกไขในประเทศญี่ปุน และไตหวัน ไดมีการนํามาใชกันตามศูนยวิจัยขาวตางๆ ใน
ประเทศไทยหลายปมาแลว แตไมเปนทีน่ ิยมใชในที่สดุ เพราะยังใชสอมปกดําแบบหวี
103
ดําประกอบเขากับรถไถเดินตามหรือเครื่องพรวนดินแบบเดินตาม ใชเครื่องยนตดีเซลเปนตน
กําลัง ทําใหเครื่องมีน้ําหนักมาก การถอยหลังเปนไปดวยความลาชา การเลี้ยวกลับหัวงาน
ลําบาก เพราะใชวงเลีย้ วกวาง แตมีขอไดเปรียบทีข่ ั้นตอนในการเตรียมกลาไมยุงยาก เนื่องจาก
ใชกลาชนิดเดียวกันกับที่เพาะไวสําหรับการทํานาดําทั่วไป
3. เครื่องดํานาใชเครื่องยนตชนิดใชกับกลาแทงหรือกลาหลุม เครื่องดํานาชนิด
นี้ยังคงมีการใชกันอยูทางตอนเหนือของประเทศญี่ปุน แตก็มีอยูเปนจํานวนนอย กลาแทงหรือ
กลาหลุมที่จะใชตองเปนกลาแก (mature seedling) กลาที่มีอายุมากรากจะขดกันเปนกอนรูป
แทงสี่เหลี่ยมตามรูปทรงของหลุมในกระบะเพาะ ทําใหสวนของรากมีน้ําหนักมาก จึงเหมาะกับ
พื้นที่นาที่เปนดินทราย ที่กลาทั่วไปหรือกลาแผนไมสามารถตั้งตนใหตรงได กลามักจะเอนหรือ
ลมนอนราบ แตกลาแทงจะทรงตัวใหตั้งตรงไดดีในดินทรายหรือดินเปนเลนออนมาก เนื่องจาก
แทงดินกับกระจุกรากจะเปนฐานยึดติดใหอยางดี แตกลาแทงก็มีขั้นตอนในการเพาะกลาที่
ยุงยากกวาและมีปญหาในการจัดซื้อหากระบะเพาะ ซึ่งไมคอยมีจําหนายทั่วไป
4. เครื่องดํานาใชเครื่องยนตชนิดใชกับกลาแผน เครื่องดํานาประเภทนี้มีขนาด
คอนขางเล็ก ใชเครื่องยนตเบนซิน 4 จังหวะ 1-2.5 แรงมา เปนตนกําลัง ประกอบดวยลอเหล็ก
หุมยาง 2 ลอ ทําหนาที่ในการขับเคลื่อน ใหความสะดวกคลองตัวในการทํางาน ผูใชจะเดินตาม
เครื่อง การควบคุมการเลีย้ วบังคับดวยการบีบคลัตชขางที่ตองการเลีย้ วที่มือจับ ปกดําไดครั้งละ
2-6 แถว สามารถปรับระยะหางระหวางตนไดแนนอน มีระบบไฮดรอลิคเขามาชวยในการยก
ตัวเครื่องใหสงู ขึ้นขณะเลี้ยวกลับหัวงานและระหวางการเดินทาง เครื่องดํานาชนิดนี้ถูกนําเขามา
จากประเทศญี่ปุน เมื่อป พ.ศ. 2522 เปนเครื่องที่พฒ ั นาไปใชชุดสอมปกดําแบบคีบจับตนกลา
และนําไปกระทุงปลูกลงในแปลงที่มีลักษณะการทํางานเหมือนนิ้วมือคน จึงมีประสิทธิภาพการ
ปกดําตนกลา
2. เครื่องดํานาใชเครื่องยนตแบบนั่งขับชนิดใชกับตนกลาเปนแผนเปนเครื่อง
ดํานาที่ไดรับความนิยมใชกันทั่วไป สวนใหญเปนเครือ่ งจากประเทศญี่ปุน และมีสวนนอยที่เปน
ของประเทศเกาหลีใต โดยไดมีการนําเอาระบบอิเล็กทรอนิกสเขามาใชในการควบคุมการทํางาน
หลายดาน บางรุนติดตั้งอุปกรณใสปุยทํางานรวมดวยระหวางการปกดํา ปกดําไดครั้งละ 4-5
แถว การสตารทติดเครื่องยนตดวยระบบไฟฟา การบังคับเลี้ยวใชระบบไฮดรอลิกเขามาชวย ทํา
ใหการเลี้ยวเร็วขึ้น ไดวงเลีย้ วที่แคบและเบาแรงแกผูใช
3. เครื่องดํานาใชเครื่องยนตชนิดใชกับตนกลาเปนแผนแบบอัตโนมัติ เปนแบบ
นั่งขับแตคนไมไดขับ โดยไดนําเอาเทคโนโลยีระบบกําหนดตําแหนงบนพื้นโลก GPS หรือการ
ประมวลผลภาพ (Image Processing) รวมกับระบบคอมพิวเตอรเขามาควบคุมในการทํางาน
เครื่องจึงสามารถทํางานไดเองโดยไมตองมีคนขับ คนมีหนาที่คอยใสแผนกลาเทานั้น
การทํานาดวยเครื่องดํานา
การทํานาดวยเครื่องดํานาตองพิถีพิถันกวาการดํานาตามปกติ เริ่มจากการไถเตรียมดิน
ใหละเอียดไมมีเศษหญาเศษวัชพืชหลงเหลือ ปรับทําเทือกใหเรียบสม่ําเสมอกันทั่วพื้นที่ ไมมี
แองมีหลุม หลังจากการเตรียมดินแลว ยังตองทําการเพาะกลา โดยเริ่มจากการคัดเลือกเมล็ด
พันธุที่สมบูรณ เปอรเซ็นตการงอกสูง ไมมีเมล็ดลีบ ดวยการแชในน้าํ เกลือเข็มขน สังเกตเมื่อใส
ลงไปไขจะลอยปริ่มน้ํา หรือใชเกลือ 1.4 กิโลกรัม ตอน้าํ 10 ลิตร ก็จะไดเมล็ดที่สมบูรณ นํา
เมล็ดใสถุงแชน้ําทิ้งไว 1-3 คืน จากนั้นก็เอาเมล็ดขึ้นมาโรยลงในกระบะเพาะ ขนาดของกระบะ
กวาง 28 เซนติเมตร ยาว 58 เซนติเมตร และสูง 3 เซนติเมตร เปนขนาดมาตรฐาน บรรจุดินได
108
เครื่องดํานากับการทํานาหวาน
ปจจุบันเกษตรกรไดหันมาทํานาหวานเพิ่มก็เพราะใชตนทุนต่ํากวาการนาดํา รวมทั้ง
ขั้นตอนการทํานาดํามีความยุงยากมากกวา ถึงแมจะใหผลผลิตที่มากกวา แตสว นใหญเลือกทีจ่ ะ
ทํานาหวานมากกวา การใชแรงงานคนปกดํามีขอดีคือ ตนกลาที่ปลูกจะมีความเปนระเบียบและ
ดูแลงายกวา ในขณะที่นาหวานสวนใหญเมื่อหวานแลวตองกลับมาหวานซ้ําอีก เนือ่ งจากบาง
พื้นที่หวานแลวไมมีตนกลางอกขึ้นมา ภาระหนักของนาดําคือเรื่องของการถอนกลาที่ตองอาศัย
แรงงาน และในปจจุบันหาแรงงานที่จะมารับจางทํายาก ทําใหเกษตรกรบางคนเกิดแนวความคิด
ในการชวยผอนแรงการถอนตนกลา ดวยการนําตาขายที่มีความถี่มากๆ มาใช หลังจากที่ชาวนา
ไดไถเตรียมดินเสร็จเรียบรอยแลว จะนําตาขายมาปูทวั่ ทั้งแปลงนาที่ตองการหวานเมล็ด
ขาวเปลือก โดยรากของขาวเปลือกจะชอนไชผานรูตาขาย และจะเจริญเติบโตทะลุรูของตาขาย
ขึ้นมา เมื่อตองการถอนตนกลาชาวนาก็สามารถดึงตาขายขึ้น เพื่อมัดเอาจํานวนตนกลาตามที่
ตองการได วิธีนี้เปนวิธที ี่สามารถชวยผอนแรงไดมากกวาวิธีอื่นๆ แตตนทุนในการซื้อตาขายสูง
ตามมา
การทํานาในประเทศไทย แบงวิธีการปลูกเปน 3 วิธี คือ การทํานาหยอด การทํานาดํา
และการทํานาหวาน สวนจะใชวธิ ีการไหนนั้นขึ้นอยูกับสภาพพื้นที่นา ชนิดพันธุขาวที่จะปลูก
การทํานาหยอด เปนวิธีทใี่ ชสําหรับการปลูกขาวนาปในฤดูกาลที่อาศัยน้ําฝน ในภูมิ
ประเทศที่ไมมนี ้ําเพียงพอสําหรับการตกกลาและปกดํา โดยการหยอดเมล็ดพันธุขาวไวในหลุม
หลุมละ 3-5 เมล็ด แลวกลบเมล็ดทิ้งไว รอใหฝนตกเพื่อการเจริญเติบโตตอไป
109
การเตรียมกลาแผนเพื่อใชกับเครื่องดํานา
ตนกลาที่ใชกบั เครื่องดํานาจะตองเตรียมเปนแผน ประกอบดวยดินทีม่ ีลักษณะเปนรูป
สี่เหลี่ยมผืนผา บนผิวดินจะมีตนกลาขึ้นเบียดกันแนน โดยรากของตนกลาจะเกาะยึดกันแนนอยู
ในเนื้อดินดังกลาว ทําใหเปนแผนคลายหญาแผนที่ใชปหู ญาสนามในงานจัดสวน
110
เครื่องเพาะแผนกลาประกอบดวยสายพานลําเลียงที่วางอยูบนขา ดานบนมีอุปกรณ
บรรจุดินและปรับระดับ อุปกรณใหน้ํา อุปกรณโรยเมล็ด และอุปกรณโรยดินกลบ ทั้งนี้ ดินที่ใช
จะตองเปนดินรวนที่ผานการบดดวยเครื่องบดดิน (ถามี) ผสมกับปุยและวัสดุอื่นๆ ที่เหมาะสม
สวนเมล็ดพันธุนั้นก็เปนเมล็ดพันธุที่มีรากงอกเปนตุมแลว ในเบื้องตน กระบะเพาะกลา (รูปที่
3.24) จะถูกนําไปวางไวบนสายพานลําเลียงซึ่งเคลื่อนทีอ่ ยูตลอดเวลาดวยความเร็วที่คงที่ เมื่อ
ผานไปใตอุปกรณบรรจุดินและปรับระดับ ดินจะถูกปลอยลงมาในกระบะเพาะ ลูกกลิ้งจะทําการ
ปาดดินเพื่อปรับระดับใหสม่ําเสมอ หลังจากนั้นกระบะเพาะก็จะเคลื่อนที่ตอไปผานอุปกรณให
น้ํา เพื่อพนน้ําใหดินในกระบะเปยกชุม เมื่อมาถึงอุปกรณโรยเมล็ดและโรยดิน เมล็ดพันธุขาวก็
จะตกลงบนกระบะกอนที่จะถูกโรยปดดวยดินอีกครั้งหนึ่ง เมื่อเสร็จแลวก็นํากระบะเหลานี้ไป
วางไวในสถานที่ที่เตรียมไว แลวคอยรดน้ําใหชุมจนตนกลางอกออกมาไดอายุตามที่ตองการ
2. วิธีเตรียมกลาแผนในแปลงนา เปนการหวานเมล็ดพันธุที่แชและหุมจนมีรากงอก
แลวลงบนดินที่มีกรอบไมกั้นเปนแปลง ตามสัดสวนที่แนนอน กรอบไมและดินจะวางอยูบน
112
การดูแลแปลงกลา
1. หลังจากเตรียมกลาเสร็จแลวถามีฝนตัง้ เคาตองนําแผนพลาสติกทีใ่ ชทําแปลงกลามา
คลุมทับแปลงกลาตลอดแปลง และใชดินในแปลงโปะทับแผนพลาสติกเปนระยะ กันลมพัดแผน
พลาสติกปลิว ปองกันไมใหเม็ดฝนตกกระทบหนาแปลงกลาเพราะจะทําใหเมล็ดพันธุกระเด็น
เสียหาย แลวเปดขอบคันนาเปนชองไวใหน้ําในแปลงกลาไหลออกได น้ําฝนจะไดไมทวมแปลง
กลา จนถึงรุงเชา ถาฝนหยุดใหเปดแผนพลาสติกออกได แตถามีฝนตกหลังจากหวานกลาไป
แลว 2 วัน ไมจําเปนตองคลุมแผนพลาสติก เพราะเมล็ดพันธุขาวจะมีรากยึดติดดินแลว
2. หลังจากหวานเมล็ดพันธุไป 2 คืนแลว ตอนรุงเชาของวันที่ 3 ปลอยน้ําไหลเขาแปลง
ชาๆ จนเออขึ้นทวมแปลงกลาทั้งหมดจนมองไมเห็นเมล็ดขาวและกรอบ และไมขังน้ําทิ้งไวใน
แปลงกลาประมาณครึ่งวันหลังจากนั้นจึงปลอยน้ําออกจากแปลง
3. หลังจากนั้นอีก 2 คืน ตอนรุงเชาของวันที่ 5 ปลอยน้ําเขาไหลเขาแปลงชาๆ เพื่อขัง
ไวเลี้ยงตนกลา เหมือนแปลงกลาที่เตรียมสําหรับใชคนปกดํา
4. เมื่อตนกลาอายุ 16 - 24 วัน ก็สามารถตัดไปใชกับเครื่องดํานาได (รูปที่ 3.27)
114
วิธีการตัดกลาเพื่อนําไปใชงาน
การเตรียมกลาแผนในแปลงนาจะเตรียมเปนแผนขนาดใหญ เมื่อจะนําไปใชงานจะตอง
ตัดเปนแผนขนาด กวาง 28 × ยาว 58 เซนติเมตร ตามแนวขวางของแปลงกลา ดังนี้
1. ระบายน้ําออกจากแปลงกลาลวงหนากอนวันที่จะตัดกลา 1 คืน (เฉพาะแปลงกลาที่
ตองการจะตัดไปใชงานในแตละวันเทานัน้ ) แปลงกลาที่ยังไมตองการตัดยังตองขังน้ําเลี้ยงตน
กลาไวตามเดิม
2. ดึงหลักไมที่ปกไวรอบแปลงกลาออก รวบรวมมัดเก็บไวใชในฤดูตอ ไป
3. ยกไมที่ใชทําเปนกรอบแปลงกลาออก รวบรวมมัดเก็บไวใชในฤดูตอไป
4. นํากรอบเหล็กตัดกลา (มีประจําเครื่องดํานา) มาวางทาบลงไปบนแปลงกลาตามแนว
ขวาง โดยจัดแตงไมใหกรอบเหล็กทับตนกลา
5.ใชมีดปลายแหลมกรีดตัดดินในแปลงกลาออกเปนแผนตามแนวดานในของกรอบ
เหล็กทุก ๆ ดาน
6.ยกกรอบเหล็กออก ใชมือจับตนกลาแลวคอยๆ ยกขึน้ ดินในแปลงกลาที่ถูกตัดเปน
แผนแลวจะหลุดจากแผนพลาสติกขึ้นมาพรอมกับตนกลา ตามขนาดที่ตัดไว ซึ่งสามารถนําไปใช
งานไดตอไป
เครื่องปลูกที่ใชทอ นพันธุ
เครื่องปลูกทีใ่ ชทอนพันธุทสี่ ําคัญที่ใชกันอยูมากในประเทศไทยคือเครื่องปลูกออย
(sugar cane planter)
เครื่องปลูกออย
ออย เปนพืชจําพวกหญา ลําตนแข็งแรง มีขอปลองเห็นไดชัดเจน สูง 2-4 เมตร เสน
ผานศูนยกลาง 2-5 ซม. ไมแตกกิ่งกาน ผิวนอกสีเขียวออกเหลือง หรือสีแดงเขมออกมวง มีขี้ผึ้ง
115
วิธีปลูกออย
1. ปลูกดวยแรงคน ในทางทฤษฎีแนะนําใหเปดรองแลวปลูกทันที แตในทางปฏิบตั ิ
ชาวไรมักจะเตรียมดินแลวยกรองคอยฝน เมื่อฝนตกมากพอก็จะรอจนดินหมาด แลวจึงลงมือ
ปลูก กอนปลูกก็ใสปุยรองพื้นแลวกลบกอนวางทอนพันธุ การปลูกใชวธิ ีวางทอนพันธุใหราบกับ
พื้นรองแลวกลบดินใหหนาประมาณ 5-15 เซนติเมตร ทั้งนี้ขึ้นอยูกับฤดูปลูก ถาปลูกหนาฝนกลบ
บาง หนาแลงกลบหนา ขณะปลูกตองมีการคัดเลือกทอนพันธุไปดวย ควรปลูกเฉพาะทอนพันธุท ี่
มีตาสมบูรณเทานั้น
ระยะปลูกจะแตกตางกันไปตามสถานที่ โดยทั่วไปใชระยะระหวางแถวตั้งแต 90-140
เซนติเมตรสวนระยะระหวางทอนหางกัน 30-50 เซนติเมตร วัดจากกึง่ กลางทอนหนึ่งถึงกึ่งกลาง
ของอีกทอนหนึ่ง อยางไรก็ดีเนื่องจากชาวไรขาดความระมัดระวังเกีย่ วกับทอนพันธุ ทําใหความ
งอกต่ําจึงตองใชทอนพันธุมากขึ้น เชน ปลูกโดยวางทอนพันธุเปนคูตดิ ตอกันไป หากชาวไรใช
ทอนพันธุ 3 ตา และมีการระวังในการเตรียมทอนพันธุแ ลวจะใชทอนพันธุลดนอยลง
นอกจากนี้ก็มีชาวไรบางรายที่นิยมปลูกโดยวางออยทั้งลําลงในรอง โดยไมไดสับใหขาด
จากกันเปนทอนๆ วิธีนี้ไมถูกตองเพราะออยจะงอกเฉพาะ ปลายกับโคนเทานั้น วิธที ี่ถูกคือ เมื่อ
วางออยทั้งลําแลวใชมีดสับใหขาดเปนทอนๆ ละ 2-3 ตา วิธีนี้จะชวยประหยัดแรงงานไดมาก แต
ออยที่ใชทําพันธุ ตองมีอายุระหวาง 5-8 เดือนจึงจะไดผลดี
ในกรณีที่ดินแฉะหรือมีน้ําขังเล็กนอย ควรปลูกโดยวิธปี กทอนพันธุใหเอียงประมาณ 45
องศากับแนวดิ่ง และควรฝงใหลึกประมาณสองในสามของความยาวทอนพันธุ
ตั้งแตอดีตจนถึงปจจุบัน แรงงานปลูกออยสวนใหญจะเปนแรงงานจากภาคเหนือและ
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จึงมีการเคลื่อนยายโรงงานน้ําตาลไปยังพื้นที่ดังกลาว ทําใหพื้นที่ปลูก
116
บทที่ 4 เครื่องพนสารเคมีปองกันกําจัดศัตรูพืช
(Pest Protection and Control Equipment)
120
บทนํา
ความเสียหายของผลผลิตทางการเกษตรจํานวนมากที่เกิดจากการทําลายของศัตรูพืช
เชนโรค แมลง และวัชพืช ซึ่งจะเกิดขึ้นเสมอทุกๆป โดยเฉพาะในเขตรอน ซึ่งมีสภาพแวดลอมที่
เหมาะสมตอการเพิ่มปริมาณ และความหนาแนนของศัตรูพืช นอกจากนั้นการเพิ่มผลผลิตทาง
การเกษตรในปจจุบัน เกษตรกรมักมีจะมีการใชปุยรวมกับสารกําจัดศัตรูพืช เนื่องจากพันธุพืชที่
ใหผลิตตอไรสงู สวนใหญมักจะใชปุยในอัตราสูง แตจะออนแอตอโรคและแมลง การใชสารกําจัด
ศัตรูพืชที่ประหยัด และมีประสิทธิภาพสูง นอกจากจะเปนการลดคาใชจายแลว ยังเปนการลด
ปริมาณการใชสารกําจัดศัตรูพืชเกินความจําเปน ทําใหเกิดความปลอดภัยตอผูบริโภค และ
รักษาสิ่งแวดลอม
สําหรับภาวการณในปจจุบัน แรงงานภาคการเกษตรกรรมเริ่มลดนอยลง จนทําใหเกิด
ปญหาการขาดแคลนแรงงานซึ่งมีผลตอคาจางแรงงานที่สูงขึ้น ในขณะที่การระบาดของโรค
แมลงวัชพืช และการใชสารฮอรโมนเรงฉีดเรงการเจริญเติบโตของตนพืชนั้น มีความจําเปน
เพิ่มขึ้นตามลําดับ ดังนั้นการใชเครื่องพนสารกําจัดศัตรูพืช จึงเปนสิ่งจําเปนเพื่อแกไขปญหา
แรงงาน และการระบาดดังกลาว ตลอดจนเพื่อลดความสูญเสียผลผลิตทางดานการเกษตร และ
ประหยัดแรงงานในระบบการผลิตปริมาณมาก
สารเคมีที่ใชปอ งกันกําจัดศัตรูพืชมีราคาสูง การใชสารเคมีไมถูกหลักการขาดความรู
และความเขาใจถึงวิธีการใชสารอยางถูกตอง ทําใหเกิดผลกระทบกับสภาพแวดลอม ซึ่งเปน
อันตรายตอสิง่ ที่มีชีวิต สัตวเลี้ยง รวมทั้งแมลงศัตรูธรรมชาติที่เปนประโยชนตอพืช หรือ
สิ่งมีชีวิตอื่นๆ ดังนั้น การใชสารเคมีอยางถูกวิธีจึงมุงทีค่ วามประหยัด โดยการทําใหสารเคมีไป
เปาหมายมากที่สุด โดยไมมีการสูญเสียเนือ่ งจากการตกลงดิน หรือปลิวหายไปกับอากาศนอย
ที่สุด
การใชสารเคมีปองกันกําจัดศัตรูพืชมักจะกระทําเมื่อพืชกําลังไดรับความเสียหาย หรือ
กอนที่จะเสียหาย ซึ่งก็คือการปองกันนั้นเอง แตการใชสารเคมีปองกันกําจัดศัตรูพืชใหไดผล
ตามความมุงหมายนั้น ผูปฏิบัตติ องคํานึงถึงสิ่งตอไปนี้
1. ชนิดของสารปองกันกําจัดศัตรูพืช
2. ชนิดของศัตรูพชื
3. ชวงจังหวะหรือระยะเวลาการใชสารปองกันกําจัดศัตรูพืช
4. เทคนิคการใชสารปองกันกําจัดศัตรูพืช
5. เครื่องพนสารเคมีและวิธีใช
เครื่องพนสารเคมีปองกันกําจัดศัตรูพืช หมายถึงเครื่องมือที่ใชทําใหสารเคมีซึ่งอยูในรูป
ของของเหลว หรือผงแตกตัวเปนละอองเม็ดเล็กๆ มีขนาดพอเหมาะที่จะกระจายไปยังตนพืชให
ถูกสวนตางๆ ของพืชอยางสม่ําเสมอ โดยใชปริมาณสารเคมีนอยที่สุด ดังนั้น เครื่องมือกําจัด
ศัตรูพืชจึงมีหลายชนิดใหผูใชเลือกใชไดตามความเหมาะสมของพืชทีป่ ลูก ไมวาจะเปนพืชสวน
ครัวที่มีเนื้อทีน่ อย หรือสวนผลไมที่มีเนือ้ ขนาดใหญ
121
เครื่องพนสารเคมี
ปองกันกําจัดศัตรูพืช
เครื่องพนสารเคมี
แบบสูบชัก
เครื่องพนสารเคมี
แบบสะพาย
เครื่องพนสารเคมี
ชนิดอัดลม
เครื่องพนสารเคมี
ชนิดสูบโยก
เครื่องพนสารเคมี
แบบติดรถแทรกเตอร
เครื่องพนสารเคมี
แบบลมพา
เครื่องพนสารเคมี
แบบแรงดันลม
เครื่องพนสารเคมี
แบบแรงเหวี่ยงหนีศูนย
เครื่องพนสารเคมี
แบบหมอก
เครื่องพนสารเคมีปองกันกําจัดศัตรูพืชสามารถแบงออกไดตามลักษณะของสารเคมีที่ใช
ถานําสารเคมีไปละลายน้ําใหเปนของเหลวแลวนําไปใชเปนสารเคมีทนี่ ิยมใชกันมากที่สุดใน
ประเทศ สวนสารเคมีทผี่ ลิตขึ้นมาเปนผงหรือเปนเม็ดแลวนําไปใชโดยตรงนั้นมีใชกันอยูนอย
เครื่องพนสารเคมีปองกันกําจัดศัตรูพืชจึงแบงออกไดเปน 3 กลุม คือเครื่องพนสารเคมีที่เปน
ของเหลว เปนผงและเปนเม็ด ดังที่แสดงไวในรูปที่ 4.1 ซึ่งจะเห็นวากลุมเครื่องพนสารเคมีที่
เปนของเหลวประกอบดวยเครื่องพนสารเคมีแบบแรงดันน้ํา (hydraulic sprayer) แบบลมพา
(airblast sprayer) แบบแรงดันลม (pneumatic sprayer) แบบแรงเหวี่ยงหนีศนู ย (centrifugal
sprayer) และแบบหมอก (fog machine หรือ aerosol generator) ซึ่งบางครั้งก็เรียกวาเครือ่ ง
พนหมอก อยางไรก็ตามเครื่องพนสารเคมีแบบแรงดันน้ํายังสามารถแบงยอยลงไปไดอีก 3 ชนิด
คือเครื่องพนสารเคมีชนิดอัดลมแบบสูบชัก แบบสะพายหลัง และแบบติดรถแทรกเตอร
เครื่องพนสารเคมีที่เปนของเหลว
สารเคมีปองกันกําจัดศัตรูพชื สวนใหญจะอยูในรูปน้ํามัน และผง โดยนําไปผสมกับน้ํา
เปนของเหลวดังนี้
1. แบบผงผสมน้ํา มีชื่อยอ WDP หรือ WP ติดมากับภาชนะทีบ่ รรจุ สารเคมีแบบนี้
ประกอบดวยสารออกฤทธิแ์ ละสารพาหะหรือสารที่ทําใหเจือจาง ซึ่งไดแกผงดินขาว แปงฝุน
หรือสารอื่นที่เหมาะสมซึ่งจะชวยใหใบเปยกงายและชวยในการกระจายตัว
2. แบบน้ํามัน มีชื่อยอ EC ติดมากับภาชนะทีบ่ รรจุ สารเคมีแบบนี้ประกอบดวยสารออก
ฤทธิ์กบั ตัวทําละลายที่ไมสามารถเขากับน้าํ ได ตอมามีการเติมสาร emulsifier เพื่อชวยใหสาร
ออกฤทธิ์ผสมกับน้ําไดและยังชวยใหเกาะใบพืช หรือติดตัวแมลงไดดี เวลาใชนําไปผสมกับน้ําให
ไดความเขมขนตามตองการ จะไดสวนผสมสีขาวขุนสารเคมีแบบนีม้ ีใชแพรหลาย
3. แบบน้ําเขมขนหรือน้ํา มีชื่อยอ SC, WSC, SCW หรือ LC ติดมากับภาชนะที่บรรจุ
สารเคมีแบบนี้ประกอบดวยสารออกฤทธิ์และตัวทําละลายที่ผสมน้ําได ไมมี emulsifier เวลาผสม
น้ําแลวจะไมมสี ีขาวขุน
4. แบบน้ําเขมขนแขวนลอยหรือน้ําขน มีชื่อยอ F หรือ FL ติดมากับภาชนะที่บรรจุ
สารเคมีแบบนี้ทําไดโดยบดสารออกฤทธิ์กับพาหะ เชน ผงดินขาวแลวนําสวนผสมที่ไมออกฤทธิ์
เชน น้ํามาผสม มีลักษณะคลายกับสารเคมีแบบผงผสมน้ําเวลาใชนํามาใสน้ําลงไปแลวคนใหเขา
กัน สารเคมีกําจัดแมลงแบบนี้ใชสะดวกและละลายน้ําไดดีกวาแบบผสมน้ํา
5. แบบผงละลายน้ํา มีชื่อยอ WSP หรื SP ติดมากับภาชนะทีบ่ รรจุ สารเคมีแบบนี้ผลิต
ออกมาในรูปเม็ดหรือเกล็ด สามารถละลายน้ําไดทันที อาจมีการเติมสารชวยเกาะพื้นผิว สารเคมี
กําจัดแมลงแบบนี้ละลายน้าํ ไดงายและไมตกตะกอนแตเมื่อเก็บไวนานๆ จะดูดความชื้น มักจะ
จับตัวเปนกอนแข็ง
123
เครื่องพนสารเคมีแบบแรงดันน้ํา
เครื่องพนสารเคมีแบบแรงดันน้ําแบงออกได 3 ชนิด คือ เครื่องพนสารเคมีแบบสูบชัก
(piston pump) เครื่องพนสารเคมีแบบสะพาย (knapsack sprayer) และ เครื่องพนสารเคมีชนิด
ติดรถแทรกเตอร
เครื่องพนสารเคมีแบบสูบชัก (รูปที่ 4.2)
เครื่องแบบนีป้ ระกอบดวยกานชัก ซึ่งเปนทอกลวง มีหัวฉีดติดอยูตรงปลายขาง
หนึ่ง สวนอีกขางหนึ่งมีลูกสูบติดอยู ลูกสูบน้ําถูกใสไวภายในกระบอกสูบ ซึ่งก็เปนทอกลวง
เชนกันแตขนาดใหญกวา และทําหนาที่เปนดามจับดวย ที่ปลายกระบอกสูบเหลือเอาไวใหตอ
ทอพลาสติกออกไปจุมอยูในถังน้ํายาเคมี เวลาฉีดสารละลายเคมีตองใชมือจับที่กานชักออก
เครื่องพนสารเคมีแบบนี้ใชงานงาย สวนประกอบไมยงุ ยาก ราคาถูกและมีจําหนายทั่วไป แต
เหมาะสมสําหรับพื้นที่เพาะปลูกขนาดเล็ก ซึ่งตนพืชไมสูงจนเกินไป สําหรับอัตราการไหลของ
น้ํายาเคมีที่พน ขึ้นอยูกับความเร็วของการเดิน โดยปกติประมาณ 5 ชั่วโมงตอเฮกตาร
หลังจากใชงานเสร็จแลว ควรจะลางทําความสะอาดเครื่องพนสารเคมีทุกๆ
สวน นําไปเก็บไวในสถานที่แหงและสะอาด ถามีสารเคมีตกคางอยู สารเคมีเหลานี้จะกัดกรอน
สวนที่เปนโลหะ ทําใหเครือ่ งพนสารเคมีเสียหายได
124
เครื่องพนสารเคมีแบบสะพาย
เครื่องพนสารเคมีแบบนี้แบงเปน 2 ชนิด ชนิดอัดลม และชนิดสูบโยก เครื่องทั้ง
สองชนิดนี้มีสายสะพาย 2 เสนติดอยู ใชสาํ หรับสะพายเครื่องพนสารเคมีไวดานหลังหรือ
ดานขางขณะทําการพนสารเคมี
เครื่องพนสารเคมีชนิดอัดลม (compression sprayer) (รูปที่ 4.3) เปนเครื่อง
ที่มีขนาดบรรจุสารละลายเคมีประมาณ 8-10 ลิตร เหมาะสําหรับพนสารเคมีในนาขาว ในสวนผัก
หรือพืชที่มีความสูงไมมาก เพราะพนไดสูงประมาณ 4-5 เมตร สวนอัตราการพนสารเคมีนั้น
ประมาณ 3-5 ไรตอวัน แตถาเนื้อที่เพาะปลูกมีขนาดใหญก็อาจจะเดินพนสารเคมีกันเปนกลุมๆ
หรืออาจจะตอทอและเพิ่มหัวฉีด เพื่อพนสารเคมีไดครัง้ ละหลายแถว
เครื่องพนสารเคมีแบบนี้มีถงั บรรจุน้ํายาเคมีเปนรูปทรงกระบอก มีกระบอกสูบ
สําหรับอัดอากาศที่อยูภายใน ถังน้ํายาเคมีนี้ปดสนิทเพื่อเก็บอากาศ และทําหนาที่เปนหองเก็บ
ความดันน้ํายาเคมีที่ใสลงไปในถังตองไมเต็ม เพราะตองเหลือที่วางไวสําหรับอัดอากาศ ปกติ
จะเหลือไว 30 % ของปริมาตรถังกอนทีจ่ ะพนสารเคมีตองสูบอัดลมกอน เมื่ออัดลมจนเต็มถัง
แลวจึงจะพนสารเคมีได เมื่อเห็นวาความดันในถังลดลงจนพนสารเคมีออกไปไมไกล ก็อาจจะ
อัดลมใหมไดอีก
เครื่องพนสารเคมีชนิดอัดลม ประกอบดวย 3 สวน ไดแก
1. สวนตัวถังประกอบดวยตัวถัง ฝา ทอสงสาร และสายสะพาย
2. สวนปมลมประกอบดวยกระบอกสูบ กานสูบ ลูกสูบ และเช็ควาลว
125
สกปรกไมใหไหลหลุดรอดเขาไปอุดตันรูของหัวฉีดซึ่งมีขนาดเล็กมาก สําหรับวาลวควบคุมนั้นก็
มีหนาที่เปด ปดสารละลายเคมีทีไหลออกจากสายยางไปยังหัวฉีดตามปริมาณที่ตองการ
กับน้ํายาเคมีที่มีสารเคมีแขวนลอยอยู แตถามีทรายหลุดลอดเขาไปภายในปมก็จะเกิดความ
เสียหายไดงาย เพราะฉะนัน้ จึงจําเปนตองมีหมอกรองติดตั้งไวกอนที่น้ํายาเคมีจะไหลเขาปม
องคประกอบที่มีผลตอการพนสารเคมี
องคประกอบที่สําคัญที่มีผลกระทบตออัตราการพนน้าํ ยาเคมีลงบนแปลงเพาะปลูก
เพื่อใหตนพืชไดรับละอองน้ํายาเคมีอยางเสมอ มีดังนี้
ก. ความดันของน้ํายาเคมี ถาน้ํายาเคมีถูกพนออกมาจากแขนพนสารเคมีดวย
แรงดันสูง โดยที่ขนาดของหัวฉีดไมเปลีย่ นแปลง น้ํายาเคมีจะถูกพนออกมามาก และขนาด
ของละอองน้ํายาเคมีจะเล็กลง
ข. ความเร็วในการขับเคลื่อน ความเร็วในการเคลื่อนที่ของรถแทรกเตอรสามารถ
ทําใหอัตราการพนสารเคมีเปลี่ยนแปลงไป ตามปกติปมของเครื่องพนสารเคมีจะหมุนอยูดวย
ความเร็ว 540 รอบตอนาที โดยไดรับกําลังจากเพลาอํานวยกําลัง เพื่อพนน้ํายาเคมีออกไปสู
ตนพืช ดังนั้น ความเร็วรอบของเครื่องยนตจะตองคงที่ (ประมาณ 2,000 รอบ/นาที) แต
ความเร็วของรถแทรกเตอรไดมาจากการเปลี่ยนเกียร โดยปกติความเร็วในการพนน้ํายาเคมีจะ
134
ก) วงจรปมลูกกลิ้ง
ข)วงจรปมหอยโขง
135
ค) วงจรปมลูกกลิ้ง
รูปที่ 4.18 วงจรทางเดินน้ํายาเคมีของปมลูกสูบ ปมลูกกลิ้ง และปม หอยโขง
การปรับอัตราการพนน้ํายาเคมี
วิธีปรับอัตราการพนน้ํายาเคมีที่ใชในการกําจัดศัตรูพืช มี 2 วิธี
136
วิธีพนสารเคมี
1. เครื่องพนสารเคมีแบบสูบชักและแบบสายสะพาย เครื่องพนสารเคมีทั้งสอง
แบบนี้ใชกําลังคน ดังนั้น วิธีการพนจึงเหมือนกัน กลาวคือ เริ่มพนสารเคมีทางดานใตลม
โดยการหันหัวฉีดไปทางใตลมเสมอ อยาเดินพนไปขางหนา เมื่อสุดพื้นที่แลวก็ตั้งตนแนวใหม
โดยหันหัวฉีดไปทางดานใตลม เชนเดียวกัน ดังนั้น ลักษณะการพนสารเคมีแบบนี้จึงหันหัวฉีด
ไปทางดานขางเสมอ และการเดินก็ตั้งฉากกับทิศทางลมขณะพนสารเคมี ดังในรูปที่ 4.19
นอกจากนั้น ถาทําการพนสารเคมีไปยังแถวพืชที่ 2 หรือ 3 ใตลมจากที่ที่กําลังเดินอยูเสมอ ก็
จะปลอดภัยจากสัมผัสกับละอองน้ํายาเคมีที่พนไปยังตนพืชที่อยูชิดตัว สําหรับพืชตนเตี้ยนัน้
ควรจะสายหัวฉีดไปมาในแนวราบ ถาพืชตนสูงก็ควรจะสายหัวฉีดเปนวงกลม เพื่อที่ใบพืชจะ
ไดรับละอองน้ํายาเคมีอยางทั่วถึง ในกรณีที่ลมเกิดเปลี่ยนทิศทาง ตองหยุด และทํา
เครื่องหมายไว หลังจากนั้นก็เริ่มพนสารเคมีใหมจากแถวแรกของแปลงทางทิศใตลม
จนกระทั่งถึงเครื่องหมายที่ทําไว
2. เครื่องพนสารเคมีชนิดติดรถแทรกเตอร เครื่องพนสารเคมีชนิดนี้มีแขนพนซึ่ง
เปนทอยาวอยูดานหลังรถแทรกเตอรตลอดเวลา ขณะที่ทําการขับรถแทรกเตอรเพื่อพนสารเคมี
นั้น จึงควรจะมีวิธีการที่ถกู ตอง ดังที่ไดแสดงไวในรูปที่ 4.20 ในรูปดานซายมือเปนการขับรถ
เพื่อพนสารเคมีแบบที่ผิด วิธีนี้จะเกิดปญหาขณะเลี้ยวกลับรถซึ่งเปนชวงที่ชา บริเวณทีเ่ ลี้ยว
กลับนั้น จะไดรับน้ํายาเคมีมากกวาบริเวณอื่นๆ ดังนั้นวิธีนี้จึงไมเหมาะสม สําหรับวิธีขับรถรูป
ดานขวามือนั้นเปนวิธีที่ถูกตองโดยการขับวนเพื่อพนสารเคมีในแปลงเพาะปลูกกอน 2 รอบ
เมื่อมาถึงปลายรอบที่ 2 ก็ใหปดสวิตชหรือหยุดการทํางานของเครื่องพนสารเคมีกอนที่จะเลีย้ ว
วกกลับ หลังจากเลี้ยวกลับตั้งลํารถแทรกเตอรแลวก็เปดสวิตช หรือปลอยใหเครื่องพนสารเคมี
138
เริ่มทํางานเมื่อลอหลังของรถอยูบนรอยลอดังรูปแลวจึงขับรถทําการพนสารเคมีเชนนี้เรื่อยไปจน
หมดแปลง วิธีพนสารเคมีแบบนี้ทําใหการกระจายน้ํายาเคมีสม่ําเสมอไปทั่วทั้งแปลง
เครื่องพนสารเคมีแบบลมพา
การทํางานของเครื่องพนสารเคมีแบบนี้ อาศัยสวนประกอบที่สําคัญ 2 สวน คือ ปม
และลม โดยที่ปมจะทําหนาที่ดูด และดันสารเคมีกําจัดศัตรูพืชที่ละลายน้ําแลวจากถังน้ํายาเคมี
มาออกที่หัวฉีด ซึ่งหัวฉีดนีจ้ ะติดตั้งอยูในทิศทางของลมที่เกิดจากการหมุนของพัดลม สําหรับ
จํานวนหัวฉีดนั้นอาจจะมีหลายหัวแลวแตการออกแบบ เมื่อน้ํายาเคมีถูกดันออกจากหัวฉีด
กระแสลมที่เกิดจากพัดลมจะพาละอองสารเคมีเหลานี้ไปยังเปาหมาย (รูปที่ 4.21) ดังนั้น ขนาด
ของละอองสารเคมีที่ผานหัวฉีดออกมาจึงสามารถกําหนดใหมีขนาดเล็กได โดยการเลือกใช
ขนาดของหัวฉีดและแรงดันที่เหมาะสม ซึ่งทําใหปริมาณสารเคมีที่ใชตอไรลดลง นอกจากนั้น
กระแสลมยังทําหนาที่เปาใบพืชใหพลิกไปมา ทําใหละอองสารเคมีแทรกตัวเขาไปภายในพุมได
สะดวก ใบพืชสามารถรับละอองสารเคมีไดอยางทั่วถึง
เครื่องพนสารเคมีแบบนี้ สวนใหญอาศัยกําลังจากรถแทรกเตอรมาใชในการลากจูงและ
สงกําลังไปหมุนปมเพื่อดูดน้ํายาเคมีในถัง แลวสงผานทอน้ํายาไปยังหัวฉีด พนออกเปนละออง
ดังนั้นสวนประกอบที่สําคัญของเครื่องพนสารเคมีแบบนี้จึงไดแกถังน้ํายาเคมี ปม วาลวปรับ
ความดัน วาลวควบคุม หัวฉีด และพัดลม (รูปที่ 4.22)
ถังน้ํายาเคมีที่ใชอาจจะทําจากโลหะ หรือพลาสติก แตขอ สําคัญคือไมเปนสนิม
สําหรับขนาดนั้นตองไมใหญเกินกวาที่รถแทรกเตอรจะรับน้ําหนักได สวนใหญจะติดตั้งอยู
ดานหลังรถ แตอาจจะติดตั้งไวดานหนาหรือดานขางได เพื่อเปนการกระจายน้ําหนักออกไป
เพื่อใหรถแทรกเตอรทรงตัวไดดี สวนปากถังนั้นควรจะใหญพอที่จะใชมือลวงไปทําความสะอาด
ได ถาจําเปน นอกจากนั้นก็ควรจะมีตะแกรงกรองแขวนแนบไวกบั ปากถัง เพื่อกรองสิ่งสกปรก
ออกจากน้ําที่เติมเขาไปในถัง แตสิ่งที่ขาดไมไดก็คือที่กนถังควรจะมีรรู ะบายน้ํายาเคมี ซึ่ง
จําเปนตองใชเมื่อมีการลางถัง ภายในถังน้ํายาเคมีสวนใหญจะมีกลไกสําหรับกวนน้ํายาเคมี
ติดตั้งไว เพื่อไมใหสารเคมีตกตะกอน
ปมที่นิยมใชกับเครือ่ งพนสารเคมีแบบนี้มีหลายชนิด การเลือกใชขึ้นอยูกบั ปริมาณและ
ความดันที่หัวฉีด ปมสวนใหญที่นิยมใชและเหมาะสําหรับเครื่องพนสารเคมีแบบนีค้ ือ ปมหอย
โขง ที่ใหอัตราการไหลของน้ํายาเคมีสูง แตความดันต่ํา ปมแบบนี้ใชไดกับน้ํายาเคมีที่มีความ
เขมขนสูง หรือน้ํายาเคมีที่สารเคมีแขวนลอยอยู ตัวปมมักจะทําจากพลาสติก อลูมิเนียม
เหล็กหลอ หรือทองเหลืองที่ทนทานตองานหนัก ปญหาสวนใหญทเี่ กิดขึ้นคือ ความเร็วรอบที่
สงออกมาจากเพลาอํานวยกําลังของรถแทรกเตอรเพื่อหมุนปมมักจะไมพอ ดังนั้น จึงมีการใช
มูเล และสายพาน หรือเกียรชวยเพิ่มรอบ และขอสําคัญอีกประการหนึ่งก็คือปมแบบนี้ตองมีการ
140
สําหรับพัดลมนั้น แกนเพลาของพัดลมจะไดรับกําลังมาจากเพลาอํานวยกําลังของรถ
แทรกเตอร ซึ่งตอมาจากเฟองเกียร เพื่อทดรอบใหใบพัดหมุนเร็วขึ้น ใบพัดที่ใชสวนใหญจะมี
ลักษณะบิดงอ คลายใบพัดของพัดลมตั้งพื้น โดยที่กระแสลมจะไหลผานแนวแกนของใบพัด ซึ่ง
สามารถทําใหเกิดปริมาณลมสูงประมาณ 10,000-70,000 ลูกบาศกเมตร/ชั่วโมง หรือทําใหเกิด
ความเร็วลม 30-40 เมตร/วินาที หรือ 100-150 กิโลเมตร/ชั่วโมง ดังนั้น ระยะทางที่ละอองสารเคมี
เดินทางไปถึงเปาหมายจึงขึ้นอยูกับปริมาณลมที่เกิดจากพัดลม
รูปแบบของสารเคมีทพี่ น
เครื่องพนสารเคมีแบบนี้จะมีการจัดวางตําแหนงของหัวฉีดใหเหมาะสมกับทิศทางของ
ลมที่ถูกเปาออกมาจากพัดลม เพื่อที่ละอองสารเคมีจะไดเดินทางไปสูเปาหมายไดอยางมี
ประสิทธิภาพ โดยทั่วไปน้ํายาเคมีจะถูกลมพาออกมาได 2 รูปแบบ ดังนี้
1. แบบวงกลม (รูปที่ 4.24) เครื่องพนสารเคมีชนิดนี้จะมีการติดตั้งหัวฉีดเปนระยะๆ
รอบๆ ใบพัด เมื่อพัดลมหมุนใบพัดก็จะเปาลมออกมาในแนวรัศมี น้ํายาเคมีจะกระจายออก
โดยรอบ แตควรจะใชหัวฉีดที่มีขนาดแตกตางกัน และจัดวางใหบางตําแหนงมีจํานวนหัวฉีด
มากกวาตําแหนงอื่น เพื่อใหปริมาณน้ํายาเคมีประมาณ 2 ใน 3 สวน พนออกไปยังครึ่งหนึ่งของ
สวนบนของตนพืช ดังรูปที่ 4.25
142
ก. รูปแบบขณะทํางาน
ข. รูปดานหนา
ค. รูปดานหลัง
ก) ขณะกําลังพนสารเคมี
ข) สวนประกอบ
เครื่องพนสารเคมีแบบแรงดันลม
การทํางานของเครื่องพนสารเคมีแบบนี้ อาศัยสวนประกอบที่สําคัญ 2 สวน คือ ลม
และหัวฉีด ไมมีปม สําหรับลมนั้นไดมาจากพัดลมที่มีเครื่องยนตเปนตนกําลัง เมือ่ ลมเคลื่อนที่
ผานไปบริเวณหัวฉีด ซึ่งถูกออกแบบมาใหเปนคอคอด (venturi) (รูปที่ 4.27) ความเร็วของลมจะ
สูงขึ้นเพื่อรักษาปริมาณของอากาศใหคงที่ทั้งกอนและหลังคอคอดตามหลักฟสิกส เมื่อความเร็ว
สูงขึ้น ความดันของจะลดลง เมื่อความดันบริเวณคอคอดลดลง ความดันของบรรยากาศโดยรอบ
เครื่องพนก็จะดันสารละลายเคมีเขาไปในทอ ผานวาลวควบคุมปริมาณ ไปออกตรงบริเวณคอ
คอด สารละลายเคมีที่ออกมาจากทอก็จะถูกลมที่มีความเร็วสูงตี (air-shear) จนเปนละออง
ละเอียดและถูกพัดพาไปกับกระแสลม ไปยังเปาหมายที่ตองการพน
เครื่องพนสารเคมีแบบแรงเหวี่ยงหนีศูนย
เครื่องพนสารเคมีแบบแรงเหวี่ยงหนีศูนย (รูปที่ 4.29) มีชื่ออีกอยางหนึ่งวาเครือ่ งพน
สารเคมี ULV โดย ULV ยอมาจากคําวา Ultra Low Volume เครื่องพนสารเคมีชนิดนี้ใชสารเคมี
ชนิดไมผสมน้ําเพียงจํานวนเล็กนอย ก็สามารถที่จะพนสารเคมีคลุมพื้นที่ไดกวางขวาง และให
ละอองสารเคมีขนาดเล็กมาก ซึ่งมีเสนผาศูนยกลางโดยทั่วๆ ไป ระหวาง 70-120 μm
สารเคมีฆาแมลงสูตร ULV ที่มีความหนืดมากจะมีอัตราการไหลต่ํากวานี้ และกานน้ํายา
เคมีสีเดียวกันแตละอันอาจมีอัตราการไหลตางกันประมาณ 10 % กอนจะใชจึงควรหาอัตราการ
146
การเตรียมความพรอมในการใชงานเครื่องพนหมอกควัน
1. ตรวจสอบหัวเทียนวามีไฟหรือไม โดยวิธถี อดหัวเทียนออกมาจากเครื่อง แลว
เสียบปลั๊กหัวเทียนแตะกับบริเวณที่เปนโลหะ สตารทเครื่องจะมีกระไฟวิ่งผานหัวเทียน หากไม
มีกระแสไฟวิ่งผาน หรือกระแสไฟไมแรงใหทําความสะอาดเขี้ยวหัวเทียน แตหากพบวาไมมี
กระแสไฟใหเปลี่ยนหัวเทียนใหม ปกติเขีย้ วหัวเทียนจะหางประมาณ 2 มิลลิเมตร
2. ตรวจสอบวามีถานไฟฉายในรังถานหรือไม และถานมีไฟหรือไม
3. ใสน้ํามันเชื้อเพลิงในถังน้ํามันใหเหลือชองวางประมาณ 3 / 4 ของถัง เพื่อใหมี
อากาศสําหรับระบบการไหลเวียนน้ํามันเชื้อเพลิง สวนใหญเครื่องพนหมอกควันจะใชน้ํามัน
เบนซิน 91 และหากน้ํามันเบนซินคางอยูในเครื่องพนนานหลายเดือน ควรเททิ้ง เนื่องจากคา
ออกเทนของน้ํามันจะเหลือนอย ทําใหเครื่องสตารทไมติด
4. ตรวจสอบวาหัวพนอุดตันหรือไม
5. ใสน้ํายาเคมี ปดฝาใหสนิท
6. ปดกอกน้ํายาเคมี และกอกน้ํามันเชื้อเพลิง
7. ตรวจสอบสายสะพายใหเรียบรอย
การติดเครื่องพนหมอกควัน
1. สูบลมกระบอกสูบเบาๆ 4-5 ครั้ง เพื่อใหมีแรงดันในระบบน้ํามันเชื้อเพลิง
2. เปดกอกน้ํามันเชื้อเพลิงโดยหมุนทวนเข็มนาฬิกาใหสุดและสูบลมจนกวาเครื่องจะติด
3. เมื่อเครื่องติดแลว ปลอยใหเครื่องทํางาน 1- 2 นาที เพื่อใหเครื่องรอน ควรฟงเสียง
เครื่องวาดังสม่ําเสมอหรือไม หากเสียงไมสม่ําเสมอใหปรับอัตราการไหลของน้ํามันเชื้อเพลิง
4. เปดกอกน้ํายาเคมีเพื่อพนสารเคมี หลังจากพนสารเคมีนาน 40 นาที ควรพักเครื่อง
ประมาณ 10-15 นาที ขณะที่พักควรเติมน้ํามันเชื้อเพลิง และน้ํายาเคมีใหพรอมที่จะใชทํางาน
ตอไป
การปดเครื่องพนหมอกควัน
1. ปดกอกน้ํายาเคมี ปลอยใหเครื่องพนทํางานตอไป จนกระทั่งหมอกควันหายไปจาก
ปลายทอพนจึงปดกอกน้ํามันเชื้อเพลิง
2. คลายฝาถังน้ํามันเชื้อเพลิง เพื่อปลอยความดันในถังออกมา
3. คลายฝาถังน้ํายาเคมี เพื่อปลอยความดันในถังออกมา
4. หากเครื่องพนดับอยางกะทันหัน จะมีไฟลุกที่ปลายทอพน ใหปดกอกน้ํายาเคมีแลว
สูบลมกระบอกสูบ เพื่อใหเกิดแรงลมเปาน้ํายาเคมีออกมา จนไมมีเปลวไฟแลว จึงปดเครื่อง
หรือหากเกิดไฟลุกไหมที่เครื่องพนใหใชผาหนา ๆ คลุมทับใหไปดับ
ปญหาที่มักพบในการใชเครื่องพนหมอกควันและวิธีการแกไข
1. เครื่องไมติด
- ตรวจสอบระบบไฟ โดยทดสอบวาหัวเทียนมีไฟหรือไม
- ตรวจสอบถานไฟฉายที่อยูในรังถาน
149
เครื่องพนสารเคมีที่เปนผง
สารเคมีปองกันกําจัดที่อยูในรูปของผงฝุน มีชื่อยอ D ติดมากับภาชนะที่บรรจุ สารเคมี
แบบนี้ ผลิตโดยนําสารออกฤทธิ์มาบดละเอียดแลวผสมกับผงของสารไมออกฤทธิ์ เชน ผงทัลค
และเบนโธไนท ซึ่งสวนผสมเหลานี้จะทําใหเปอรเซนตของสารออกฤทธิ์ลดลง สามารถใชพน
ดวยเครื่องพนผงไดทันที มักใชในแหลงทีข่ าดน้ํา แตมีขอ เสียที่เวลาใชจะมีการฟุงกระจาย
เครื่องพนสารเคมีแบบนี้สามารถนําเครื่องพนสารชนิดแรงดันลม (รูปที่ 4.28) มาใชได
โดยการติดตั้งอุปกรณพนผง (รูปที่ 4.31) เขาไปภายในถังสารเคมีบริเวณกันถังดังรูปที่ 4.32
แลวนําสารเคมีที่เปนผงใสเขาไปภายในถังสารเคมี เมื่อสตารทเครื่องยนต เกิดกระแสลมจากพัด
ลมออกไปที่ทอ พน ในขณะเดียวกันก็จะมีลมสวนหนึ่งเขาไปในอุปกรณพนผงผานตัวกวนออกไป
ทางทอลม ผงเคมีที่อยูดานบนก็จะผานรูดูดเขาไปในทอดูด ผสมไปกับลมออกไปยังทอลมดวย
ดังนั้นหัวฉีดแบบคอคอดที่ใชในการพนสารเคมีที่เปนของเหลวเดิมก็ไมจําเปนตองใช
150
เครื่องพนสารเคมีที่เปนเม็ด
สารเคมีปองกันกําจัดศัตรูพชื ที่อยูในรูปเม็ด มีชื่อยอ G ติดมากับภาชนะที่บรรจุ สารเคมี
แบบนี้คลายกับแบบผง แตมีขนาดใหญกวา สวนประกอบไดแกสารออกฤทธิ์และสารพาหะหรือ
สารที่ทําใหเจือจาง เชน ทราย สารเคมีแบบนี้ ใชไดทนั ที โดยใชทางดินเทานั้น ซึ่งจะออกฤทธิ์
ซึมขึ้นไปทางระบบราก หามนําไปละลายน้ํา เพราะนอกจากละลายยากแลวยังมีอันตรายสูง
สําหรับเครื่องพนสารเคมีแบบนี้สามารถนําเครื่องเครื่องพนหวานเมล็ดขาวงอก (รูปที่
3.13) ซึ่งไดมีการนําเครื่องพนสารชนิดแรงดันลม (รูปที่ 4.28) ที่ดัดแปลงแลวไปใชไดโดยตรง
เนื่องจากรูปรางของเมล็ดขาวกับเม็ดปุยมีลักษณะใกลเคียงกัน
151
บทที่ 5 เครื่องมือเก็บเกี่ยวพืชอาหารสัตว
(Forage Harvesting Machinery)
152
บทนํา
การเลี้ยงโคและแพะในประเทศไทยในอดีตเปนการเลี้ยงตามธรรมชาติใหสตั วแทะเล็ม
หญาสดตามธรรมชาติ สวนในชวงฤดูแลงก็มีการจัดเตรียมฟางขาวเก็บเอาไวเพือ่ ใหสัตวบริโภค
ทดแทนหญาสดที่หาไดยากขึ้น ทําใหสตั วไดรบั คุณคาทางอาหารไมเพียงพอตอการ
เจริญเติบโต เพราะฟางขาวเปนเพียงเศษเหลือของพืชที่มีคุณคาทางอาหารต่ํา ในปจจุบัน
เกษตรกรที่เลีย้ งโคมีจํานวนมากขึ้น เพราะความตองการเนื้อสัตวของประชากรที่เพิ่มขึ้นทั้ง
ภายในและภายนอกประเทศ การเลี้ยงจึงมีพัฒนาขึ้นเพื่อใหไดคุณภาพพืชที่ดีขึ้น โดยเฉพาะ
หนวยงานของรัฐที่ไดมีการนําเทคโนโลยีการผลิตพืชอาหารสัตวเขามาปรับปรุง และสงเสริมให
เกษตรกรมีการวางแผนจัดการเกี่ยวกับทุงหญาใหมากขึ้น โดยมีหนวยงานเอกชนที่หันมาเลี้ยง
สัตวแบบฟารมขนาดใหญ มีการนําเครื่องจักรกลในการเพาะปลูกและการเก็บเกีย่ วเขามาผลิต
พืชอาหารสัตวเพิ่มมากขึ้น สวนใหญจะมุงในการผลิตหญาแหงกอน บางแหงก็ตัดหญาสดแลว
นําไปใหสตั วกิน แตก็มีบางแหงผลิตหญาหมักเพื่อการเลี้ยงสัตว เพราะมีคุณคาทางอาหารสูง
และสามารถเพิ่มผลิตตอไรได
หญาแหง (hay)
หญาแหง หมายถึงตนและใบพืชที่นํามาทําใหแหงเพื่อเก็บไวใชเปนอาหารสัตว หญา
แหงจะมีคุณคาทางอาหารในระดับปานกลาง แตทั้งนี้ก็ขึ้นอยูกับพืชที่ใชทําดวย โดยจะตัดพืชที่
มีความชื้น 75-85 เปอรเซ็นต แลวทิ้งเอาไวในพื้นทีใ่ หแหงโดยแสงแดดและลมกอนที่จะนําไป
เก็บรักษา ความชื้นที่เหมาะสมในการเก็บรักษาขึน้ อยูกับชนิดของพืช ซึ่งโดยทั่วไปจะอยู
ระหวาง 10-15 เปอรเซ็นต ถาเปนพืชที่มีปริมาณน้ําตาลอยูนอ ยก็สามารถจะเก็บรักษาไวที่
ความชื้นระหวาง 15-18 เปอรเซ็นต แตถาเปนพืชที่ตัดขณะทีย่ ังออนและมีใบมาก ปริมาณ
น้ําตาลยังมีอยูสูง จึงตองทําใหหญาแหงลงจนความชืน้ ต่ํากวา 12 เปอรเซ็นต จึงจะปลอดภัยใน
การเก็บรักษา
การตัดหญาทีย่ ังออนเพื่อทําหญาแหง หญาที่ตัดจะมีความชื้น 80 เปอรเซ็นตหรือ
มากกวา เมื่อนําไปทําหญาแหงจํานวนหนึ่งตันที่มีความชื้น 15 เปอรเซ็นต จะตองนําน้ําออกไป
จากพืชประมาณ 3.25 ตัน แตถาปลอยใหพืชแกมากขึ้นและตัดเมื่อมีความชื้นประมาณ 75
เปอรเซ็นต จะตองนําน้ําออกไปจากพืชเพียง 2.4 ตัน เทานั้น แมวาการตัดพืชที่มีอายุมากจะ
ทําใหสามารถทําหญาแหงไดเร็วขึ้นและมีการสูญเสียนอย
พืชที่ใชทําหญาแหงจะแตกตางกันไปตามสภาพภูมิอากาศ และสภาพภูมิประเทศของ
แตละแหง นอกจากนั้น วิธีการเก็บเกี่ยวและการเก็บรักษาก็แตกตางกันไป พืชตระกูลถั่ว
จัดเปนพืชที่ใชทําหญาแหงที่มีคุณภาพสูง แตไดผลผลิตตอไรต่ํา จึงมีการใชพืชพวกหญาหรือ
พืชไร หรือแมกระทั่งเศษพืชที่เหลือจากการเก็บเกีย่ วเอาเมล็ดออกไปแลวมาทําเปนหญาแหง
เพราะฉะนั้นคุณภาพของหญาแหงจึงขึ้นอยูกับชนิดของพืช อายุของพืช วิธีการในการเก็บ
เกี่ยวและการเก็บรักษา
153
ในอดีตการทําหญาแหงตองใชแรงงานจํานวนมากมาย โดยเฉพาะในการขนสงจาก
พื้นที่เพาะปลูกมายังสถานที่เก็บรักษา ซึ่งเปนปญหากับประเทศซึ่งมีคาจางแรงงานสูง แต
ปจจุบันไดมีการพัฒนาเครื่องมือตางๆ ในการเก็บเกีย่ วและการขนสง โดยใชแรงงานเพียงคน
เดียวก็สามารถทํางานในการเก็บเกี่ยวพืชอาหารสัตว เพื่อทําหญาแหงได
คุณภาพของหญาแหง
หญาแหงที่ดีควรมีลักษณะตางๆ ดังนี้
1. มีคุณคาทางอาหารสูง หมายถึงมีโปรตีนสูง มีวิตามินและแรธาตุสงู
2. มีลําตนออน ทําใหสัตวสามารถยอยไดงาย และมีกากเหลือจากการยอยนอย
3. มีสีเขียวจัด ซึ่งแสดงถึงจํานวนแคโรทีนในหญาแหงนั้น
4. ไมมีเชื้อราและวัสดุอื่นเจือปน ซึ่งเปนสาเหตุทําใหสตั วไดรับอันตรายได
5. มีกลิ่นหอมชวนใหสัตวกิน
การทําใหหญาแหงมีคุณภาพสูงนั้น ตองใชพืชที่ดี เก็บเกีย่ วในชวงระยะเวลาที่
เหมาะสม และทําใหแหงโดยวิธที ี่ถูกตองและรวดเร็ว
การทําหญาแหง
1. การตัด (cutting) การตัดมักจะทําในวันที่อากาศแหงไมมีเคาฝน ควรคาดคะเนวา
จะไมมีฝนในระยะ 3-4 วันขางหนา โดยเริ่มตัดในตอนเชาภายหลังจากที่น้ําคางแหงแลว ไม
ควรตัดในตอนบายเพราะมีเวลานอยในการทําใหแหง ซึ่งถาหญาไมแหง การหายใจจะเกิดขึ้น
แปงในพืชไปจะสูญเสียไป
2. การตาก (curing) หลังจากตัดหญาดวยเครื่องแลว หญาจะวางกระจายใหเต็ม
แปลง ถาจะตากในลักษณะนี้จนแหง หญาจะแหงเร็วมากแตจะมีการสูญเสียใบมากถาเปนพืชที่
ใบรวงงาย นอกจากนั้นใบพืชจะถูกเผาโดยแสงแดดอยางเต็มที่ ทําใหคุณคาทางอาหารลดลง
ทางที่ดีควรตากหญาใหกระจายอยูระยะหนึ่ง ใหหญาแหงพอสมควรแตใบพืชยังไมทันเปราะ
แลวคราดเดินกวาดหญามากองรวมเปนแถวๆ ใหหญากองสุมกันอยางหลวมๆ และทิ้งไวจน
แหงพอเก็บได การพลิกกองหญาบางก็จะทําใหหญาแหงเร็วขึ้น การตากเปนแถวประมาณไม
เกิน 2 วันก็จะทําใหหญาแหงพอเก็บได สําหรับพืชทีม่ ีลําตนแข็งและใหญควรใชเครื่องบีบอัดลํา
ตนพืชใหแตก เพื่อทําใหลําตนและใบแหงในเวลาใกลเคียงกัน จะทําใหเวลาในการตากลดลงได
มากถึงประมาณ 50 เปอรเซ็นต
3. การเก็บ (bale) เมื่อหญาแหงมีความชื้นประมาณ 20 เปอรเซ็นต ก็จะทําการเก็บ
ได ถาเก็บไวใชเองในบริเวณใกลเคียงมักไมอัดฟอน คือ เอาไปเก็บกองอยางหลวมๆ ในยุงฉาง
โดยเฉพาะหญาทีแหงไมเต็มที่ การกองอยางหลวมๆ จะทําใหหญาแหงลงไดอีก ถาจะนําไปใช
ที่อื่นที่ไกลออกไปก็อัดเปนฟอน ซึ่งตองรอใหหญาแหงมากขึ้น
154
การสูญเสียในการทําหญาแหง
1. การสูญเสียเนือ่ งจากการหายใจของเซลทีย่ ังมีชีวิตอยู (metabolic losses) การ
หายใจจะทําใหแปงและน้ําตาลถูกทําลาย ถาระยะเวลาในการตากหญาเนิ่นนาน เชน อากาศชืน้
ไมมีแสงแดดจะทําใหหญามีการสูญเสียสูง การหายใจของเซลลจะดําเนินไปเรื่อยๆ จน
ความชื้นของหญาลดลงเหลือประมาณ 35 เปอรเซ็นต การสูญเสียชวงนีป้ ระมาณ 2-13
เปอรเซ็นต ของน้ําหนักแหงของผลผลิต
2. การสูญเสียเนือ่ งจากการหลุดรวงของใบและสวนเล็กๆ ของตนพืช (shattering
losses) กานและใบจะหลุดรวงเมื่อแหงจนเปราะ การหลุดรวงในขณะขนเก็บมักจะเปนใบ
โดยเฉพาะพืชตระกูลถั่วซึ่งสวนใบเปนสวนที่มีคุณคาทางอาหารสูง การสูญเสียจะมีมากขึ้นเมื่อ
ทําการคราดรวมกอง กระจายกอง และการอัดฟอนขณะที่พืชมีความชื้นต่ํา ซึ่งประมาณวาการ
สูญเสียจากการหลุดรวงของใบในชวงนี้ 5, 10 และ 20 เปอรเซ็นต ที่ความชื้นของหญา 50, 35
และ 20 เปอรเซ็นต ตามลําดับ โดยคิดเปนการสูญเสียขณะคราด 5-15 เปอรเซ็นต และการ
สูญเสียขณะอัดฟอนแบบเหลี่ยมประมาณ 3-8 เปอรเซ็นต ดังนั้น จึงควรเก็บหญาอยาง
ระมัดระวัง พยายามเก็บในขณะที่พืชยังไมแหงเปราะหรือควรหาวิธีทําใหใบและลําตนแหง
พรอมๆ กัน
3. การสูญเสียโดยการบูดเนาและถูกแดดทําลาย (fermentation losses and
bleaching losses) น้ําตาลและแปงอาจเกิดจากการสลายตัวเปนแกสและน้ําไดถาตากแตดนาน
เกินไป แสงแดดจะทําลายแคโรทีนพรอมๆ กับสีเขียวของพืช การบูดเนาจะสูญเสียโภชนาการ
ตางๆ รวมทั้งแคโรทีนดวย
4. การสูญเสียโดยถูกฝนชะ (leaching losses) ถาหญาที่ตากเกือบแหงถูกฝนชะจะ
เกิดการสูญเสียมากทั้งปริมาณและคุณภาพของหญา การสูญเสียในชวงนี้ประมาณ 8-10
เปอรเซ็นต
เครื่องจักรกลที่ใชในการทําหญาแหง
เพื่อที่จะลดแรงงานและเวลาที่ใชในการผลิตพืชอาหารสัตว ปจจุบันไดมีการผลิต
เครื่องมือตางๆ ในการทําหญาแหงเพื่อใหเกษตรกรเลือกใชใหเหมาะสมกับสภาพกิจการของ
ตนเอง ซึ่งแบงประเภทของเครื่องมือที่ใชในการทําหญาแหงไดดังนี้
1. เครื่องตัดหญา (mower)
1.1 เครื่องตัดหญาแบบใบมีดเคลื่อนไปมา (reciprocating knife mower)
1.2 เครื่องตัดหญาแบบมัลติดิส (multi disc mower)
1.3 เครื่องตัดหญาแบบดรัม (drum mower)
1.4 เครื่องตัดหญาแบบใบมีดหมุนเหวี่ยงแนวนอน (rotary mower or slasher)
1.5 เครื่องตัดหญาแบบหมุนเหวี่ยงแนวตั้ง (flail mower)
2. เครื่องบีบขอและลําตนหญา (hay conditioner)
155
เครื่องตัดหญา
เครื่องตัดหญาเปนเครื่องมือที่ใชในการตัดตนพืชอาหารสัตวเพื่อวัตถุประสงคในการ
นําไปใหสัตวกินสด หรือทําหญาแหงและหญาหมัก เครื่องตัดหญามีหลายแบบแตละแบบ
เหมาะสมที่จะใชกับงานที่แตกตางกัน
เครื่องตัดหญาแบบใบมีดเคลื่อนที่ไปมา
เครื่องตัดหญาแบบใบมีดเคลื่อนที่ไปมา (รูปที่ 5.1) เปนเครื่องตัดหญาแบบใบมีดที่
เคลื่อนที่สวนกัน หรือใบหนึ่งอยูกับที่อีกใบหนึ่งเคลื่อนที่ตัดตนพืชใหขาดออก ใชสําหรับตัดหญา
ที่ขึ้นเบาบางไดดี หญาอาหารสัตวที่ถูกตัดจะคงสภาพเดิมไมแหลกละเอียด เหมาะสําหรับนําไป
เลี้ยงสัตวโดยตรง หรือนําไปทําหญาแหง (hay) เพราะตัดไดเรียบรอย ไมชอกช้ํา คุณคาทาง
อาหารจะคงเดิม
เครื่องตัดหญาแบบดรัม
เครื่องตัดหญาแบบดรัม (รูปที่ 5.4) เปนเครื่องตัดหญาแบบใชใบมีดแบบหมุนเหวี่ยง
โดยมีชุดอุปกรณการขับเคลื่อนอยูดานบนของใบมีด โดยถายทอดกําลังมาจากเพลาอํานวย
กําลังผานเพลาขับและเกียรลงไปยังจานตัด ทําใหใบมีดของจานตัดแตละจานหมุนสวนทางกัน
โดยทั่วไปขนาดความกวางการตัด 2 เมตร จะมีชุดใบมีด 2 ชุด สามารถเคลื่อนทีใ่ นการทํางาน
ไปขางหนาไดเร็ว ชุดใบมีดแตละชุดจะประกอบดวยใบมีด 2 ใบ มีสวนประกอบที่สาํ คัญคือ
1. ชุดเกียรขับ (gear box)
2. ชุดเพลาขับ (drum rotor)
3. ใบมีด (knife)
การปรับตั้งความสูงของหญาที่ตัดสามารถทําไดโดยการปรับมุมเอียงของใบมีด ดวยการ
ปรับแขนกลางของรถแทรกเตอรใหสั้นลง หรือยาวขึ้น นอกจากนั้นยังอาจจะปรับไดที่ชุดปรับ
ของเครื่องตัดหญา ถาปรับใหเอียงไปดานหลังมากจะตัดไดหญายาว ถาปรับใหเอียงไปดานหนา
มากจะตัดไดหญาสั้น แตก็ตองปรับเลื่อนผาใบมาคลุมเพื่อปองกันหินกระเด็น
เครื่องตัดหญาแบบมัลติดิส
เครื่องตัดหญาแบบมัลติดิส (รูปที่ 5.5) เปนเครื่องตัดหญาแบบใชใบมีดหมุนเหวี่ยง
เชนกัน แตมีชุดเฟองขับอยูดานลางของใบมีด แชอยูในน้ํามันหลอลื่นเพื่อลดการสึกหรอและหลอ
ลื่น จานตัดมีลักษณะเปนรูปวงรี (รูปที่ 5.6) ติดใบมีดที่สวนปลาย 2 ใบ ทําใหมีการเหลื่อมกัน
ของใบมีด กองหญาที่ตัดไดจะแผกระจายเทากับความกวางของชุดใบมีด ชุดใบมีดจะมี
เสนผาศูนยกลางเล็กกวาแบบดรัม ทําใหการตัดหญาไดนุมนวลกวา หญาที่ถกู ตัดจะไมถูกหั่น
เปนทอนสั้น ๆ สวนความกวางในการตัดหญาขึ้นอยูกับจํานวนจานตัดที่อาจจะมีตั้งแต 2-6 จาน
เครื่องตัดหญาแบบหมุนเหวี่ยงแนวนอน
เครื่องตัดหญาแบบหมุนเหวี่ยงแนวนอนเปนเครื่องตัดหญาแบบใบมีดหมุนเหวี่ยงที่มี
เพลาขับอยูใ นแนวดิ่ง และมีชุดใบมีดอยูในแนวนอน การตัดใบมีดจะเหวี่ยงในแนวระดับชิดกับ
พื้นดิน ปกติใบมีดตัดจะมีอยูเพียงชุดเดียว จํานวน 2 ใบ แตบางแบบจะมีชุดใบมีดตั้งแต 1-3
ชุดที่วางซอนกันเปนชั้นๆ ตามแนวขนานกับพื้นดินหรือวางเยื้องกันในระดับเดียวกัน ความ
กวางของแนวการตัดหรือเสนผาศูนยกลางใบมีดของเครื่องตัดหญาแบบใบมีดชุดเดียวประมาณ
1.5 เมตร แตในเครื่องตัดขนาดใหญๆ อาจจะมีความกวางในการตัดถึง 3.5 เมตร นิยมใชใน
การตัดวัชพืชใหสั้นแตไมเก็บไปใชเลี้ยงสัตว เพราะตนพืชที่ตัดจะถูกตีจนแหลก นอกจากนั้นยัง
ใชในการตัดยอยตอเศษพืชที่เหลือจากการเก็บเกี่ยว เชน ตัดตอออย เปนตน โดยมี
สวนประกอบที่สําคัญดังนี้
1. หองเกียร (gear box)
2. แกนใบมีด (rotor) ตอกับแผนจานกลม
3. ใบมีด (blade)
เครื่องตัดหญาแบบนี้สว นใหญติดตั้งอยูด านหลังรถแทรกเตอร (รูปที่ 5.7) และหมุนโดย
อาศัยกําลังจากเพลาอํานวยกําลัง (รูปที่ 5.8) ที่ถายทอดมายังหองเกียร ซึ่งเปลี่ยนการหมุนของ
เพลาอํานวยกําลังมาหมุนขับใบมีดในแนวราบ สวนการควบคุมความสูงในการตัดโดยใชสกีหรือ
ลอดานทายของเครื่อง
5. ไมควรใชเกียรเดินหนาสูงเกินไปในการตัดหญาที่ขึ้นอยูอยางหนาแนน หรือมีลํา
ตนยาว สูง และเหนียว เพราะใบมีดจะตัดไมทัน ทําใหหญาพันรัดใบมีดจนไมสามารถหมุนได
6. ควรจะสังเกตวา ใบมีดทีห่ มุนดวยความเร็วสูง ถาเกิดหลุดหรือขาดออกจากแผน
จานกลมจะกระเด็นออกไปไกลหลายสิบเมตร และทําอันตรายตอผูท ี่อยูใกลเคียง ถาใบมีดนั้น
ไปกระแทกหินหรือตอไม เศษหินหรือเศษไมจะกระเด็นออกมาทําใหเกิดอันตรายขึน้ ได
เชนเดียวกัน เพราะฉะนั้นขณะที่กําลังตัดหญาไมควรจะใหผูใดยืนอยูขางหลังรถแทรกเตอรเปน
อันขาด
7. ดับเครื่องกอนที่จะลงมาจากรถแทรกเตอร หรือกอนที่จะการปรับตั้งเครื่องตัดหญา
8. ไมควรใหผูใดโดยสารไปดวยขณะทํางาน
9. ขณะเดินทางอยาใหเพลาอํานวยกําลังหมุน
เครื่องตัดหญาแบบหมุนเหวี่ยงแนวตั้ง
เครื่องตัดหญาแบบหมุนเหวี่ยงแนวตั้ง (รูปที่ 5.10) เปนเครื่องตัดหญาแบบใบมีดหมุนที่
มีเพลาขับอยูในแนวราบและมีใบมีดเหวี่ยงไดในแนวดิ่ง (flail) (รูปที่ 5.11) ตลอดความยาวของ
เพลาขับที่หมุนดวยความเร็วสูงในทิศทางตรงขามกับลอรถแทรกเตอร เมื่อตนหญาเขาไปอยู
ระหวางใบมีดกับแผนตัด (shear plate) ก็จะถูกตัดขาด และถูกใบมีดที่หมุนตัดนั้นพนหญาที่
ขาดขึ้นไปดานบนผานทอพน (spout) ตกลงไปยังรถเทลเลอรที่พวงอยูขางหลัง สวนการตัดหญา
ใหสั้นหรือยาวนั้น ปรับไดที่ลอปรับความสูง ดังนั้น เครื่องตัดหญาชนิดนี้ จึงเหมาะสําหรับตัด
หญาที่จะนําไปทําหญาหมัก (silage) และหญาคลุมดิน (mulching)
เครื่องบีบขอและลําตนหญา
เครื่องบีบขอและลําตนหญาเปนเครื่องมือปรับสภาพทําใหลําตน และใบหญาแหงใน
เวลาที่ใกลเคียงกัน เพื่อลดการสูญเสียจากการหลุดรวงของใบที่แหงกรอบ ซึ่งปกติถาตากแดด
ไวตามธรรมชาติ ลําตนจะเปนสวนที่แหงเปนอันดับสุดทาย โดยใบจะแหงกอนสวนอื่น เมื่อทํา
164
การเก็บจะทําใหใบที่แหงกรอบเกิดการหลุดรวงสูญเสียคุณคาทางอาหารไป การทําใหหญาแหง
พรอมกันและแหงเร็วขึ้น สามารถทําไดโดยการบีบอัด (crushing หรือ crimping) และการนวด
ตี (flailing) ซึ่งวิธีการเหลานี้มีขอไดเปรียบกวาวิธีการตากใหแหงโดยแสงแดดเพียงอยางเดียว
คือ
1. ลดเวลาในการทําใหหญาแหงประมาณ 30 เปอรเซ็นต
2. ลดความเสียหายอันอาจเกิดขึ้นจากสภาพอากาศ
3. ประหยัดเวลาจากการกลับพลิกหญา
4. ชวยรักษาคุณคาทางอาหาร
เครื่องบีบขอและลําตนหญาสามารถแบงออกไดตามลักษณะของการทํางาน คือ
1. เครื่องบีบขอและลําตน
2. เครื่องตัด บีบขอและลําตน
เครื่องบีบขอและลําตนหญามีสวนประกอบหลักที่สําคัญคือลูกกลิ้ง ที่มีอยูหลายแบบ (รูป
ที่ 5.12) สวนใหญจะใชงานเปนคูๆ มีทั้งแบบที่เปนโลหะทั้งคู เปนโลหะหนาเรียบและยางเปน
รอง หรือยางเปนรองทั้งคู
เครื่องบีบขอและลําตน
เครื่องบีบขอและลําตน (รูปที่ 5.13) เปนเครื่องที่ไมมีลอโนม ชุดใบมีด และชุดเกลีย่ หญา
ใชรถแทรกเตอรลากจูง โดยที่ลูกกลิ้งตัวที่วางติดกับดินจะทําหนาทีเ่ ปนตัวเกลีย่ และดึงหญาขึ้น
ไปบีบกับลูกกลิ้งอีกตัวหนึ่งที่อยูดานบน ขอและลําตนของหญาจะแตก ทําใหคายความชื้น
ออกไปไดเร็วเทาๆกับทีใ่ บ เครื่องแบบนี้เปนที่นิยมใชในฟารมขนาดเล็ก
เครื่องตัด บีบขอและลําตน
เครื่องตัด บีบขอ และลําตนเปนแบบที่มีลอโนม และอุปกรณในการตัดหญาแลวสงขึ้นไป
บีบดวยลูกกลิง้ กอนที่จะทิ้งออกมากองไวเปนแถวดานหลัง ดังหลักการทํางานที่แสดงไวในรูปที่
5.14 โดยกําลังที่ใชในการขับลอโนม ลูกกลิ้งและใบมีดตัดนั้นไดมาจากรถแทรกเตอรที่สงผานมา
ทางเพลาอํานวยกําลัง ขณะที่รถแทรกเตอรเคลื่อนที่ไปขางหนาและลากจูงไปพรอมๆกัน
สวนประกอบที่สําคัญของเครื่องตัด บีบขอและลําตนประกอบดวย
1. ลอโนม (reel) ทําหนาที่โนมตนพืชเขาไปตัดและสงพืชตอไป แบงตาม
ลักษณะการทํางานเปนหลายแบบ คือ
1.1 แบบซี่ฟนเกลีย่ (pick up reel) เปนแบบที่โนมตนพืชไปทางดานหลังโดย
ซี่ฟนเกลี่ย พยุงตนพืชใหอปุ กรณตัด หลังจากนั้นก็จะยกสงไปใหลูกกลิ้งบีบขอตอไป
1.2 แบบแผนโนม (bat reel) เปนแบบแผนไมหรือโลหะวางขวางกับทิศ
ทางการเคลื่อนที่ ทําหนาที่กดตนพืชลงแลวสงไปใหสว นตัด
เครื่องคราดหญา
ภายหลังจากการตัดหญา หญาจะถูกวางกระจัดกระจายไวบนพื้นเพื่อตากใหแหงเร็วขึ้น
แตไมสะดวกในการเก็บหรือนําเครื่องมือเขามาทํางานตอ โดยเฉพาะการใชเครื่องอัดฟอนหญา
ถาหากปลอยใหหญากระจัดกระจาย การอัดหญาใหไดหนึ่งฟอนก็ตองใชเวลานาน เพราะ
ปริมาณหญาที่ปอนเขาไปไมเพียงพอ เครื่องคราดหญาจึงเปนสิ่งจําเปนสําหรับวางรายหญา
เอาไวเปนกองในปริมาณที่มากพอที่เครื่องอัดฟอนจะทํางานไดอยางมีประสิทธิภาพ การคราด
หญาที่ตากเอาไวมารวมกองจะทําใหลดเวลาในการทํางานลง แตจะตองคราดเมื่อหญามี
ความชื้นมากกวา 40 เปอรเซ็นต เพื่อลดการสูญเสียสวนใบของหญา เครื่องคราดหญาสามารถ
คราดหญาที่ถกู ตัดวางกระจายไวแลวหรือคราดหญาที่กองไวเปนกองเล็กๆ จากการใชเครื่องตัด
บีบขอและลําตน มารวมเปนกองที่ใหญขึ้นก็ได นอกจากนั้น ยังสามารถใชเกลี่ยหรือกระจาย
167
กองหญาหรือพลิกกลับหญาที่อยูขางลางขึ้นมารับแสงแดด โดยเฉพาะเมื่อมีฝนตกขณะทีต่ าก
หญา เครื่องคราดหญาที่นิยมใชกันมากมี 2 แบบ คือ
1. เครื่องคราดแบบหมุนเหวี่ยง (rotary or radial rake)
2. เครื่องคราดแบบวงลอ (finger wheel rake)
เครื่องคราดแบบหมุนเหวี่ยง
เครื่องคราดแบบหมุนเหวี่ยงทํางานโดยซี่เกลี่ยจํานวน 2-10 ซี่ ที่ติดอยูกับแกนหมุนที่อยู
ในแนวดิ่งรวมกันเปนชุดหมุน โดยอาจจะมี 1-6 ชุด ซี่เกลี่ยจะหมุนในแนวราบดวยความเร็วสูง
เพื่อรวมหญาใหเปนกองและเปนแถว พลิกกลับ เกลี่ยหรือกระจาย ทั้งนี้บางเครื่องก็ถูกออกแบบ
มาใหมีหนาที่เพียงอยางเดียว ถามีซีเกลีย่ 2 ซี่อยูบนแขน มักจะใชไดเฉพาะกระจายกอง แตถา
มีมากกวาก็จะทําหนาที่รวมกองไดดว ย เครื่องคราดแบบหมุนเหวี่ยงนี้แบงออกไดอีก 2 ชนิด คือ
ชนิดแกนหมุน 1 แกน (one rotor type) และชนิดแกนหมุน 4 แกน (four rotors type)
เครื่องคราดแบบหมุนเหวี่ยงชนิดแกนหมุน 1 แกน
เครื่องคราดชนิดแกนหมุน 1 แกน (รูปที่ 5.15) นี้ประกอบดวยชุดหมุน 1 ชุด ที่
ไดรับการถายทอดกําลังมาจากเพลาอํานวยกําลัง และมีลอพยุงทีท่ ําใหเครื่องคราดนี้เคลื่อนไป
ตามลักษณะของพื้นที่อยางสม่ําเสมอ นอกจากนั้นยังสามารถเปลี่ยนลักษณะการทํางานจากการ
กระจายกองหญาเปนรวมกองหญาใหเปนแถวได โดยการเปลี่ยนมุมหรือความเร็วของซี่เกลี่ย
และติดตั้งแผงผาใบรวมกองเพิ่มเติม
168
เครื่องคราดแบบหมุนเหวี่ยงชนิดแกนหมุน 4 แกน
เครื่องคราดชนิดแกนหมุน 4 แกน (รูปที่ 5.16) นี้มีลักษณะคลายกับเครื่องคราด
ชนิดแกนหมุนเดี่ยว มักจะใชสําหรับการกระจายกองมากกวาเครื่องชนิดอื่นๆ แกนหมุนแตละ
แกนจะมีลอพยุงสําหรับรองรับน้ําหนัก จึงทําใหการกระจายและพลิกกองหญาไดดี ถึงแมวาพื้นที่
ที่ทํางานจะเปนที่ขรุขระ หรือไมเรียบ นอกจากนั้นถาแกนหมุนมีจํานวนมากขึ้น ความกวางหรือ
หนากวางของงานก็เพิ่มขึ้น การกระจายกองหญาจึงรวดเร็ว เกษตรกรจึงมักจะนําไปใชในการ
กระจายหญามากกวาการรวมกองแถวหญา ทั้งนี้ในขณะเดินทางตองพับขึ้นในตําแหนงขนยาย
ถายิ่งมีแกนหมุน 6 แกน หนากวางของการทํางานก็ยิ่งเพิ่มขึ้น การเดินทางก็ยิ่งตองระมัดระวัง
มากขึ้น
เครื่องคราดแบบวงลอ
เครื่องคราดแบบวงลอ (finger wheel rake) (รูปที่ 5.17) ประกอบดวยลอเกลี่ย 4-6 ลอ
ติดตั้งอยูในลักษณะซอนกัน จะมีซี่เกลี่ยติดอยูที่เสนรอบวงของวงลอ ซี่เกลีย่ จะสัมผัสกับดิน
อยางเบาๆ และเมื่อเคลื่อนที่ไปขางหนา ลอเกลี่ยจะหมุนดวยตัวเอง โดยไมอาศัยอุปกรณใน
169
เครื่องอัดฟอนหญา
เครื่องอัดฟอนหญาใชในการเก็บหญาแหงหรือฟางซึ่งถูกตัด หรือกองเรียงไวเปนแถว
อยางมีระเบียบมาทําการอัดใหเปนรูปทรงตามตองการแลวอาจผูกมัดดวยเชือก หรือลวดก็ได
เพื่อไมใหฟอนหญาเสียรูปทรง เหมาะสําหรับการขนสงไปไกลๆ ความแนนของฟอนหญายิ่ง
มากเทาใดก็จะทําใหเปลืองเนื้อที่ในการขนสงและเก็บรักษานอยลง
ชนิดของเครื่องอัดฟอนหญา จําแนกตามลักษณะของฟอนหญาไดดังนี้
1. เครื่องอัดฟอนหญาแบบสี่เหลี่ยม
2. เครื่องอัดฟอนหญาแบบกลม
การเก็บหญาแหงแตละแบบมีขอไดเปรียบ เสียเปรียบกัน แลวแตความสะดวก ซึ่งแต
ละแบบมีรายละเอียดดังนี้
เครื่องอัดฟอนหญาแบบสี่เหลี่ยม
เครื่องอัดฟอนหญาแบบสี่เหลี่ยม (รูปที่ 5.18) เปนเครื่องที่อัดฟอนหญาใหออกมาเปน
รูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผาสะดวกในการจัดวางและการขนยาย ฟอนหญามาตรฐานจะมีขนาด 360
x 460 x 900 มิลลิเมตร และมีน้ําหนักระหวาง 15-25 กิโลกรัม ซึ่งเปนขนาดที่เหมาะสําหรับ
วัวนม จํานวน 4 -10 ตัว ความหนาแนนของฟอนหญาขึ้นอยูกับชนิดของพืช และความชื้น
ซึ่งมีคาระหวาง 80 - 220 กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร โดยสามารถปรับความหนาแนนไดขณะ
อัดฟอน
สวนประกอบของเครื่องอัดฟอนหญาแบบสี่เหลี่ยม (รูปที่ 5.19)
1. อุปกรณยกหญา (pick up reel) ทําหนาที่ในการเกี่ยวเอาหญาที่ถกู ตัดวางกอง
ไวสงไปใหเกลียวลําเลียง ประกอบดวยซี่ยก (tine) ซึ่งจะหมุนดีดเอาหญาขึ้นไปวางบนแผน
แซะ (stripper plate) แลวหมุนสงไปยังเกลียวลําเลียง อุปกรณยกหญาจะตองมีความกวาง
เพียงพอสําหรับแถวหญาทีก่ องไวแลว และปรับความสูงได เพื่อใหสามารถทํางานในสภาพที่
170
การทํางานของเครื่องอัดฟอนหญาแบบสี่เหลี่ยม เริ่มจากหญาที่ถูกตัดและคราดมากอง
ไวเปนแถวอยางมีระเบียบ และมีความชืน้ ประมาณ 15-20 เปอรเซ็นต จะถูกซี่ยกเกี่ยวขึ้นมาสง
ใหเกลียวลําเลียง เพื่อรวมหญาแลวสงใหแขนสงหญา สงหญาเขาหองอัดในขณะที่ลูกสูบอัด
เคลื่อนที่ถอยหลัง จากนั้นลูกสูบจะอัดหญาเขาไปโดยมีใบมีดซึ่งอยูดานขาง ทําหนาที่ตัดขอบ
ฟอนฟางใหเรียบ ความหนาแนนของฟอนหญาถูกกําหนดโดยแผนคานกด (tension bars)
ที่ตั้งระยะหางได สวนขนาดของฟอนนั้นจะมีลอจักรหมุนอยูดานบนของฟอนเปนตัวกําหนด
ความยาวของฟอน ซึ่งก็สามารถตั้งไดโดยลอที่กําหนดความยาวนี้จะทํางานสัมพันธกับเข็ม
เมื่อฟอนหญาไดความยาวตามตองการแลว เข็มเสียบจะนําเชือกหรือลวดสอดขึ้นมาดานบนหา
อุปกรณในการมัดเพื่อมัดฟอนหญาใหแนน
เครื่องอัดฟอนหญาแบบกลม
เครื่องอัดฟอนหญาแบบกลม (รูปที่ 5.22) หรือเครื่องมวนหญาจะนําหญาที่ถูกตัดวาง
ไวเปนแถวมามวนเปนกอนกลม ซึ่งมีหลายขนาดตั้งแตขนาดเสนผาศูนยกลาง 0.9 เมตร กวาง
1.2 เมตร ถึงขนาดเสนผาศูนยกลาง 1.8 เมตร กวาง 1.5 เมตร มีความหนาแนนระหวาง 110-
120 กิโลกรัมตอลูกบาศกเมตร มีน้ําหนักประมาณ 0.2-0.5 ตัน ขึ้นอยูกับขนาดของฟอนหญา
ใชงานงายและสามารถเก็บรักษาฟอนหญาเอาไวไดในพื้นที่ได เพราะรูปทรงที่กลมจะทําให
น้ําฝนไหลออกทางดานขางโดยไมซึมลงไปในฟอนหญา
173
บทที่ 6 เครื่องใสปุย
(Fertilizer Applicator)
176
บทนํา
ปุย หมายถึง สารหรือสิ่งซึ่งใสลงไปในดิน เพื่อวัตถุประสงคใหปลดปลอยธาตุอาหารพืช
โดยเฉพาะไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม ที่พืชยังขาดอยูใหพืชไดรับอยางเพียงพอ
เพื่อการเจริญเติบโตและใหผลิตผลสูงขึ้น
ปุยแบงออกเปนสองประเภทคือ ปุยอินทรีย และปุยเคมีหรือปุยวิทยาศาสตร
1. ปุยอินทรีย ปุยพวกนี้ ไดแก ปุยคอก ปุยหมัก ปุยพืชสด และวัสดุเหลือใชจากโรงงาน
อุตสาหกรรมบางชนิดซึ่งเปนพวกอินทรียสาร
ปุยคอกที่สําคัญก็ไดแก ขี้หมู ขี้เปด ขี้ไก ฯลฯ เปนปุยคอกที่นิยมใชกนั อยางแพรหลาย
ในบรรดาสวนผักและสวนผลไม ปุยคอกโดยทั่วไปแลวถาคิดราคาตอหนวยธาตุอาหารพืชจะมี
ราคาแพงกวาปุยเคมี แตปุยคอกชวยปรับปรุงดินใหโปรงและรวนซุย ทําใหการเตรียมดินงาย
การตั้งตัวของตนกลาเร็วทําใหมีโอกาสรอดไดมาก การใสปุยคอก หรือปุยอินทรียลงไปจะทําให
ดินไมอัดกันแนน ดินอุมน้ําและปุยไดดีขนึ้
ปุยคอกมีปริมาณธาตุอาหารไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียม คอนขางต่ํา
โดยทั่วไปแลวก็จะมีไนโตรเจนประมาณ 0.5% N ฟอสฟอรัส 0.25% P2O5 และโพแทสเซียม
0.5% K2O
ปุยขี้ไกและขี้เปด จะมีปริมาณธาตุอาหารสูงกวาขี้หมู และขี้หมูจะปริมาณธาตุอาหารสูง
กวาขีว้ ัว และขี้ควาย ปุยคอกใหม ๆ จะมีปริมาณธาตุอาหารสูงกวาปุยคอกที่เกาและเก็บไวนาน
ทั้งนี้เนื่องจากสวนของปุยทีล่ ะลายไดงายจะถูกชะลางออกไปหมด บางสวนก็กลายเปนกาซสูญ
หายไปดังนั้นการเก็บรักษาปุยคอกอยางระมัดระวังกอนนําไปใช จะชวยรักษาคุณคาของปุยคอก
ไมใหเสื่อมคุณคาอยางรวดเร็ว
ปุยหมักไดแกปุยที่ไดจากการหมักเศษพืช เชน หญาแหง ใบไม ฟางขาว ฯลฯ ใหเนา
เปอยเสียกอน จึงนําไปใสในดินเปนปุย ปุยเทศบาลทีบ่ รรจุถุงขายในชื่อของปุยอินทรียเบอร
ตาง ๆ นั้น ก็คือปุยหมัก ไดจากการนําขยะจากในเมือง พวกเศษพืช เศษอาหารเขาโรงหมักเปน
ขั้นเปนตอนจนกลายเปนปุย ปุยหมักสามารถทําเองไดโดยการกองสุมเศษพืชสูงขึ้นจากพื้นดิน
30-40 ซม. แลวโรยปุยคอกผสมปุยเคมีสูตรเสมอ 15-15-15 ประมาณ 1-1.5 กิโลกรัม ตอเศษ
พืชหนัก 1,000 กิโลกรัม เสร็จแลวก็กองเศษพืชซอนทับลงไปอีกแลวโรยปุยคอกผสมปุยเคมี ทํา
เชนนี้เรื่อยไปเปนชั้น ๆ จนสูงประมาณ 1.5 เมตร ควรมีการรดน้ําแตละชั้นเพื่อใหมีความชุมชืน้
และเปนการทําใหมีการเนาเปอยไดเร็วขึ้น
กองปุยหมักนี้ทิ้งไว 3-4 สัปดาห ก็ทําการกลับกองปุย ครั้งหนึ่ง ถากองปุยแหงเกินไปก็
รดน้ํา ทําเชนนี้ 3-4 ครั้ง เศษพืชก็จะเนาเปอยเปนอยางดีและมีสภาพเปนปุยหมัก นําไปใชใสดิน
เปนปุยใหกับพืชที่ปลูกได เศษหญาและใบไมตาง ๆ ถาเก็บรวบรวมกองสุมไวแลวทําเปนปุย
หมัก จะดีกวาเผาทิ้งไป ปุยหมักจะชวยปรับปรุงดินใหมีคุณสมบัติทางฟสิกสดีขึ้นและปลูกพืช
เจริญงอกงามดีเปนอยางยิ่ง โดยเฉพาะพืชผักสวนครัว และไมดอกไมประดับ
177
ปุยพืชสดเปนปุยอินทรียที่ไดจากการปลูกพืชบํารุงดินซึ่งไดแก พืชตระกูลถั่วตาง ๆ
แลวทําการไถกลบเมื่อพืชเจริญเติบโตมากที่สุด ซึ่งเปนชวงที่กําลังออกดอก พืชตระกูลถัว่ ที่ควร
ใชเปนปุยพืชสดควรมีอายุสั้น มีระบบรากลึก ทนแลง ทนโรคและแมลงไดดี เปนพืชที่ปลูกงาย
และมีเมล็ดมาก ตัวอยางพืชเหลานี้ก็ไดแก ถั่วพุม ถั่วเขียว ถั่วลาย ปอเทือง ถั่วขอ ถั่วแปบ และ
โสน เปนตน
2. ปุยเคมี หรือปุยวิทยาศาสตร เปนปุยทีไ่ ดมาจากการผลิตหรือสังเคราะหทาง
อุตสาหกรรมจากแรธาตุตาง ๆ ที่ไดตามธรรมชาติ หรือเปนผลพลอยไดของโรงงานอุตสาหกรรม
บางชนิด ปุยเคมีมีอยู 2 ประเภท คือ แมปุย หรือปุยเดี่ยวพวกหนึ่ง และปุยผสมอีกพวกหนึ่ง
ปุยเดี่ยวหรือแมปุยไดแก ปุยพวกแอมโมเนียมซัลเฟต โพแทสเซียมคลอไรด ฯลฯ ซึ่ง
เปนสารประกอบทางเคมี มีธาตุอาหารปุย คือ N หรือ P หรือ K เปนองคประกอบอยูดวยหนึ่ง
หรือสองธาตุ แลวแตชนิดของสารประกอบที่เปนแมปุยนั้น ๆ เชน ปุยแอมโมเนียมซัลเฟต มี
ไนโตรเจน 20% N สวนโพแทสเซียมไนเทรต มีไนโตรเจน 13% N และโพแทสเซียม 46% K2O
อยูรวมกันสองธาตุ
ปุยผสมไดแก ปุยที่มีการนําเอาแมปุยหลาย ๆ ชนิดมาผสมรวมกัน เพื่อใหปุยที่ผสมได
มีปริมาณและสัดสวนของธาตุอาหาร N P และ K ตามที่ตองการ ทั้งนี้เพื่อใหไดปุยที่มีสูตรหรือ
เกรดปุยเหมาะที่จะใชกบั ชนิดพืชและดินที่แตกตางกัน ปุยผสมนี้มีขายอยูในทองตลาดทัว่ ไป
ปจจุบันเทคโนโลยีในการทําปุยผสมไดพัฒนาไปไกลมาก สามารถผลิตปุยผสมใหเขาเปนเนื้อ
เดียวกันอยางสม่ําเสมอ มีการปนเปนเม็ดขนาดสม่ําเสมอสะดวกในการใสลงไปในไรนา ปุยพวก
นี้เก็บไวนาน ๆ จะไมจับกันเปนกอนแข็ง สะดวกแกการนําไปใชปุยผสมประเภทนี้เรียกกันทั่ว ๆ
ไปวา ปุยคอมปาวด สวนการนําแมปุยมาผสมกันเฉย ๆ เพียงใหไดสูตรตามทีต่ องการ หรืออาจ
มีการบดใหละเอียดจนเขากันดียังคงเรียกวาปุยผสมอยูต ามเดิม ปจจุบันมีการนําเอาแมปุยที่มี
การปนเม็ดหรือมีเม็ดขนาดใกลเคียงกันมาผสมกันใหไดสูตรปุยตามที่ตองการ แลวนําไปใช
โดยตรงเรียกปุยชนิดนี้วา ปุยผสมคลุกเคลา (bulk blending)
ปจจุบันปุยเปนปจจัยสําคัญที่ทําใหผลผลิตเพิ่มขึ้น เนื่องจากธาตุอาหารที่มีอยูในดินไม
เพียงพอตอความตองการของพืช ดังนั้น จึงมีการเติมปุยหรือธาตุอาหารตางๆ ลงไปในดินอยู
การใสปุยเหลานี้มีวิธีที่แตกตางกัน ขึ้นอยูกับรูปรางและลักษณะของปุยที่ใช
เครื่องใสปุยเปนเครื่องมือที่สําคัญ ซึ่งสามารถนําปุยที่มีปริมาณตามที่กําหนดไปสูพื้นที่ที่
ตองการอยางสม่ําเสมอ รวดเร็วและประหยัดแรงงาน การเลือกใชเครื่องใสปุยชนิดใดชนิดหนึ่ง
จึงมีสวนสําคัญที่ทําใหพืชไดรับธาตุอาหารจนผลผลิตเพิ่มขึ้น โดยทั่วไปเครื่องใสปุยแบงออกได
เปน 2 ชนิด ทั้งนี้ขึ้นอยูกับชนิดของปุยทีใ่ ชเปนสําคัญ คือ
1. เครื่องหวานปุย คอก (manure spreader)
2. เครื่องใสปุยเม็ด (fertilizer applicator)
178
เครื่องหวานปุยคอก
เนื่องจากของเสียที่ขบั ถายออกมาจากสัตวประกอบขึน้ ดวยของแข็งและของเหลวปนกัน
ดังนั้น เครื่องหวานปุยคอก (รูปที่ 6.1) จึงประกอบขึ้นดวยกระบะขนาดใหญ ซึ่งมีลักษณะเปนรถ
เทลเลอรที่อาศัยกําลังฉุดลากจากรถแทรกเตอรในการเคลื่อนที่ ภายในกระบะมีอุปกรณลําเลียง
ประกอบดวยโซและแผนเหล็ก สําหรับลําเลียงปุยคอกออกมายังทายกระบะซึ่งมีอุปกรณ
กระจายปุยติดตั้งอยู อุปกรณกระจายปุยนี้จะหมุนตีใหกระเด็นออกไปทางดานหลังของเครื่องใส
ปุย สําหรับกําลังที่ใชในการขับเคลื่อนลําเลียงและอุปกรณกระจายปุยคอก มีสวนประกอบ
สําคัญที่แตกตางออกไป คืออุปกรณลําเลียงปุยคอกทํางานโดยอิสระ เพียงแตยกกระบะใสปุย
คอกขึ้น โดยอาศัยกระบอกไฮดรอลิกที่อยูขางใตเทานั้น อุปกรณลําเลียงจะดันใหปุยคอก
เคลื่อนที่ไปสวนทายของกระบะ
เครื่องใสปุยเม็ด
ปุยเม็ดเปนทีน่ ิยมสําหรับการปลูกพืชทัว่ ไป เครื่องใสปุยที่ใชกับปุย ประเภทนี้ อาจจะ
เปนแบบที่หวานปุยออกไปบนพื้นที่เพาะปลูก หรือโรยไปตามรองพืชที่ปลูก โดยอาจจะติดไป
กับเครื่องปูลก หรือเปนเครื่องใสปุยอยางเดียว เครื่องใสปุยแบบนี้มี 2 ประเภทคือ
1. เครื่องหวานปุย เม็ด (fertilized distributor)
2. เครื่องโรยปุย
179
เครื่องหวานปุยเม็ด
เครื่องหวานปุย เม็ด (รูปที่ 6.2) ประกอบดวยถังใสปยุ (hopper) และจานหมุน
(spinning disc) ซึ่งไดรับกําลังมาจากเพลาอํานวยกําลัง เมื่อปุยตกจากถังใสปุยลงมาสูจานหมุน
แลวจะถูกเหวีย่ งออกไปสูพื้นดินเปนวงกวาง 5-10 เมตร
ปจจัยที่มีผลตอการหวานปุย มีดังตอไปนี้
1. อัตราการปอนปุยจากถังไปยังจานหมุน ซึ่งถูกควบคุมโดยแผนปรับ (adjustable
slide) ที่อยูที่กนกรวย
2. ความเร็วของจานหมุน ถาหมุนเร็วปุยที่หวานก็จะกระจายออกเปนวงกวาง แตทวา
อัตราการหวานจะต่ํา
3. ความเร็วของรถแทรกเตอร เมื่อรถแทรกเตอรเคลื่อนที่เร็วจะทําใหอัตราการหวาน
ปุยต่ํา
บริษัทผูผ ลิตเครื่องหวานปุยทุกบริษัทจะระบุอัตราการหวานปุยที่ระดับความเร็วของรถ
แทรกเตอรและความเร็วของเพลาอํานวยกําลังตางๆ รวมทั้งความกวางของชองเปดที่เกิดจาก
แผนปรับไวในหนังสือคูมือผูใชดวย แตอยางไรก็ตาม เนื่องจากปุยมีขนาดและมีเนื้อ (texture)
แตกตางกัน ดังนั้น ผูใชอาจจะปรับตั้งพิเศษเพิ่มขึ้นจากที่ระบุไวก็ได
สําหรับการติดเครื่องหวานปุยเขากับแขนพวง 3 จุดของรถแทรกเตอรนั้นควรจะปรับที่
แขนกลางและแขนขวา เพื่อทําใหเครื่องหวานปุยโดยเฉพาะจานเหวี่ยงอยูในแนวระดับขณะใช
งาน (รูปที่ 6.3) การกระจายชองปุยจะเกิดความสม่ําเสมอ
180
เครื่องโรยปุย
เครื่องใสปุยแบบนี้ยังแบงออกไดอีกมี 2 แบบ
1. เครื่องโรยปุยเปนแถว (band fertilizer applicator)
2. เครื่องโรยปุยหนาดิน (full width fertilizer distributor)
เครื่องโรยปุย เปนแถว
เครื่องโรยปุยแบบนี้มีหลักการทํางานคลายกับเครื่องปลูกดวยเมล็ด คือ มีถังใส
ปุย อุปกรณกําหนดจํานวนปุย ทอนําปุย อุปกรณเบิกรอง และลอกลบดิน เครื่องใสปุยแบบ
นี้บางเครื่องติดอยูกับเครื่องปลูกหรือพรวน เพื่อที่จะไดทําการใสปุยไปพรอมกันกับการปลูก
หรือการพรวน อยางไรก็ตาม เครื่องใสปุยที่ดีจะตองใหปุยอยางสม่ําเสมอ ในปริมาณและ
ตําแหนงที่เหมาะสม กลาวคือ ถาใสปุยลงไปใกลกบั เมล็ดพืชก็จะชวยกระตุนการเจริญเติบโต
ของเมล็ดและตนออนไดอยางมีประสิทธิภาพ แตถาชิดเกินไปก็อาจจะทําอันตรายกับราก และ
ทําใหเปอรเซ็นตการงอกลดลงได สวนปุย ที่ใชอาจจะเปนเม็ด หรือผง สวนแบบที่ 2 นั้น เรียกวา
182
เครื่องโรยปุย หนาดิน
เครื่องโรยปุยหนาดินใน (รูปที่ 6.4) เปนแบบทีถ่ ูกลากโดยรถแทรกเตอร จะ
ปรับอัตราการโรยปุยทําไดโดยตรงที่คันโยกปรับชองจายปุย
บทที่ 7 เครื่องเกี่ยวนวดขาว
(Rice combine harvester)
185
บทนํา
ขาวเปนพืชเศรษฐกิจของประเทศไทยทีป่ ลูกกันมานานและนับวันก็จะยิ่งตองเพิ่ม
ผลผลิตใหมากขึ้น เนื่องจากประชากรที่บริโภคขาวเปนอาหารหลักมีจํานวนมากขึ้น ในขณะที่
การขยายตัวทางดานอุตสาหกรรมก็เพิ่มมากขึ้นดวย ทําใหเกิดปญหาขึ้นโดยเฉพาะการเก็บ
เกี่ยว จึงมีการนําเครื่องทุนแรงเขามาใชมากขึ้น เพราะปญหาการขาดแคลนแรงงานและคาจาง
แรงงานที่สูงขึ้น และเนื่องจากขาวเปนพืชอายุสั้นเมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวก็จะตองเก็บเกี่ยวใหทนั
ไมเชนนั้นก็จะทําใหเกิดความเสียหายขึ้นได ประมาณวาการเก็บเกี่ยวและนวดขาวจะมีการ
สูญเสียระหวาง 3-13 เปอรเซ็นต แลวแตวิธีการทีใ่ ชในการเก็บเกี่ยว
การเพิ่มผลผลิตขาวจากพืน้ ที่นาที่มีอยูจํากัดนั้น เกษตรกรสวนใหญจะเลือกวิธปี ลูกขาว
พันธุใหมๆทีใ่ หผลผลิตตอไรสูง หรือการทํานามากกวาหนึ่งครั้งตอป รวมทั้งการนําเอา
เทคโนโลยีใหมๆ เขามาชวย แตยิ่งผลิตมากก็ยิ่งมีปญหาในการเก็บเกี่ยวเนื่องจากเก็บเกี่ยวไม
ทันตามกําหนดเวลาจึงเกิดการสูญเสียขึน้ จึงมีการนําเครื่องมือเก็บเกี่ยวเขามาใชในการชวย
แกปญหาดังกลาว โดยจะตองคํานึงถึงความสามารถในการลดแรงงานลง หรือสามารถลดการ
สูญเสียจากการลวงหลนและการแตกหักลงได โดยเฉพาะอยางยิ่งความสามารถในการเก็บเกี่ยว
ไดอยางมีประสิทธิภาพ และทันตามกําหนดเวลา
การใชเครื่องจักรในการเก็บเกี่ยวขาวจะชวยใหเกษตรกรทํางานไดรวดเร็วขึ้น สามารถ
ทําการเก็บเกีย่ วไดทันทีเมื่อเมล็ดขาวแกเต็มที่ ซึ่งจะชวยลดการรวงหลนของเมล็ดที่แกจัด
นอกจากนี้ เครื่องจักรยังชวยลดตนทุนในการผลิตขาว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีคา จางแรงงานสูง
และไมสามารถหาแรงงานมาชวยในฤดูเก็บเกี่ยวได
เครื่องเกี่ยวนวดขาวที่นิยมใชกันมากในปจจุบันไดผานการพัฒนามาอยางตอเนื่อง
ตั้งแตการเกี่ยวขาวดวยแรงคนจนถึงเครื่องเกี่ยว หลังจากนั้นก็นําตนขาวที่ไดไปนวดเอาเมล็ด
ออกจากรวงขาว ในขณะเดียวกันสิ่งสกปรกที่เจือปนอยูก็จะถูกพัดลมเปาออกไปจนเหลือแต
เมล็ดที่สะอาด
การเกี่ยวขาว
ระยะเวลาเก็บเกี่ยวขาวเปนปจจัยที่สําคัญในการผลิตขาว ระยะเวลาทีเ่ หมาะสม คือ 28-
30 วันหลังวันออกดอก ขาวที่ไดจะมีคุณภาพดี การเก็บเกี่ยวเร็วเกินไปจะทําใหเมล็ดขาวมี
น้ําหนักเบาเพราะการสะสมแปงไมเต็มที่ เมื่อนําไปสีคุณภาพการสีก็ต่ํา นอกจากนั้นเมล็ดยัง
เขียว ออน หักปนงาย แตถาเก็บเกี่ยวชาเกินไป เมล็ดขาวก็จะรวงหลนในนา เพราะขาวแหง
กรอบ นก หนู และแมลงเขาทําลาย คุณภาพการสีไมดี เพราะเมล็ดแตกราว
186
การเกี่ยวขาวโดยใชแรงคน
ในประเทศไทยเกษตรกรในภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง
ใชเคียวในการเกี่ยวขาว โดยเกี่ยวทีละหลายๆ รวง สวนเกษตรกรในภาคใตใชแกระในการเก็บ
เกี่ยวทีละรวง
เคียวที่ใชในการเก็บเกีย่ วมีอยู 2 ชนิด ไดแก เคียวนาสวนและเคียวนาเมือง (รูป
ที่ 7.1) เคียวนาสวนเปนเคียววงกวาง ใชสําหรับเกี่ยวขาวที่ปลูกแบบปกดํา สวนเคียวนาเมือง
เปนเคียววงแคบและมีดามยาวกวาเคียวนาสวน ใชเกี่ยวขาวที่ไมจําเปนตองมีคอรวงยาว เมื่อ
เกี่ยวขาวไดเต็มกําก็จะวางเรียงรวงขาวไวบนตอซัง เพื่อตากแดดใหแหงประมาณ 3-5 วัน สวน
ขาวที่ปลูกแบบหวานนั้น พื้นนาจะแหงในระยะเก็บเกีย่ ว ขาวจึงถูกกองไวบนพืน้ นาประมาณ
5-7 วัน หลังจากนั้น จึงขนมาที่ลานสําหรับนวด สวนการใชแกระเกี่ยวขาวซึง่ มีลักษณะเปน
ใบมีดเล็กๆมีที่จับที่ถูกออกแบบมาใหจับไดถนัดเวลาเกี่ยวขาว ขาวทีเ่ กี่ยวจะตองเปนขาวทีม่ ี
คอรวงยาว เพราะเกษตรกรจะเกี่ยวทีละรวง แลวมัดเปนกําๆ นําไปแขวนตากไวในบานหรือ
เก็บไวในยุงฉางซึ่งโปรง มีอากาศถายเทไดสะดวก เมื่อตองการขายหรือสีเปนขาวสารจึงจะ
นําไปนวด
การเกี่ยวขาวโดยใชเครื่องเกี่ยว
การเกี่ยวขาวนาปแตเดิมนั้นสวนใหญมักจะไมมีปญหาการขาดแคลนแรงงาน และ
ปญหาการสูญเสียเนื่องจากความชื้นสูง เพราะเปนการเก็บเกี่ยวนอกฤดูฝน แตพื้นที่ในเขตภาค
กลางหรือเขตพื้นที่ชลประทาน ซึ่งสามารถทํานาครั้งที่ 2 หรือทํานาปรัง มักจะมีปญหาเรื่องขาด
แคลนแรงงานเกิดขึ้นเสมอ ดังนั้นจึงมีการนําเอาเครื่องจักรกลการเกษตรมาใชทุนแรงโดยเฉพาะ
เครื่องเกี่ยวขาว
187
เครื่องเกี่ยววางราย
การเกี่ยววางรายกอนทําการนวดเปนที่นิยมกระทํากันในบางทองที่ เครื่อง
เกี่ยววางราย (รูปที่ 7.2) เปนเครื่องมือเก็บเกี่ยวที่ทําหนาที่ตัดตนขาวใหขาดแลวลําเลียงขาวที่
ตัดแลวไปวางไวทางดานขางเปนแถวยาว อยูบนตอซังซึ่งถูกตัดเหนือพื้นดินพอประมาณ เพื่อ
ปลอยใหอากาศไหลเวียนไดสะดวก และชวยลดความชื้นของเมล็ดขาวใหเร็วขึน้ แตก็มีขอเสีย
ที่จะทําใหเกษตรกรเสียเวลาในการรวบรวมและมัดฟอนขาวทีเ่ กี่ยวแลว เครื่องเกี่ยววางรายสวน
ใหญจะเปนแบบเดินตามและใชคนบังคับทิศทางในการทํางาน มีทั้งแบบติดเครื่องยนตเฉพาะ
และแบบตอกับเครื่องของรถไถเดินตาม แตแบบติดเครื่องยนตเฉพาะเปนทีน่ ิยมใชมากกวา
เพราะมีน้ําหนักเบา และควบคุมไดงายในสภาพพื้นที่นา โดยมีความกวางในการทํางาน
ประมาณ 1.2 – 1.6 เมตร สามารถทํางานไดประมาณ 1-3 ไรตอชั่วโมง ขึ้นอยูกับความเร็วใน
การทํางานและสภาพของขาวที่ทําการเกีย่ ว โดยทั่วไปจะทําการเกี่ยวขาวที่มีความสูงระหวาง
60-120 ซม. โดยตนขาวควรตั้งตรงหรือเอียงไปจากแนวตั้งไมเกิน 30 องศา สามารถทํางานได
ทั้งในนาที่แหงและนาที่มีนา้ํ ขัง ถาเก็บเกี่ยวขาวเมื่อขาวมีความชืน้ ระหวาง 20-25 เปอรเซ็นต
จะมีการสูญเสียเมล็ดขาวประมาณ 1 เปอรเซ็นต แตถาปลอยใหขา วแหงเกินไปจนลําตนเอียง
หรือลมมากจะทําใหการสูญเสียเพิ่มขึ้นถึง 10 เปอรเซ็นต
เครื่องเกี่ยววางรายโดยทั่วไปจะประกอบดวยสวนสําคัญ ดังนี้
1. อุปกรณแบงแถวพืชและยกตนขาว (divider and pickup device) มีลักษณะ
เปนแผนเหล็กรูปสามเหลีย่ ม โดยมีปลายแหลมอยูดานหนาแลวเอียงขึ้นไปขางหลัง เพื่อทํา
หนาที่แบงขาวในแปลงใหเปนสวนๆ แลวยกขาวใหตั้งขึ้นและรวมเขาไปหาใบมีดตัด โดยมีลอ
188
เฟองที่มีลักษณะเปนรูปดาวทําหนาที่โนมตนขาวเขาไปใหใบมีดทําการตัดแลวสงตอไปใหโซ
ลําเลียง ลอเฟองจะถูกขับโดยซี่ฟนเหล็กที่ติดอยูกับโซลําเลียง
2. อุปกรณในการตัด (cutting device) ประกอบดวยใบมีดแบบเคลื่อนที่ไปมา
ซึ่งจะทําหนาที่ตัดสวนโคนของตนขาวทีร่ วมสงมาใหโดยลอดาว
3. อุปกรณลําเลียง (conveying device) ทําหนาที่ลําเลียงขาวทีต่ ัดแลวใหเคลื่อน
ไปดานขางแลวปลอยวางกองเอาไวเปนแถว อุปกรณในการลําเลียงจะประกอบดวย โซ หรือ
สายพานลําเลียงสองชุด ดานบนหนึ่งชุดและดานลางหนึ่งชุด มีซี่เหล็กติดอยูทําหนาที่จับตน
ขาวใหเคลื่อนไปตามโซหรือสายพาน นอกจากนั้น ยังมีลวดสปริงดานหนาชุดลําเลียงทําหนาที่
ประคองตนขาวที่ถูกตัดแลวไมใหลมในขณะที่ลําเลียงไปทางดานขาง
เครื่องเกี่ยววางรายจะทําการเก็บเกีย่ วขาวแลวลําเลียงออกไปวางกองไวเปนแถว
ทางดานขวาของเครื่อง ดังนั้น ในการทํางานจึงตองทํางานวนซายไปเรื่อยๆ โดยสามารถปรับ
ใหตัดขาวไดสงู ตั้งแต 8 - 40 เซนติเมตร แลวตากขาวเอาไวในพื้นทีใ่ หความชื้นลดลงจน
เหมาะสมกับการนวดแลวจึงจะนําไปทําการนวดตอไป
แนวทางในการใชเครื่องเกี่ยววางรายใหมีประสิทธิภาพในการทํางานสูงขึ้นมีดังนี้
1. เครื่องเกี่ยววางรายเหมาะกับสภาพพื้นดินที่แหง
2. ตนขาวควรเปนตนขาวตั้งตรง หรือลมไมเกิน 45 องศา พันธุขาวที่เหมาะสม
ควรเปนเชนพันธุ กข. หรือพันธุพื้นเมือง แตตนจะตองตั้งตรง เนื่องจากเครื่องเกี่ยวไมสามารถ
เกี่ยวขาวลมได
3. เตรียมเครื่องเกี่ยววางรายใหมีความสูงเหมาะกับสภาพงานและผูขบั
4. ตรวจสอบและปรับตั้งจุดตาง ๆ ของเครื่องเกี่ยวขาววางรายใหถูกตอง
5. เกี่ยวขาวใหเหมาะสมกับอายุ มิฉะนั้นเมล็ดอาจตกหลนเสียหายมากเกินไป
6. เครื่องเกี่ยววางรายจะชนกับหัวแปลงเสียหายไดงาย ดังนั้น ควรระมัดระวัง และ
ใชความเร็วต่าํ โดยเฉพาะกับพื้นที่เกี่ยวแปลงเล็ก ๆ
7. ในชวงเวลาเก็บเกี่ยว แปลงที่จะเก็บเกีย่ วควรจะเรียบและแหง ในกรณีที่
สามารถระบายน้ําไดดี ควรระบายน้ําออกลวงหนาประมาณ 10-15 วัน กอนการเก็บเกี่ยวเพื่อให
พื้นแปลงแหง ทําใหการบังคับเครื่องเกี่ยวและการเก็บขาวงายขึ้น
8. รอบบริเวณแปลงเก็บเกีย่ ว ควรเกี่ยวดวยเคียวใหหางจากขอบแปลงประมาณ
75 ซม. เพื่อชวยการวางรายของรวงขาวเปนระเบียบ และจะชวยในการหอบขาวงายขึ้น และจะ
ลดการตกหลนของรวงขาว
9. การใชเครื่องเกี่ยวขาวขณะความชื้นของเมล็ดขาวประมาณ 20-25% ขาวจะรวง
หลนนอย
10. บริเวณหัวมุมแปลง ควรเกีย่ วดวยเคียวประมาณ 3 × 3 ม. เพื่อชวยในการเลี้ยว
บริเวณหัวงานไดสะดวกขึน้ ทําใหประสิทธิภาพการทํางานของเครื่องเกี่ยวสูงขึ้น เพราะไมตอง
กลับรถหลายครั้ง
189
เครื่องเกี่ยวมัดฟอน
เครื่องเกี่ยวมัดฟอน (รูปที่ 7.3) เปนเครื่องเกี่ยวขาวอีกชนิดหนึ่งที่ตัดตนขาว
แลวรวมเปนกํา มัดใหเปนฟอนขนาดเสนผาศูนยกลางประมาณ 10 เซนติเมตร ดวยเชือกโดย
อัตโนมัติ หลังจากมัดแลวใบมีดจะตัดเชือกออกและทิ้งฟอนขาวใหวางเรียงบนดิน เครื่องเกี่ยว
มัดฟอนมีทั้งแบบตัดแถวเดียวและแบบตัดสองแถว มีความกวางในการทํางาน 30-60
เซนติเมตร ตนขาวจะถูกตัดเกือบชิดดินจึงทําใหตน ขาวทีต่ ัดไดมีขนาดยาว เปนอุปสรรคกับการ
นวด เพราะมีฟางมากเกินไป เครื่องเกี่ยวมัดฟอนสามารถเกี่ยวขาวที่ลมลง 85 องศาได โดยที่
แบบตัดสองแถวมีความสามารถในการทํางาน 0.5 – 1 ไรตอชั่วโมง ขึ้นอยูกับความเร็วในการ
ทํางานและสภาพของตนขาวที่ทําการเก็บเกี่ยว โดยปกติตนขาวทีเ่ กี่ยวจะมีความสูง 55 -120
เซนติเมตร จากการศึกษาประสิทธิภาพในการทํางานจะมีการสูญเสียในการเก็บเกี่ยวประมาณ
3.9 เปอรเซ็นต เครื่องเกี่ยวมัดฟอนมีสวนประกอบหลักดังนี้
การนวดขาว
การนวดขาว หมายถึง การทําใหเมล็ดขาวหลุดออกจากรวงขาวแลวทําความสะอาด
เพื่อเอาสวนของเศษฟางและเมล็ดขาวลีบออก โดยสามารถทําได 3 วิธี คือ การถู (rubbing)
การตี (impact) และการปลิด (stripping) การนวดโดยใชเครื่องนั้นนิยมใชสองวิธีหลังมากกวาใน
การนวดเอาเมล็ดออกจากฟาง
191
ตะแกรงโยกและพัดลมจะทําความสะอาดคัดแยกเศษพืชและฝุนละอองที่เปน
สิ่งเจือปนออกจากเมล็ด
เกลียวลําเลียงเมล็ดชุดที่อยูใตตะแกรงคัดจะทําหนาที่ลําเลียงเมล็ดที่นวดแยกทําความ
สะอาดแลวออกไปสูกระสอบหรือรถบรรทุกที่เตรียมไว สวนเกลียวลําเลียงเมล็ดชุดที่อยูตอน
หนาของตะแกรงคัดจะลําเลียงเมล็ดปนเศษพืชหรือสิ่งเจือปนอื่นๆปอนกลับเขาเครื่อง เพื่อทํา
การแยกเมล็ดออกจากเศษพืชอีกครั้งหนึ่ง
194
วิธี อัตราการนวด
ใชคน 0.06 ตัน/ชม./คน
ใชสัตว 0.17 ตัน/ชม./ควาย 2 ตัว
รถไถ 2 ลอ 2 ตัน/ชม./เครื่อง
รถแทรกเตอรใหญ 5 ตัน/ชม./เครื่อง
เครื่องนวดขาว 1-3 ตัน/ชม./เครื่อง
การทําความสะอาด
เมล็ดที่ทําการนวดเรียบรอยแลวยังมีเศษฟาง ใบขาว เศษวัชพืช และอื่นๆ ปะปนอยู
โดยเฉพาะการนวดในลานดินซึ่งมักจะมีเศษดินปะปนมา ดังนั้นจึงตองมีการทําความสะอาดกอน
196
นําเขาเก็บไวในยุงฉางตอไป การทําความสะอาดเมล็ดนั้นมีอยูหลายวิธี
1. สาดขาว เกษตรกรจะใชพลั่วไมสาดขาวในกองขึ้นไปใหลมพัดเอาเศษฟาง ขาวลีบ
และใบขาวปลิวออกไปจากกองขาว วิธีการนี้จะตองอาศัยลมชวย วัตถุที่มีน้ําหนัก เชนกอนดิน
จะไมปลิวออกไปแตจะตกลงมารวมกับกองขาวอีก ในกรณีที่ไมมีลมชวยอาจจะใชพัดขนาดใหญ
โบกไปมา เพื่อใหสิ่งที่เบาๆ ปลิวออกไปเชนขาวลีบ เศษฟาง ฯลฯ
2. ถาขาวมีจํานวนนอยๆ เกษตรกรจะใชกระดงฝดขาว
3. โดยใชเครื่องสีฝด (รูปที่ 7.8) ซึ่งเปนเครื่องมือทุนแรงเหมาะสําหรับเวลาไมมีลมพัด
โดยอาจจะใชแรงคนหรือแรงเครื่องยนตหมุนก็ได เครื่องสีฝดจะแยกเมล็ดขาวที่ไมมีเนื้อหรือลีบ
ออกจากเมล็ดขาวดี ๆ โดยมีลักษณะเปนกลอง มีขา 4 ขา ดานหนึ่งกลมมน อีกดานหนึ่งโปรง
ดานบนมีกระบะรับขาวสําหรับใสขาวเปลือก เพื่อใหไหลลงสูตะแกรงเหล็กหางๆ ดานหนามี
ใบพัด เมื่อหมุนดวยมือหรือเครื่อง จะพัดลมออกไปทางดานหลัง เมล็ดที่ลบี จะปลิวออกไป
ภายนอก สวนขาวที่มีน้ําหนักดีจะตกลงไปยังรางที่รองอยูดานลาง แลวไหลลงไปดานหนาของ
เครื่องสีฝด
เครื่องเกีย่ วนวดขาว
เครื่องเกี่ยวนวดขาว (rice combine harvester) คือเครื่องจักรกลที่สามารถใช
ปฏิบัติงานในการเกี่ยวตัด รวบรวมลําเลียงตนขาวที่ตัดแลวไปทําการนวด และแยกทําความ
สะอาดอยางตอเนื่อง แลวลําเลียงขาวเปลือกที่คัดทําความสะอาดไปเก็บในกระสอบซึ่งอาจจะ
ตองใชคนคอยรองรับ หรือเปนแบบที่มีระบบลําเลียงเขาสูถังเก็บซึ่งอยูภายในเครื่องเดียวกัน
แลวลําเลียงออกใสรถบรรทุกเมื่อถังเต็มก็ได อันเปนการลดขั้นตอนการทํางานในการเกี่ยวขาวที่
ตองขนยายขาวไปนวดและทําความสะอาด ซึ่งอาจจะมีการสูญเสียเกิดขึ้น นอกจากนั้นยังเปน
การทดแทนการขาดแคลนแรงงานในฤดูเก็บเกี่ยวไดดวย เครื่องเกี่ยวนวดขาวมีหลักการและ
ขั้นตอนการทํางานเปนขั้น ๆ ตามลําดับดังนี้
197
1. การเคลื่อนที่เพื่อเกี่ยวปอนตนขาวเขาสูระบบตัด
2. การตัดตนขาว
3. การรวบรวมลําเลียงตนขาวที่ตัดแลวเขาสูระบบนวด
4. การนวดแยกเมล็ดขาวออกจากฟาง
5. คัดแยกทําความสะอาดขาวเปลือกจากเศษฟางและฝุน ละออง
6. ลําเลียงขาวเปลือกที่คัดทําความสะอาดแลว ไปเก็บในภาชนะ
เครื่องเกี่ยวนวดขาวของประเทศตะวันตก
เครื่องเกี่ยวนวดขาวของประเทศตะวันตก (รูปที่ 7.10) ประกอบดวยกลไกตางดังนี้
1. สวนที่ทําหนาที่ตัดหรือสวนหนา (cutting unit or header) สวนนีจ้ ะทําหนาที่
ตัดหรือเกี่ยวตนขาวที่ยืนตน และปลอยตนขาวที่ถูกเกี่ยวแลวใหกบั กลไกการลําเลียง
สวนประกอบหลักของสวนที่ทําหนาที่ตัดประกอบดวย ลอโนม (reel) และใบมีด (cutter bar)
ลอโนมเปนสวนแรกที่สัมผัสกับตนขาวทีย่ นื ตนอยู ลอโนมมี 2 แบบ คือ ลอโนมแบบแผน (fix
bat reel) ใชสําหรับพืชทีล่ าํ ตนตั้งตรง และลอโนมสําหรับพืชลม (pick up reel) ถาไดทําการ
ปรับตั้งทีเ่ หมาะสม ลอโนมจะทําการโนมตนขาวไวในขณะที่โคนตนขาวกําลังถูกตัดแลวผลักตน
ขาวทีถ่ ูกเขาไปสูสวนทีท่ ําหนาที่ลําเลียง ลอโนมนั้นสามารถที่จะทําการปรับตั้งใหขึ้นหรือลง
และเลื่อนไปขางหนาหรือขางหลังได สวนมุมของลอโนมที่ยื่นไปโนมตนขาว และความเร็วรอบ
ที่หมุนก็สามารถเปลี่ยนแปลงได ลอโนมจะทําใหตนขาวที่ลมพับ หรือที่พันกันอยูใหตั้งตรง
เพื่อใหมีดตัดทําการตัดไดสะดวก สวนกําลังที่ใชขับลอโนม อาจจะมาจากเครื่องยนตตนกําลัง
หรือการเคลื่อนที่ของเครื่องเกี่ยวนวดก็ได
เครื่องเกี่ยวนวดขาวของญี่ปุน
เครื่องเกี่ยวนวดขาวของญี่ปุน (รูปที่ 7.11) ประกอบดวยสวนตางๆ ดังนี้
1. สวนที่ทําหนาที่ขับเคลื่อน (locomotion unit) สวนที่ทําหนาที่ขบั
200
เครื่องเกี่ยวนวดที่พัฒนาในประเทศไทย
ในสภาวะการขาดแคลนแรงงาน และคาจางเก็บเกี่ยวที่สูงขึ้นทําใหเริ่มมีการนําเครื่อง
เกี่ยวนวดมาใชในประเทศไทย แตเนื่องจากเครื่องเกี่ยวนวดที่นํามาจากตางประเทศ มี
ประสิทธิภาพต่ําเมื่อนํามาใชในสภาพพื้นที่ของประเทศไทย ซึ่งเปนพืน้ ที่มีน้ําขัง อีกทั้งเครื่องที่
นําเขามีราคาแพง จึงเริ่มมีการพัฒนาเครื่องเกี่ยวนวดขึ้นในประเทศไทย ประมาณป พ.ศ. 2530
204
โดยโรงงานผลิตเครื่องจักรกลเกษตรไดทําการลอกเลียนแบบเครื่องเกี่ยวนวดจากประเทศ
ตะวันตก โดยเฉพาะหัวเกีย่ วและระบบลําเลียงเขามาผสมผสานกับระบบเครื่องนวดขาวที่มีใช
กันอยางแพรหลายกลายเปนเครื่องเกี่ยวนวดแบบไทยขึ้น เครื่องเกี่ยวนวดขาวรุนแรกๆ ที่
ประดิษฐมีประสิทธิภาพการทํางานต่ํา และเมล็ดเสียหายมาก
เครื่องเกี่ยวนวดขาวที่พัฒนาในประเทศไทยเปนแบบเกี่ยวนวดขาวทั้งตน ตอมาไดมีการ
ปรับปรุงระบบการทํางานเพิ่มขึ้น เชน ระบบขับเคลื่อนจากระบบเกียรธรรมดาเปนระบบ
ขับเคลื่อนแบบอัตโนมัติ ปจจุบันโครงสรางของเครื่องเกี่ยวนวดทีผ่ ลิตในประเทศไทย สามารถ
แบงออกไดเปน 5 ระบบ ไดแก
1. เครื่องตนกําลัง (prime mover)
เปนระบบที่ถูกสรางขึ้นโดยพื้นฐานความคิดที่วา การเกษตรเปนงานที่ตองใชความ
หนักหนวง อดทน ทนทาน ดังนั้น เครื่องแบบนี้จึงไดถกู พัฒนาใหเปน เครื่องจักรกลการเกษตรที่
ทํางานหนัก สามารถปฏิบตั ิงานไดตอเนือ่ งระยะเวลานาน คุณสมบัติที่ทนตอสภาพการทํางาน
หนักมักจะพัฒนาใหเปนเครื่องยนตดีเซลเปนตนกําลัง ซึ่งประยุกตนาํ เอาเครื่องยนตที่ผานการใช
งานมาแลวมาพัฒนาใหม แตเครื่องยนตตอ งมีสภาพที่ดีประมาณ 70-80% และมีกําลังของ
แรงมาอยูที่ประมาณ 100-200 แรงมา โดยมีการเพิ่มอุปกรณปรับความเร็วเพื่อควบคุมอัตราการ
เรงของเครื่องยนตและปจจุบันนี้มีโรงงานไดสั่งเครื่องใหมจากตางประเทศมาติดตัง้ ดวย
2. ระบบเครื่องลาง (under carriage)
ระบบเครื่องลาง ไดถูกออกแบบใหระบบเครื่องยนตของเครื่องเกี่ยวนวดขาวอยูต่ําลง
ไปจนถึงสัมผัสดิน ซึ่งถูกออกใหมีลักษณะเหมือนเครื่องลางของ รถตีนตะขาบ โดยจะมี
สวนประกอบสําคัญ ดังนี้
ก) สายพานตีนตะขาบ มีลกั ษณะเปนวงโซซึ่งประกอบดวยขอโซสองแถวเปน
คูๆ รอยตอกันดวยปลอก (bush ) และสลัก สามารถมวนตัวไดเปนคูๆ และบนขอโซแตละคูจะมี
แผนตีนตะขาบยึดติดกันอยู ขอโซที่ใชกันสวนใหญจะทําจากเหล็กเหนียว เชื่อมตอกันดวยปลอก
และสลัก สวนมากโรงงานที่ผลิตเครื่องเกี่ยวนวดจะทําการผลิตขึ้นเอง แผนตีนตะขาบทําหนาที่
รองรับน้ําหนักทั้งหมดของเครื่องเกี่ยวนวดและดันใหเครื่องเกี่ยวนวดเคลื่อนที่ไป ตลอดจนทําให
เครื่องเกี่ยวนวดลอยตัวไมจม แผนตีนตะขาบ ทีใ่ ชโดยทั่วไปทําดวยแผนไม ขนาดหนากวาง
ประมาณ 80 ซม. ความยาวของหนาสัมผัสประมาณ 250 เซนติเมตร ซึ่งทําใหเครื่องเกี่ยวนวด
ทํางานไดดีมีประสิทธิภาพสูงในสภาพดินออน ขอเสียของตีนตะขาบไม จะแตกหักไดงายขณะที่
ขับเครื่องเกี่ยวนวดขามคันนาหรือขับขึ้นรถบรรทุกในขณะขนยายไปยังที่อื่น
ข) ลอเฟอง มีลักษณะเปนลอมีฟนโดยรอบ ทําหนาที่รบั แรงขับจากชุดเฟองทาย
ถายทอดกําลังใหกับสายพานตีนตะขาบ ซึ่งจะหมุนงัดพาใหปลอกของสายพานตีนตะขาบขยับ
เคลื่อนที่ไป ทําใหสายพานตีนตะขาบเคลื่อนที่ และแผนตีนตะขาบซึง่ กดอยูบนพื้นก็จะทําใหตวั
รถเคลื่อนที่ไปบนราง
205
ขอจํากัดในเรื่องตําแหนงที่ติดตั้งของแหลงตนกําลัง เพราะไมมีการตอเพลาตรงหรือใชหองเกียร
สําหรับทดกําลังโดยตรงจากตนกําลังมาขับเคลื่อนอุปกรณ หากแตใชสายน้ํามันซึ่งสามารถเลีย้ ว
หักหลบและดัดใหคดเคี้ยวได
เสียเวลาเปนชั่วโมงในตอนเชาสําหรับการหยอดน้ํามันหรือการบริการอื่นๆ กอนที่จะนําออกไป
ใชงาน ถาหากวาเครื่องเกีย่ วนวดนั้นมีเครื่องยนตขับเคลื่อนดวยตัวเอง ก็ควรจะมีการ
บํารุงรักษาเชนเดียวกับเครือ่ งยนตของรถแทรกเตอร แตมีจุดที่ตองการความเอาใจใสทุกๆ วัน
คือหมอกรองอากาศและหมอน้ํา เนื่องจากเครื่องเกี่ยวนวดทํางานในที่มีฝุนละอองมาก ดังนั้น
ผูใชควรจะแนใจวาไมมีอะไรมาอุดตัน
ทุกๆ เชากอนที่จะนําเครื่องเกี่ยวนวดออกไปทํางาน ผูใชควรจะปฏิบัติดังนี้
1. ดึงเศษฟางหรือเศษหญาที่อาจติดอยูตามมูเล และซี่เฟอง หรือที่อื่นๆ ออก
2. ดึงเศษฟางหรือเศษหญาที่อาจจะติดหรือสะสมอยูภายในเครื่องเกี่ยวนวดออก
เชน ที่ตะแกรงรอน และที่ฟนโยก
3. ทําความสะอาดถาดรับเมล็ดและตะแกรงรอน
4. ทําความสะอาดสวนลางของตะแกรงโยกสงฟาง เพราะถาอากาศชื้นจะเปนที่
สะสมของเศษระแง (awn) ซึ่งจะทําใหอุดตันได
5. ทําความสะอาดลูกนวด
6. ทําความสะอาดฟนลูกนวดเปนประจํา เพราะสิ่งสกปรกที่ติดอยูกับลูกนวดจะ
ทําใหลูกนวดไมสมดุล เมื่อหมุนจะเกิดการสั่น
7. ตรวจสอบและปรับแตงชุดใบมีดเปนประจํา ถาใบมีดหักหรือบิ่นควรจะ
ซอมแซมหรือเปลี่ยนใหม
8. ตรวจสอบความตึงของโซและสายพาน
9. หยอดน้ํามันเครื่องและอัดน้ํามันจารบีทุกๆ จุดที่ระบุไวในหนังสือคูมือของ
เครื่องเกี่ยวนวด
10. บํารุงรักษาเครื่องยนตและระบบเกียร
ในระหวางการทํางานผูใชเครื่องเกี่ยวนวดควรจะมีการปรับดวย เนือ่ งจากสภาพของ
พื้นที่แตกตางกัน ชิ้นสวนที่มีการปรับแตงมากไดแกลูกนวด ตะแกรงนวด และลมเปา
ขาวเปนสินคาออกที่สําคัญของไทย เนื่องจากประชากรสวนใหญมีอาชีพทํานา ซึ่งในป
2550 สํานักงานเศรษฐกิจการเกษตรประเทศไทยมีพื้นที่ปลูกขาวรวม 67,677 พันไร ไดผลผลิต
30.3 ลานตัน คิดเปนมูลคา 201,338 ลานบาท แตสํานักวิจัยและพัฒนาวิทยาการหลังการเก็บ
เกี่ยวและแปรรูปผลิตผลเกษตรไดประเมินความสูญเสียผลผลิตขาวหลังการเก็บเกี่ยว พบวามี
ประมาณ 30% จากปริมาณขาวที่ผลิตได เทากับ 30.3 ลานตัน จะมีปริมาณขาวที่สูญเสีย
เทากับ 9.2 ลานตัน คิดเปนมูลคา 61,152.4 ลานบาท จะเห็นวาผลผลิตขาวที่สูญเสียนั้นมีมูลคา
มหาศาล ดังนั้นการจัดการขาวหลังการเก็บเกี่ยวที่ถูกตองจึงเปนเรื่องสําคัญและจําเปนอยางยิ่ง
ทั้งนี้นอกจากจะลดการสูญเสียที่จะเกิดขึน้ โดยตรงกับผลผลิตขาวในขั้นตอนสุดทายของ
กระบวนการผลิตแลว ยังลดความสูญเสียทรัพยากรตางๆ ที่ใชในการผลิตขาวอันไดแก
ทรัพยากรดินและน้ํา รวมถึงแรงงานคน เกษตรกรจึงควรตระหนักถึงการจัดการหลังการเก็บ
เกี่ยวขาวทีถ่ ูกตองซึ่งเริ่มตั้งแต การเก็บเกี่ยว การนวด การลดความชื้น และการเก็บ
210
การเก็บเกี่ยวขาวตองทําในระยะเวลาและความชื้นทีเ่ หมาะสมเนื่องจากสงผลตอปริมาณ
การสูญเสียและคุณภาพเมล็ดขาว เกษตรกรสามารถเก็บเกี่ยวขาวไดหลายวิธีดว ยกัน หากเก็บ
เกี่ยวขาวดวยเครื่องเกี่ยวนวด ควรเก็บเกี่ยวที่ระยะ 25 - 30 วันหลังออกดอก หรือที่ความชื้น
เมล็ดประมาณ 23 % สวนการเก็บเกี่ยวดวยแรงงานคนโดยใชเคียวเกี่ยว ควรเก็บเกี่ยวที่ระยะ
30 วันหลังออกดอก เพราะการเก็บเกี่ยวเร็วหรือลาชากวาระยะที่กําหนด จะสงผลตอปริมาณ
การสูญเสียผลผลิตขาว สวนการเก็บเกี่ยวดวยเครื่องเกี่ยวแบบวางราย จะกระทําที่ระยะการ
เกี่ยวขาวโดยใชเครื่องเกี่ยวนวดขาว เดียวกับการเก็บเกี่ยวดวยแรงงานคน
212
บทที่ 8 การจัดการเครื่องจักรกลการเกษตร
(Farm Machinery Management)
213
กอนที่จะซื้อเครื่องจักรกลการเกษตรมาใช เกษตรกรจําเปนที่จะตองตัดสินใจวา
เครื่องจักรกลการเกษตรชนิดไหน ขนาดเทาไร จึงจะเหมาะสมกับรถแทรกเตอร และใชงานใน
ไรไดอยางมีประสิทธิภาพมากที่สุด
เครื่องจักรกลการเกษตรมีใหเลือกใชหลายขนาด เกษตรกรอาจจะซื้อ จาง หรือ เชา
มาทํางานได ขนาดของเครือ่ งจักรกลการเกษตรเหลานีเ้ รียกเปนกําลังมา เปนความกวาง ฯลฯ
แตโดยแทจริงแลว การเลือกขนาดของเครื่องจักรกลการเกษตรควรจะขึ้นอยูกับความสามารถ
ในการทํางานของเครื่องมือนั้นมากกวา
การจัดการเครื่องจักรกลการเกษตร (farm machinery management) คือการประมาณ
ความสามารถในการทํางานเชิงพื้นที่ (effective field capacity) ของเครื่องจักรกลการเกษตร ซึ่ง
ใชทํางานเฉพาะอยาง
ความสามารถของเครื่องจักรกลการเกษตร
ความสามารถในการทํางานของเครื่องจักรกลการเกษตร (capacity of farm machinery)
คืออัตราที่เครือ่ งจักรกลการเกษตรชนิดนัน้ ทํางานได โดยมีปจจัยตางๆ ที่เกี่ยวของคือ ความ
กวางของพื้นที่ ความเร็วของการทํางาน ซึ่งรวมทั้งเวลาทีส่ ูญเสียไปในการเลีย้ วกลับ การ
ซอมแซม หรือการหยุดเติมน้ํามันเชื้อเพลิง
ความสามารถในการทํางานของเครื่องจักรกลการเกษตรแบงออกเปน 2 ชนิด คือ
ความสามารถในการทํางานเชิงพื้นที่ (effective field capacity) และความสามารถในการทํางาน
เชิงทฤษฎี (theoretical field capacity) ความสามารถในการทํางานเชิงพื้นที่ เปนอัตราการ
ทํางานที่แทจริง ภายในระยะเวลาที่กําหนดให สวนความสามารถในการทํางานเชิงทฤษฎี คือ
อัตราการทํางานเมื่อเครื่องมือนั้นทํางานไดอยางสมบูรณ (100%) โดยใชความเร็วไดตามที่
กําหนด และใชความกวางของเครื่องมือไดเต็มที่
ความสามารถในการทํางานเชิงทฤษฎี
ความสามารถในการทํางานของเครื่องจักรกลการเกษตรเชิงทฤษฎี คืออัตรา (ไร/ชั่วโมง
หรือเฮกตาร/ชั่วโมง) ที่เครือ่ งมือเหลานั้นทํางาน โดยไมมีการเสียเวลาไปกับการเลี้ยวกลับ การ
หยุดเครื่อง เครื่องเสีย ความสามารถในการทํางานดังกลาว กําหนดขึน้ จากความกวางของ
เครื่องจักรกลการเกษตร (W) ความเร็วขณะทํางาน (S) สมการที่ใชในการหาความสามารถใน
การทํางานเชิงทฤษฎี (TFC) คือ
เวลาทํางานที่ไดผล
เวลาทํางานทีไ่ ดผล (effective operating time) คือเวลาที่เครื่องมือทุนแรงทํางานได
จริงๆ โดยไมรวมถึงเวลาทีส่ ูญเสียไปเนื่องจากสาเหตุอื่น เวลาที่สูญเสียไปมีสามเหตุมาจาก
1. เวลาที่เลี้ยวกลับหรือที่เครื่องหมุนเปลาๆ โดยไมไดงาน การเลี้ยวกลับที่มุมเปน
การเสียเวลาที่สําคัญ การขับขามทายไรหรือบริเวณหัวงานก็เปนการสูญเสียเวลาที่หลีกเลี่ยง
ไมได (เวลาทีเ่ ครื่องหมุนเปลาๆ) โดยเฉพาะเมื่อขับขามไรที่มีขนาดสั้น และทายไรกวาง
2. การหยุดรับหรือสงสิ่งของตางๆ ดังตอไปนี้
2.1 ผลผลิตที่เก็บเกี่ยว
2.2 เมล็ด
2.3 ปุย
2.4 สารเคมี
2.5 น้ํา
3. การหยุดทําความสะอาดเครื่องมือที่อุดตัน
4. การหยุดเติมน้ํามันเชื้อเพลิงและน้ํามันหลอลื่น (นอกเหนือจากการบํารุงรักษา
ประจําวัน นอกไร)
5. การหยุดรอเครื่องมืออื่น หรือบุคคลอื่น
6. มีสิ่งขัดจังหวะอื่นๆ เชนแขกมาเยี่ยม เครื่องเสีย ฯลฯ
สําหรับการซอมแซมใหญ การบํารุงรักษาประจําวัน และการเดินทางเขาไปทํางานใน
ไรหรือเดินทางกลับ ไมถือวาเปนเวลาทีส่ ูญเสียไป
ความสามารถในการทํางานเชิงพื้นที่
ความสามารถในการทํางานเชิงพื้นที่ของเครื่องจักรกลการเกษตรขึ้นอยูกับเปอรเซ็นต
ความกวางของเครื่องมือที่ทํางานไดจริงๆ รวมทั้งความเร็วและเวลาทีส่ ูญเสียระหวางการ
ทํางาน เครื่องมือบางชนิด เชน คราด พรวน เครื่องตัดหญา หรือเครื่องเก็บเกี่ยวไม
สามารถทํางานไดตามความกวางทั้งหมด เพราะมีโอกาสที่จะลื่นไถล สวนความเร็วที่ใชก็ควร
จะสัมพันธกับสภาพของพื้นที่และกําลังทีม่ ีอยู ความเร็วที่เหมาะสมหรับการทํางานของ
เครื่องจักรกลการเกษตร แสดงไวในตารางที่ 8.1 สมการที่ใชหาความสามารถในการทํางานเชิง
พื้นที่ (EFC) คือ
EFC (เอเคอร/ชม.) = S (ไมล/ชม.) x W (ฟุต) x FE (จุดทศนิยม) ÷ 8.25
EFC (เฮกตาร/ชม.) = S (กม. /ชม.) X W (ฟุต) x FE (จุดทศนิยม) ÷ 10
215
ประสิทธิภาพการทํางานในพื้นที่ของเครื่องจักรกลการเกษตร
ประสิทธิภาพการทํางานในพื้นที่ของเครือ่ งจักรกลการเกษตร (field efficiency หรือ FE)
คือความสามารถในการทํางานเชิงพื้นที่หารดวยความสามารถในการทํางานเชิงทฤษฎี คูณดวย
100 มีหนวยเปนเปอรเซ็นต
ประสิทธิภาพการทํางานในพื้นที่ของเครือ่ งจักรกลการเกษตรต่ํากวา 100 % เสมอ และ
ประสิทธิภาพการทํางานในพื้นที่ของเครือ่ งจักรกลการเกษตรชนิดเดียวกันมีคาไมคงที่ แตจะ
ขึ้นอยูกับรูปรางและขนาดของไร รูปแบบการทํางาน (driving pattern of field operation)
ผลผลิตและความชื้นของพืช
การสรางเครื่องจักรกลการเกษตรปจจุบันนี้ มีความสลับซับซอนและราคาแพง
เพราะฉะนั้น จึงควรจะใชเครื่องจักรกลการเกษตรใหไดประโยชนมากที่สุด การเพิ่มความสา
มากรถในการทํางานวิธีหนึง่ ก็คือ พยายามลดเวลาที่สญ ู เสียไปในไรใหเหลือนอยที่สุด
การศึกษาเรื่องเวลาทีส่ ูญเสียไป ทําใหการจัดการเครื่องจักรกลการเกษตรดีขึ้น การเลี้ยวกลับ
บอยๆ อาจจะแกไขไดโดยการปรับปรุงความกวางของหัวงาน (headland) หรือแกไขรูปแบบ
ของการเลี้ยวกลับ (turning pattern) เสียใหม สวนการรับและสงสิ่งของในไรนั้น ถาทําใหนอย
ครั้งลง ก็จะเปนการเพิ่มประสิทธิภาพการทํางานในพื้นที่เชนเดียวกัน
216
ขนาดของเครื่องจักรกลการเกษตร
การเลือกขนาดหรือความกวางของเครื่องจักรกลการเกษตร (implement size) ที่
เหมาะสมที่สดุ สําหรับกิจการใดๆ ก็คือการเลือกที่ทําใหตนทุนทั้งหมด (total cost) ตอเฮกตาร
ต่ําที่สุด เมื่อไดตัดสินใจเลือกใชเครือ่ งจักรกลการเกษตรสําหรับพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งแลว ถา
เครื่องมือชนิดนั้นมีขนาดเล็กเกินไป จะทําใหตนทุนทัง้ หมดตอเฮกตารสูง ตนทุนที่สูงขึ้นนี้เกิด
จากคาแรงงานที่เพิ่มขึ้น แตถาเครื่องจักรกลการเกษตรที่ใชมีขนาดใหญเกินไป ก็จะทําให
ตนทุนทั้งหมดตอเฮกตารสงู ขึ้นดวย เพราะตนทุนคงที่ (fixed cost) เพิ่มขึ้น การคํานวณหา
ตนทุนทั้งหมดของเครื่องจักรกลการเกษตรขนาดตางๆ จะชวยทําใหการเลือกใชเครื่องจักรกล
การเกษตรไดเหมาะสมกับงานมากยิ่งขึ้น
การใชเครื่องจักรกลการเกษตรในไรแตละไร ควรจะมีเครื่องจักรกลการเกษตรขนาด
หนึ่ง (ทางทฤษฎี) ซึ่งเมื่อใชงานแลวจะเสียตนทุนนอยที่สุด ขนาดของเครื่องมือดังกลาวนี้เรียก
เปนความกวางคือ ฟุต หรือเมตร
217
กําลังของเครื่องจักรกลการเกษตร
การเลือกกําลัง (power) ของเครื่องจักรกลการเกษตรใหเหมาะสมกับงานในไร เปน
ปญหาที่ยุงยาก เพราะเกี่ยวของกับตนทุนของเครื่องจักรกลการเกษตรเหลานั้น ดังนั้นจึงมี
วิธีการบางประการที่จะนํามาคํานวณหากําลังที่ตองการ ถาเครื่องจักรกลการเกษตรมีกําลัง
ขับเคลื่อนในตัวเอง การวิเคราะหหากําลังงายกวาเครื่องจักรกลการเกษตรที่ตองอาศัยกําลังจาก
แหลงอื่น
รถแทรกเตอรและเครื่องจักรกลการเกษตรควรจะตองเขากันได (match) พอดี จึงจะให
ผลงานที่ดีและประหยัด ขนาดของเครื่องจักรกลการเกษตรที่ใหญที่สุดที่รถแทรกเตอรขนาดหนึ่ง
สามารถจะลากหรือสงกําลังไปฉุดได อาจจะไมใชขนาดที่เหมาะสมที่สุดก็ได ดังนั้น จึงควรจะรู
กําลังที่ตองการของเครื่องจักรกลการเกษตร เพื่อที่จะเขากันกับรถแทรกเตอรได คือรถ
แทรกเตอรสามารถที่จะสงกําลังไปใหเพียงพอ
กําลังมาขนาดตางๆ ที่ใช กอใหเกิดปญหาแกเกษตรกร ถึงแมจะรูวาตองการใชกําลัง
มาเทาไร เพื่อที่จะทํางานในไรใหเสร็จตามกําหนด
กําลังมาตางๆ ที่กลาวถึงมีดังนี้
1. กําลังมาคานลาก (drawbar horsepower) หรือ DB hp คือกําลังมาที่สงผานลอรถ
แทรกเตอร เพื่อลากหรือฉุดเครื่องมือ
DB hp (กําลังมา) = D (ปอนด) x S (ไมล/ชม.) ÷ 375
DB kW (กิโลวัตต) = D (กิโลกรัม) x S (กม. /ชม.) ÷ 367
แรงฉุดลาก (Draft หรือ D) เปนแรงฉุดจากคานลาก (drawbar) ทีข่ นานกับทิศทางการ
เคลื่อนที่ของรถ แรงฉุดลากของเครื่องจักรกลการเกษตรชนิดตางๆ แสดงไวในตารางที่ 3
2. กําลังมาเพลาอํานวยกําลัง (power take off horsepower) หรือ PTO hp คือกําลังที่
เครื่องจักรกลการเกษตรตองการจากเพลาอํานวยกําลังของรถแทรกเตอร
PTO hp (กําลังมา) = (ปอนด-ฟุต) x N (รอบ/นาที) ÷ 5252
เมื่อ T = แรงบิด
N = รอบตอนาที
PTO hp (กิโลวัตต) = (กก.-ม.) x N (รอบ/นาที) ÷ 976
3. กําลังมาไฮดรอลิค (hydraulic horsepower) หรือ Hydraulic hp คือกําลังที่
เครื่องจักรกลการเกษตรตองการจากระบบไฮดรอลิคของรถแทรกเตอร กําลังนี้ขึ้นอยูกับอัตรา
การไหลของน้ํามันไฮดรอลิค (F) และความดัน (P)
Hydraulic hp (กําลังมา) = F (แกลลอน/นาที) x P (ปอนด/ตารางนิ้ว) ÷ 1714
Hydraulic hp (กิโลวัตต) = F (ลิตร/นาที) x P (กก. /ซม.) ÷ 611
218
ตนทุนของการใชเครื่องจักรกลการเกษตร
ตนทุนของการใชเครื่องจักรกลการเกษตร (cost of using farm machinery) จะทําให
เกษตรกรเขาใจถึงเงินทุนทีจ่ ะตองจายไปในการทํางานดวยเครื่องจักรและเครื่องมือทุนแรง
เกษตรกรสามารถที่จะวางแผนการลงทุนไดอยางมีประสิทธิภาพ ตนทุนทั้งหมดของการใช
เครื่องจักรกลการเกษตร แบงออกเปน 2 ประเภทคือตนทุนคงที่ ( fixed or ownership cost)
และตนทุนแปรผัน (variable or operating cost)
ตนทุนคงที่
ตนทุนคงที่ไมไดขึ้นอยูกับการใชเครื่องมือ แตเปนตนทุนที่ตองเสียไปเสมอ ตนทุน
ชนิดนี้ไดแก คาเสื่อมราคา คาดอกเบี้ย คาประกัน และคาโรงเรือน
1. คาเสื่อมราคา (depreciation)
คาเสื่อมราคา คือ คาที่เกิดขึ้นจากการสึกหรอ สนิม ผุพัง และเกาพนสมัย หรือ
เรียกวาเปนคาที่ตองจายไปตลอดอายุของเครื่องมือ
การคํานวณคาเสื่อมราคาโดยวิธีเสนตรง (straight-line method) เปนวิธีทไี่ ดคาเสือ่ ม
ราคาตอปคงที่ตลอดอายุของเครื่องมือ และเปนวิธที ี่เหมาะสมที่สุด
P−S
D =
L
D = คาเสื่อมราคา
P = ราคาซื้อ
S = มูลคาซาก (salvage cost) = 10% P
L = อายุการใชงาน (salvage cost)
219
ตนทุนผันแปร
ตนทุนผันแปร ขึ้นอยูกับชั่วโมงการใชงาน ถาชั่วโมงการใชงานสูงขึ้น ตนทุนผันแปรก็
สูงขึ้นดวย ตนทุนชนิดนี้ไดแกคาแรง คาน้ํามันเชื้อเพลิง คาซอมแซมและบํารุงรักษา และคา
น้ํามันหลอลื่น
1. คาน้ํามันเชื้อเพลิง
คาน้ํามันดีเซล (D) ที่ใชโดยเฉลี่ยตอป ไดจากการทดสอบที่มหาวิทยาลัยเนบราสกา
ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยใชสูตร
D (แกลลอน/ชม.) = 0.044 x PTO hp (กําลังมา)
D (ลิตร/ชม.) = 0.124 x PTO hp (กิโลวัตต)
2. คาน้ํามันหลอลื่น
คาน้ํามันหลอลื่นที่ใชโดยเฉลี่ยตอป คิดไดจากราคาซื้อของเครื่องมือ ดังแสดงไวใน
ตารางที่ 8.4
220
3. คาซอมแซม
การประเมินคาซอมแซมทําไดยาก การซอมแซมบางครั้งเกิดจากการผุพัง สนิม
อุบัติเหตุ คาซอมแซมบางอยาง เชน แบตเตอรี่ ยาง ลวนแลวแตเกิดจากการใชงานทั้งสิ้น ถา
ยิ่งใชเครื่องมือมาก คาซอมแซมก็ยิ่งเพิ่มขึ้น คาซอมแซมโดยเฉลี่ยตอปหาไดจากสูตร
คาซอมแซมเฉลี่ยตอป = ราคาซื้อ x คาซอมแซมสะสมตามอายุใชงาน
จํานวนปที่ใช
4. คาแรงงาน (labor)
การประเมินคาแรงงานทําไดยาก เพราะขึ้นอยูกับความชํานาญ แรงงานหางายหรือไม
และใชแรงงานทดแทนไดหรือไม คาแรงงานประมาณไดโดยการเพิ่มชั่วโมงการใชงานของ
แทรกเตอรเขาไปอีก 10% จํานวน 10% นี้ คือเวลาทีเ่ สียไปในการเติมน้ํามันเชื้อเพลิง อัดจาร
บี การปรับเครื่องมือขณะเดินทางไปทํางานและกลับ
ดังนั้นตนทุนทั้งหมดหรือคาใชจายรวมทีเ่ กษตรกรจะตองจายในแตละปที่ซื้อได
เครื่องจักรกลการเกษตรมาใชจึงสามารถคํานวณไดจากตนทุนคงที่รวมกับตนทุนผันแปร
221
บทที่ 9 ความปลอดภัยในไรนา
(Farm Safety)
224
บทนํา
ความปลอดภัยเมื่อใชรถแทรกเตอรและเครื่องจักรกลการเกษตร
อุบัติเหตุทั้งหลายจะไมเกิดขึ้นโดยเด็ดขาด ถาคนขับรถแทรกเตอรจะขับรถ
แทรกเตอรดว ยความระมัดระวัง และดูแลรักษารถแทรกเตอรใหอยูในสภาพดีอยูเสมอ ขอควร
ระวังเมื่อใชรถแทรกเตอรและเครื่องจักรกลการเกษตรมีดังตอไปนี้
1. ควรเก็บน้ํามันเชือ้ เพลิงไวในทีป่ ลอดภัยและหางจากบานพักอาศัยอยางนอย 15
เมตร และควรจะมีสารเคมีที่ใชดับไฟอยูใ กลๆ กับรถแทรกเตอรและในโรงเก็บเครือ่ งจักรกล
การเกษตรเพือ่ ดับไฟที่อาจจะเกิดขึ้นได
2. ควรจะเติมน้ํามันเชื้อเพลิงในขณะที่เครื่องยนตเย็น หากเติมน้ํามันเชื้อเพลิงขณะ
ที่เครื่องยนตรอ นก็อาจจะเกิดระเบิดขึ้นได
3. อยาเติมน้ํามันเครื่องหรืออัดน้ํามันจาระบี ขณะที่เครื่องยนตยังติดอยูเปนอันขาด
เพราะชิ้นสวนที่ยังเคลื่อนไหวของเครื่องจักรกลการเกษตรอาจจะตัดนิ้วมือหรือแขนขาดได
4. ดับเครื่องยนตหรือเครื่องจักรกลการเกษตรกอนที่จะทําความสะอาด ปรับตั้ง หรือ
หยอดน้ํามันหลอลื่น
5. ตรวจดูฝาครอบที่ใชปดปองกันอันตรายจากสวนที่เคลื่อนที่ของเครื่องยนต และ
225
ความปลอดภัยเมื่อใชสารเคมี
สารเคมีเชนยาฆาแมลง นอกจากจะเปนอันตรายตอผูใชแลวยังเปนอันตรายตอผูอื่น
รวมทั้งสัตวและพืชอีกดวย ดังนั้น ผูใชควรจะระวังในการใชสารเคมีดังตอไปนี้
1. อานคําแนะนําทุกๆ ขอ ของบริษัทผูผลิตสารเคมี
2. ถาคําแนะนําใหสวมเสื้อปองกันก็ควรจะทําตาม และถึงแมวาจะไมไดระบุไวก็
ควรจะสวมถุงมือยางเมื่อถือสารเคมี และใสหนากากทุกครั้งเมื่อพนยา
3. รูทิศทางลมขณะใชสารเคมี เพราะลมอาจจะพัดพาเอาสารเคมีที่ใชไปสูแ ปลง
ปลูกพืชชนิดอื่น ทําใหเกิดความเสียหายขึ้นได เพราะสารเคมีชนิดหนึ่งไมเหมาะสําหรับพืชทุก
ชนิด
4. ไมปลอยใหสารเคมีที่ใชลอยไปติดหญาเลีย้ งสัตว
5. หลังจากใชสารเคมีแลว ไมควรจะเทน้ํายาทีเ่ หลือหรือน้ําที่ใชลางเครื่องฉีดพน
สารเคมีลงไปในแมน้ําลําธาร เพราะอาจจะเปนอันตรายตอ ปลา นก และสัตวอื่นๆ
6. ภาชนะบรรจุสารเคมีหรือเครือ่ งพนสารเคมีที่ใชแลวควรจะเก็บไวในที่ๆ เด็ก
และสัตวแตะตองไมได
เกษตรกรผูใชรถแทรกเตอร เครือ่ งจักรกลการเกษตรและสารเคมีควรจะคํานึงอยูเสมอ
วาชิ้นสวนตางๆ ของรถแทรกเตอร และเครื่องจักรกลการเกษตรตลอดจนสารเคมี จะมี
ประโยชนกต็ อ เมื่อผูใชรูจักวิธใี ชเปนอยางดี และรูจักวิธีปองกันอุบัตเิ หตุอันอาจจะเกิดขึ้นไดทุก
เวลา ความระมัดระวังและนึกถึงความปลอดภัยอยูเสมอจะชวยใหเกษตรกรมีชีวติ อยูไดนาน
และมีรายไดมากขึ้น
บรรณานุกรม
nd
Anonymous. 1989. Application Techniques for Plant Protection in Field Crops. 2
Edition. Ciba-Geigy Ltd.
Aubineau M. et Saitthit, B. 1982. Les Reponses de I’Institut National Agronomique a
Trois Questions sur I’Axial-Flow. Pleins Champs, No. 30 : 20 -21
Bearger, Liljedanl, Carleton, and Mchibben. 1966. Tractors and Their Power Units.
nd
John Wiley & Sons, Inc., 2 Edition.
Baton, W.N. 1963. Mechanization of Tropical Crops. Temple Press Book Ltd., Russell
Square, London.
Boshoff, W.H. 1968. Using Field Machinery. Oxford University Press, London.
nd
Candelon, P. 1973. Les Machines Agricoles. 2 Edition, J-B BAILLTERE, Paris.
Chakraverty, A. 2003. Handbook of post harvest technology: cereals, fruits, vegetables,
tea, and spices. Marcel Dekker, Inc. New York. 884 pages.
th
Culpin, Claude. 1972. Farm Machinery. 9 Edition, Stripes Publishing Company,
Champaign Illinois.
Doane. 1972. Facts & Figures for Farmers. Doane Agricultural Service, Inc., Missouri.
Howkin, J.C. 1971. Tractor Ploughing. Ministry of Agriculture, Fisheries and Food.
Elliott Bros. and Yeoman Ltd., Liverpool.
Hunt, Donnell. 1973. Farm Power and Machinery Management. Sixth Edition. Iowa.
rd
John, F.R. 1952. Farm Gas Engines and Tractors. 3 Edition. McGraw-Hill Book
Company, New York.
Guo Peiyu and Han Lujia. 2002. Machinery and equipment for utilization of crop
residues as feed. Animal production and health paper 149. FAO. Rome.
http://www.fao.org/docrep/005/Y1936E/y1936e0b.htm
Kalsirisilp, R and G. Singh. 2000. Adoption of a Stripper Header for a Thai-made Rice
Combine Harvester. Agricultural & Aquatic Systems and Engineering Program,
School of Environment, Resources and Development, Asian Institute of
Technology, Bangkok, Thailand
Kepner, Bainer, and Barger. 1972. Principle of Farm Machinery. The AVI Publishing
nd
Company, Inc., Westport, Connecticut. 2 Edition.
Mathew, G.A. 1979. Pesticide Application Methods. Longman, London, England.
Mc colly and Martin. 1955. Introduction to Agricultural Engineering. McGraw- Hill, New
York.
Micron. 2008. The Micronair CS-14 compression sprayer. Available at:
http://www.micron.co.uk
rd
Sahay, J. 1992. Element of Agricultural Engineering. 3 Edition. Agro Book Agency.
New Chitragupta Nagar.
nd
Shippen, J.M. and Turner, J.G. 1973. Basic Farm Machinery. 2 Edition. Pergamon
Press, London.
Smith, Harris. 1965. Farm Machinery and Equipment. McGraw-Hill Book Company,
New York.
Stewardship Community. 2009. Nozzle selection and their optimized use. Available at:
http://www.stewardshipcommunity.com/resource-centre/downloads.html
nd
Stone, A.A. and Gulvin, H.E. 1966. Machines for Power Farming. 2 Edition,
Chichester, John wiley & Sons, Inc.,
Veillat et al. 1975. Le Machinisme en 700 Mots. La Ducumentation agricole BP No.
Special. Societe Francaise des Petroles, Coubevoie, Paris.
Water J.F.et al. 1976. Lexique Methodiq Illustre du Machinisme Agricole. CHEEMA,
Parc de Tourvoir, Antony, FRANCE.
Yanmer Diesel Engine; Instruction Book 5: Agricultural Machinery. Yanmar Diesel
Engine Co., Ltd.
คนึงศักดิ์ เจียรนัยกุล และคณะ. การพัฒนาเครื่องปลูกออย. เขาถึงไดที่ URL:
http://as.doa.go.th/fieldcrops/cane/mac/005.HTM
คนึงศักดิ์ เจียรนัยกุล และคณะ. 2548. วิจัยพัฒนาเทคโนโลยีการใชเครื่องดํานาในการผลิตเมล็ด
พันธุขาว. กลุม ทดสอบและพัฒนาเครื่องจักรกลเกษตร สถาบันวิจัยเกษตรวิศวกรรม
จักร จักกะพาก และยาธุมะสะ โดงะ. 2523 เครื่องจักรกลเกษตร บริษัทสํานักพิมพ ดวง
กมล จํากัด
ชาญชัย โรจนสโรช. 2527. วิธีการไถที่ถูกตอง. วารสารวิศวกรรมเกษตร กรกฎาคม –
กันยายน หนา 35 – 41
นิรนาม. 2536. ความรูเกี่ยวกับเครื่องจักรกลการเกษตร : รถแทรกเตอร. บริษัท คูโบตา
แทรกเตอร ประเทศไทยจํากัด
บัญญัติ เศรษฐฐิติ. 2523. การใชเครื่องมือทุนแรงในการเกษตร.
บัญญัติ เศรษฐฐิติ. 2520. ไถ. วารสารพืชสวน. 12 (3) : 51 – 56
บัญญัติ เศรษฐฐิติ. 2521. จอบหมุน. วารสารพืชสวน. 13 (3) : 15 – 17
บัญญัติ เศรษฐฐิติ. 2521. พรวน. วารสารพืชสวน. 13(4) :21 – 22
บัญญัติ เศรษฐฐิติ. 2543. เครื่องพนยาแบบสะพายหลังชนิดสูบโยก. เขาถึงไดที่ URL:
http://www.doae.go.th/Library/html/detail/pesti/index.html