Professional Documents
Culture Documents
โครงการกอสรางอาคารโรงไฟฟาและงานดานโยธา
บริเวณเขื่อนปาสักชลสิทธิ์ อําเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี
1. บทนํา
เนื้อหาที่แสดงในเอกสารฉบับนี้เปนรายละเอียดแผนงานขุดดินและระเบิดหินโครงการกอสรางอาคาร
โรงไฟฟาและงานดานโยธา บริเวณเขื่อนปาสักชลสิทธิ์ อําเภอพัฒนานิคม จังหวัดลพบุรี จัดทําโดยหางหุนสวน
จํากัด ไว-วา เสนอตอการไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทย (กฟผ.) ในฐานะเปนสวนหนึ่งของการทํางานตาม
สัญญาจางเหมาเลขที่ 5120003652 (ZCSV) ลงวันที่ 14 มกราคม 2554 ที่กําหนดใหผูรับจางเสนอแผนงาน
ระเบิดหินใหพิจารณาลวงหนาไมนอยกวา 60 วัน
เพื่ อ เป น ข อ มู ล ประกอบการพิ จ ารณาของผู เ กี่ ย วข อ ง เนื้ อ หาที่ แ สดงต อ จากบทนํ า แบ ง เป น 6
สวนประกอบดวย
งานกอสรางทีม่ ีการระเบิดหิน
ขอกําหนดของ กฟผ.
โครงสรางธรณีวิทยาของพืน้ ที่โครงการ
ทฤษฎีที่เกี่ยวของและความตองการดานเทคนิค
แผนการทํางาน
การประเมินผลกระทบที่เกิดกับโครงสรางเดิม
2. งานกอสรางที่มีการระเบิดหิน
งานกอสรางอาคารโรงไฟฟาและงานดานโยธาบริเวณเขื่อนปาสักชลสิทธิ์ชลสิทธิ์มีงานระเบิดหิน (ดูรูป
ที่ 11) ทั้งบริเวณที่ตั้งอาคารโรงไฟฟา, Surge Valve, แนววางทอจายน้ําเขาเครื่องปนไฟ (Penstock) และแนว
คลองระบายน้ําทายเครื่องปนไฟ (Tailrace) ปริมาณงานระเบิดหินรวมกัน 23,700 ลูกบาศกเมตร2 บริเวณที่มี
งานระเบิดหินมากที่สุดเปนบริเวณกอสรางอาคารโรงไฟฟาเพราะฐานรากอาคารตั้งอยูที่ระดับ + 4.85 เมตร
จากระดับน้ําทะเลปานกลาง ในขณะที่ประมาณวาชั้นหินอยูที่ระดับ +20.3 เมตร รทก3 (ความลึกของงาน
ระเบิดหินประมาณ 15 เมตร)
1
ลอกจากแบบกอสรางแผนที่ PSHP-CW-GN-07
2
เปนจํานวนที่ระบุในบัญชีปริมาณงานซึ่งถือเปนสวนหนึ่งของสัญญา
3
วัดจากมาตราสวนที่แสดงในแบบ
-1-
Surge valve
จุดต่ําสุดอยู ที่ร ะดับ
อาคารโรงไ ฟฟา
+ 16.90 รทก
จุดต่ําสุดอยู ที่ร ะดับ + 4.85 รทก
ระดับชั้นหิน
Valve chamber คลองระบายน้ํ า +20.3 ม. รทก
จุดต่ําสุดอยู ที่ร ะดับ จุดต่ําสุดอยู ที่ร ะดับ + 17.757 ม. รทก (แสดงในแบบ)
+ 18.45 รทก
Penstock
รูปที่ 1 รูปตัดแสดงชั้นหินและระดับงานกอสราง
-2-
3. ขอกําหนดของ กฟผ.
เพื่อความปลอดภัยและเพื่อลดผลกระทบที่อาจเกิดกับโครงสรางเดิม กฟผ.กําหนดเงื่อนไขงานระเบิด
หินไวในเงื่อนไขเฉพาะงาน ขอ 13.1 และในรายการประกอบแบบบทที่ 6 OPEN EXCAVATION อยาง
ละเอียด4 สรุปไดดังนี้
1. ผูรับจางหรือผูรับจางชวงตองไดรับอนุญาตซื้อ ขนยาย ใช และจัดเก็บวัตถุระเบิดจากทางราชการ
กอนเขาดําเนินการ
2. หากมีความจําเปนตองเก็บวัตถุระเบิดไวในสถานที่กอสราง ผูรับจางหรือผูรับจางชวงตองออกแบบ
โรงเก็บวัตถุระเบิดตามแบบที่ราชการกําหนดและตองขออนุญาตกอสรางจากหนวยราชการที่เกี่ยวของให
เรียบรอยกอนดําเนินการกอสรางโรงเก็บวัตถุระเบิด และในการเก็บวัตถุระเบิด ผูรับจางหรือผูรับจางชวงตอง
แยกเก็บแกปกับวัตถุระเบิด และมีสายลอฟาปองกันอันตรายของประจุไฟฟาจากฟาแลป ฟาผา และไมใกลกับ
เชื้อเพลิง หรือวัตถุไวไฟอื่นๆ หรือแหลงที่กอใหเกิดความรอน
3. ทําการระเบิดวันละ 2 เวลา ปริมาณหินที่จะทําการระเบิดตอครั้งขึ้นอยูกับมาตรการควบคุมไมให
เกิดผลกระทบตอโครงสรางเดิม ตามขอ 13.25 และตองไมเกิน 200 ลูกบาศกเมตร (อาจจะยกเวนการระเบิดใน
วันเสารและวันอาทิตย)
4. กอนทําการระเบิดทุกครั้งใหเปดสัญญาณเตือนและปดเสนทางจราจรที่เกี่ยวของและเปนอันตราย
โดยเขาทําการเคลียรพื้นที่ทําการระเบิดใหแลวเสร็จจนแนใจในความปลอดภัยจึงเปดเสนทางการจราจร
ตามปกติ
5. ทุกครั้งที่ทําการระเบิดใหติดตั้งเครื่องวัดอัตราความเร็วสูงสุดของคลื่นจากการระเบิดที่กอใหเกิด
ความเสียหาย (Critical Peak Velocity) และเครื่องวัดความดังของเสียง (Air Blast Overpressure) ที่ตําแหนง
อาคารควบคุมเดิม (Existing Control House) และ/หรือสวนปลายสุดของความลาดเอียง (Toe Slope) ของ
เขื่อน หรือระยะทางที่ใกลที่สุดตามที่ไดรับความเห็นชอบจากผูควบคุมงาน กฟผ.
6. กอนทําการระเบิดแตละครั้งตองกําหนดขอบเขตพื้นที่ที่จะดําเนินการโดยทํา Presplit และ Smooth
Wall Blasting รวมทั้งทิศทางการระเบิดและระยะความลึกของรูเจาะ ปริมาณวัตถุระเบิด และการตอวงจรการ
ระเบิด ทั้งนี้เพื่อใหผลจากการระเบิดที่มีประสิทธิภาพ และปลอดภัยในการทํางาน
4
รายละเอียดที่แสดงคัดจากเงื่อนไขเฉพาะงานซึ่งเปนขอกําหนดหลักโดย กฟผ.กําหนดใหรายละเอียดที่แสดงในแบบและ
รายการประกอบแบบมีผลเปนการบังคับเฉพาะสวนที่ไมขัดแยงกับเงื่อนไขเฉพาะงาน
5
ขอ 13.2 หมายถึงงานเทคอนกรีตใตน้ํา
-3-
7. ผูรับจางหรือผูรับจางชวงตองทําการระเบิดหินใหไดระดับตามแบบกอสรางทั้งหมดอยางตอเนื่องจน
แลวเสร็จ
8. ผูรับจางหรือผูรับจางชวงตองมีมาตรการความปลอดภัยเกี่ยวกับความปลอดภัยในการมีและ
ครอบครองวัตถุระเบิตามพระราชบัญญัติวัตถุอันตราย พ.ศ.2535
9. มาตรการควบคุมไมใหเกิดผลกระทบตอโครงสรางเดิม
9.1 วัดอัตราความเร็วสูงสุดของคลื่นจากการระเบิดที่กอใหเกิดความเสียหาย (Critical Peak
Velocity) ควบคุมไมใหเกินคาที่กําหนดสําหรับจุดตรวจวัด ดังนี้
สําหรับเขื่อน 50 มิลลิเมตร/วินาที
สําหรับ Existing Control House 50 มิลลิเมตร/วินาที
9.2 วัดความดังของเสียง (Air Blast Overpressure) ตองไมเกิน 140 dBL (No Damage Level)
9.3 การปองกันหินปลิว (Fly Rock Potential)
9.4 การควบคุ ม ไม ใ ห เ กิ ด อั น ตรายจากการปลิ ว กระเด็ น ของเศษหิ น โดยปกติ อุ ป กรณ ที่ ใ ช
ประกอบดวยผาปาน (Gunny Sacks) คลุมพื้นที่ที่จะระเบิดทั้งหมด จากนั้นใชตาขาย (Wire Mesh) ปดทับ
แลวยึดใหแนนดวยสลิง (Wire rope) ถวงน้ําหนักโดยทับซอนดวยถุงทราย (Sand Bag) อีกชั้นหนึ่ง และมี
กําแพงลวดตาขายนั่งรานกันหินปลิวบริเวณที่มีอันตรายมากๆ ความรัดกุม หรือความหนาแนนของอุปกรณ
ปองกันหินปลิวขึ้นอยูกับดุลยพินิจของผูควบคุมงาน
9.5 ผูรับจางหรือผูรับจางชวงตองเสนอเทคนิค วิธีการ และรูปแบบในการระเบิดหินใกลสิ่งปลูก
สรางเดิมให กฟผ.ใหความเห็นชอบกอนดําเนินการไมนอยกวา 60 วัน6 ผูรับจางหรือผูรับจางชวงตองทําการ
ทดลองเพื่อยืนยันใหเกิดความมั่นใจไดวาเทคนิควิธีการและรูปแบบการระเบิดดังกลาวเปนไปตามขอกําหนด
ของมาตรการควบคุมไมใหเกิดผลกระทบตอโครงสรางเดิม หากมีความเสียหาย หรือมีคาใชจายใดๆ อัน
เนื่องมาจากผลกระทบที่เกิดขึ้น ผูรับจางชวงตองรับผิดชอบทั้งหมด
9.6 ในกรณีที่ผูรับจางหรือผูรับจางชวงไมเลือกใชวิธีการระเบิดในการตัดหรือขุดหิน ผูรับจางหรือผู
รับจางชวงตองเสนอวิธีอื่นที่จะเลือกใชตลอดจนขั้นตอนการทํางานโดยละเอียดเพื่อขออนุมัติตอ กฟผ.กอนเริ่ม
ดําเนินการไมนอยกวา 30 วัน
6
เอกสารฉบับนี้เปนการดําเนินงานตามขอ 9.5
-4-
4. โครงสรางธรณีวิทยาของพื้นที่โครงการ
กฟผ.ทํางานเจาะสํารวจดินในบริเวณที่ตั้งโครงการ 2 ครั้ง การดําเนินงานครั้งแรกทําในเดือนธันวาคม
2544 จํานวน 3 หลุม (DPS-1 ถึง DPS-3) ทั้งหมดอยูดานทิศตะวันออกของอาคารทอระบายน้ําลงลําน้ําเดิม
ตอมาในเดือนมิถุนายน 2545 เมื่อทราบที่ตั้งอาคารโรงไฟฟาชัดเจน ก็มีการเจาะสํารวจเพิ่มดานทิศตะวันตก
ของอาคารทอระบายน้ําฯ อีก 4 หลุม (DPS-4 ถึง DPS-7) ตําแหนงหลุมเจาะของการสํารวจครั้งหลังอยูตาม
แนวเสนกึ่งกลางงานกอสราง (ดูรูปที่ 27)
ตามข อ มู ล แสดงในตารางที่ 1 พบหิ น ทรายในการเจาะสํ า รวจรอบแรก แต พ บหิ น อั ค นี ป ระเภท
Rhyolite ที่หลุมเจาะ DPS-4 ถึง DPS-7 สภาพหินระยะ 3 – 5 เมตร แรกแตกหัก ผุพัง แตชั้นหินที่ระดับ +22.3
ถึง +26.1 เมตร รทก.ลงไปเปนหินเนื้อแนน แข็ง และสด กับพบรอยแตกในชั้นหินเกือบทุกหลุม
ระดับน้ําใตดินเดือนมิถุนายน 2545 อยูที่ +25.5 ถึง +26.0 เมตร รทก. ผลทดสอบคาสัมประสิทธิ์การ
ซึมน้ําในชั้นดิน (Permeability) ไดคาระหวาง 0.99x10-4 – 3.12x10-3 ซม./วินาที ผลทดสอบการซึมน้ําในชั้น
หินไดคาระหวาง 4.7 – 50.8 lugeon (Turbulent Flow)
DPS-3
DPS-2
DPS-4
DPS-1
DPS-5
DPS-6
DPS-7
รูปที่ 2 ตําแหนงหลุมเจาะ
7
คัดลอกจากแผนที่แสดงตําแหนงหลุมเจาะที่ปรากฎในรายงานการเจาะสํารวจดินเลขที่ G47-02-00-4515 กับ G47-02-00-
4501 ทั้งสองฉบับจัดทําโดยกองธรณีและปฐพีวิศวกรรม ฝายสํารวจและที่ดินพลังน้ํา การไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทย
-5-
ตารางที่ 1 ผลเจาะสํารวจดิน
รายการ การเจาะสํารวจเดือนธันวาคม 2544 (รายงานเดือนมกราคม 2545) การเจาะสํารวจเดือนมิถุนายน 2545 (รายงานเดือนสิงหาคม 2545)
หลุมเจาะ DP-1 DP-2 DP-3 DP-4 DP-5 DP-6 DP-7
พิกัด N 1,643,039.904 1,643,043.415 1,643,026.592 1,643,126 1,643,062.834 1,643,052.136 1,643,041.439
E 723,797.217 723,809.946 723,829.952 723,787.5 723,734.319 723,725.287 723,716.256
ระดับปากหลุม 23.879 ม. รทก. 26.376 ม. รทก. 32.904 ม. รทก. 31.299 ม. รทก. 31.977 ม. รทก. 32.024 ม. รทก. 32.146 ม. รทก.
ความลึกหลุมเจาะ 15 ม. 30 ม. 30 ม. 17 ม. 28 ม. 28 ม. 28 ม.
ระดับน้ําใตดิน 20.8 ม. รทก. 23.3 ม. รทก. 26.4 ม. รทก. - 26.0 ม. รทก. 25.5 ม. รทก. 23.6 ม. รทก.
ระดับพบหิน 20.8 ม. รทก. 22.3 ม. รทก. 25.9 ม. รทก. 22.3 ม. รทก. 23.0 ม. รทก. 25.0 ม. รทก. 26.1 ม. รทก.
คุณลักษณะชั้นหิน หินทรายสภาพผุพังปานกลาง คา RQD (Rock Quality Designation) หินอัคนีชนิดหิน Rhyolite สภาพแตกหัก ผุพังมาก ที่ระดับ 14 - 20 ม. รทก. ตอจากนั้นเปนหิน
มากกวา 50% ที่หลุม DP-1 มากกวา 30% ที่หลุม DP-2 และมากกวา แข็ง เนื้อแนน และสด คา RQD นอยกวา 50% ที่หลุม DP-4 มากกวา 50% ที่หลุม DP-5 อยู
25% ที่หลุม DP-3 (พบแนวแตกที่หลุม DP-3) ระหวาง 20 – 60% ที่หลุม DP-6 และระหวาง 12 – 50% ที่หลุม DP-7
การซึมน้ําในชั้นดิน ผลทดสอบที่แรงดันน้ําคงที่ 0.99x10-4 – 3.12x10-3 ซม./วินาที ผลทดสอบที่แรงดันน้ําคงที่ 1.0x10-7 – 2.0x10-6 ซม./วินาที
การซึมน้ําในชั้นหิน ทั่วไปเปน Turbulent flow คาการรั่วซึม 3.9 – 12.2 lugeon ยกเวน Turbulent flow คาการรั่วซึม 4.7 – 50.8 lugeon
หลุม DP-3 พบ laminar flow ที่ระดับ +12.9 รทก. คาการรั่วซึม 0.3 –
0.6 lugeon
หมายเหตุ:
1. มีการทํางานเจาะสํารวจครั้งที่ 2 (เดือนมิถุนายน 2545) เมื่อทราบตําแหนงโรงไฟฟาชัดเจน
2. การจําแนกประเภทหินในการเจาะสํารวจเดือนมิถุนายน 2545 ทําโดยคณะเทคโนโลยีธรณี มหาวิทยาลัยขอนแกน
-6-
การตรวจสอบคา SPT (ดูรูปที่ 3) รวมกับระดับพบชั้นหินแสดงในตารางที่ 1 พิจารณาวาชั้นหินใน
บริเวณที่ตั้งโครงการมีลักษณะเอียงลาดโดยมีจุดต่ําสุดอยูใกลเขื่อนปาสักชลสิทธิ์ แลวคอยๆ เอียงสูงขึ้นเมื่อ
ไกลออกไป จึงมีความเปนไปที่จะพบชั้นหินที่ระดับ + 21.0 เมตร รทก บริเวณกอสราง Bifurcation (ดานใกล
เขื่อนปาสักชลสิทธิ์) และพบชั้นหินที่ระดับ + 26.0 เมตร รทก บริเวณกอสรางอาคารโรงไฟฟา ลักษณะดังกลาว
สอดคลองกันทั้งดานทิศตะวันออกและทิศตะวันตกของอาคารทอระบายน้ํา (ผลสํารวจครั้งที่ 1 กับครั้งที่ 2)
การทดสอบกําลังรับแรงอัดของหินแบบแกนเดียว (Uniaxial compressive strength) บริเวณหลุม
เจาะ DPS-4 ถึง DPS-7 ซึ่งทําที่ระดับ + 5.6 ถึง + 17.5 เมตร รทก ตามแสดงในตารางที่ 2 ไดคาระหวาง 142
– 710 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร8
SPT N SPT N
0 500 1000 0 500 1000
DPS‐2 DPS‐5
DPS‐3 DPS‐6
ระดับ ม. รทก
26.0 26.0
24.0 24.0
22.0 22.0
20.0 20.0
8
กําลังรับแรงอัด 142 กิโลกรัม/ตารางเซนติเมตร พิจารณาวาเกิดจากมีรอยแตกในตัวอยางที่ทําการทดสอบ
-7-
ตารางที่ 2 ผลทดสอบตัวอยางหินในบริเวณที่ตั้งโครงการ
หลุม ระดับ ความชื้น ความหนาแนนแหง UCS
เมตร รทก (%) (gm/cc) (กก./ตร.ซม.)
DPS-4 + 17.50 1.47 2.553 142
DPS-5 + 9.58 1.83 2.553 426
DPS-6 + 5.62 1.05 2.603 435
DPS-7 + 10.95 0.45 2.632 710
หมายเหตุ: UCS ยอมาจาก Uniaxial Compressive Strength
ที่มา: การไฟฟาฝายผลิตแหงประเทศไทย ฝายสํารวจและที่ดินพลังน้ํา กองธรณีและปฐพีวิศวกรรม, รายงานผลสํารวจ
โครงการโรงไฟฟาพลังน้ําขนาดเล็ก เขื่อนปาสักชลสิทธิ์ รายงานเลขที่ G47-02-00-4515, สิงหาคม 2545, หนา 12
5. ทฤษฎีที่เกี่ยวของและความตองการดานเทคนิค
ทฤษฎีและความตองการดานเทคนิคที่แสดงในรายงานครอบคลุมเฉพาะสวนที่เกี่ยวของกับขอกําหนด
กฟผ.วาดวยมาตรการควบคุมไมใหเกิดผลกระทบกับโครงสรางเดิม 3 รายการ ไดแก (1) ความเร็วสูงสุดของ
อนุภาค (2) ความดังของเสียง และ (3) การปองกันหินปลิว
5.1 ความเร็วสูงสุดของอนุภาค
เมื่อมีการระเบิดเกิดขึ้นในเนื้อหิน พลังงานที่เกิดจากแรงระเบิดจะแพรกระจายออกไปโดยรอบใน
ลักษณะคลื่นตามยาว (Longitudinal Wave) คลื่นตามขวาง (Transverse Wave) และคลื่นที่สะทอนจาก
พื้นผิว (Surface Wave) ทําใหเกิดแรงอัด แรงดึง และแรงเฉือน กระทํากับมวลหิน ขนาดแรงที่มวลหินไดรับ
คอยๆ ลดลงตามระยะทาง บริเวณใกลๆ ที่ขนาดแรงสูงกวาคาโมดูลัสยืดหยุนของหิน ก็ทําใหหินเกิดรอย
แตกราว ถาพลังงานยังสลายไมหมด พลังงานสวนที่ไกลออกไปก็สงผลเพียงทําใหอนุภาคหินยืด/หดตัวตาม
คาบเวลาคลื่น กลายเปนความเร็วและความเรงที่มีคาและทิศทางเปลี่ยนแปลงตามระยะเวลา
การศึกษาปจจัยที่มีผลกระทบกับความเร็วของอนุภาค (V) พบวาขึ้นกับปริมาณวัตถุระเบิด (Q)
ระยะหางจากตําแหนงจุดระเบิด (D) ความเร็วคลื่นในชั้นหิน (c) ความหนาแนนของหิน () และระยะเวลา (t)
แตเนื่องจากความเร็วคลื่นในชั้นหินและความหนาแนนแปลงไมมาก และไมจําเปนตองคงตัวแปร t เพราะเปน
การพิจารณาคาสูงสุด งานศึกษาของ Daemen et al. (1983), Duvall and Petkof (1959), Duvall and
Fogelson (1962), Duvall et al. (1963)9 เสนอวาสามารถประเมินความเร็วสูงสุดของอนุภาคดวยสมการ (1)
ดังนี้
9
Pijush Pal Roy, Rock Blasting: Effects & Operations, A.A. Balkema Publisher, 2005, p. 78
-8-
V K D/ Q
B
(1)
เมื่อ
V ความเร็วสูงสุดของอนุภาค มิลลิเมตร/วินาที
D ระยะหางระหวางตําแหนงจุดระเบิดกับจุดสังเกต เมตร
Q ปริมาณวัตถุระเบิดตอเวลาหนวงจุดระเบิด กิโลกรัม
K , B คาคงที่ขน
ึ้ กับสถานที่
โดยตัวแปร D Q เรียกไดอีกอยางหนึง่ วามาตราระยะทาง (Scale Distance)
นอกจากสมการ (1) ขางตน มีงานวิจัยและมาตรฐานที่เสนอวิธีประเมินความเร็วสูงสุดของอนุภาคอีก
หลายวิธี (การตรวจสอบความคลาดเคลื่อนของแตละสมการกรณีหิน Basalt แสดงในตารางที่ 3) เชน
Langefors et al. (1958) เสนอใหความเร็วอนุภาคแปรผันตาม Q D3 2 - ดูสมการ (2)
USBM (US Bureau of Mine) เสนอใชแบบจําลองทรงกลมซึ่งทําใหความเร็วสูงสุดของอนุภาค
แปรผันตาม D Q1 3 - ดูสมการ (3)
มาตรฐานอินเดีย (1975) เสนอใหความเร็วอนุภาคแปรผันตาม Q 2 3 D – ดูสมการ (4)
Davies er al. (1964), Birch and Chaffer (1983), Attewell (1964), Daemen et al. (1983)
เสนอใหความเร็วอนุภาคแปรผันตาม D BQ A – ดูสมการ (5)
Ghosh and Daemen (1983) เสนอใหนาํ คา inelastic attenuation factor e D มารวมในการ
คํานวณความเร็วสูงสุดของอนุภาค ไดสมการ (6) สําหรับแบบจําลองแทงทรงกระบอก กับสมการ
(7) สําหรับแบบจําลองรูปทรงกลม
V K Q D3 2 B
(2)
V K D Q 1 3 B
(3)
V K Q D
23 B
(4)
V KD B Q A (5)
V K D Q 0.5
B
e D (6)
V K D Q 1 3 B
e D (7)
เมื่อ
V ความเร็วสูงสุดของอนุภาค มิลลิเมตร/วินาที
D ระยะหางระหวางตําแหนงจุดระเบิดกับจุดสังเกต เมตร
Q ปริมาณวัตถุระเบิดตอเวลาหนวงจุดระเบิด กิโลกรัม
-9-
K , B , คาคงที่ขนึ้ กับสถานที่
Adhikari et al. (2005) นําสมการ (1) มาประเมินคา K กับคา B ของหินชนิดตางๆ (ผลวิเคราะหแสดง
ในตารางที่ 4 กับรูปที่ 4) สรุปวาคา K กับคา b แปรปรวนไมมากกรณีเปนหินชนิดเดียวกัน แตเมื่อชั้นหินที่
ระเบิดมีความหลากหลาย เชน กรณีงานระเบิดเพื่อการกอสราง ก็ทําใหคาสหสัมพันธของตัวแปรที่วิเคราะหได
จากสมการถดถอยมีคาลดลง10
ตารางที่ 3 การทํานายความเร็วอนุภาคดวยสมการตางๆ
สมการ B K A Id
10
คา correlation coefficient (r) ลดลง
-10-
อุตสาหกรรม เหมือง จํานวน จํานวน K b r ความถี่
ระเบิด ขอมูล (Hz)
หินแข็ง Copper mine 21 24 303.75 1.54 0.75 5 – 20
Rampura Agucha 10 31 211.82 1.42 0.86 11 – 75
หินมีคา Diamond, NMDC 6 25 501.29 1.56 0.94 10 - 70
Site กอสราง 13 แหง - 356 67.85 0.85 0.58 11 - 200
หมายเหตุ: คา K, b เปนคาคงที่ซึ่งไดจากการวิเคราะห คา r เปนคา correlation coefficient ที่ไดจากการวิเคราะหดวยสมการ
ถดถอย (regression)
ที่มา: Adhikari, G.R., et all, Role of blast design parameters on ground vibration and correlation of vibration level
to blasting damage to surface structures, 2005, National Institute of Rock Mechanics, Western Coalfields Limited,
and Singareni Collieries Company Limited, p. 7
เหมืองถานหิน เหมืองลิกไนต
หินปูน แรเหล็ก
ที่มา: การคํานวณของผูรับจาง
5.2 ความดังของเสียง
ความดังของเสียงที่เกิดจากการระเบิด (Air blast overpressure) เปนพลังงานสวนเกินที่พุงผานวัสดุ
กลบฝงวัตถุระเบิดขึ้นไปในอากาศ ระดับความดังของเสียงจึงขึ้นกับระยะทางระหวางหลุมระเบิดกับจุดสังเกต
ระยะฝงวัตถุระเบิด (Stemming) ระยะระหวางหลุมระเบิดถึงหนาสัมผัสอิสระ (Burden) และปริมาณวัตถุ
ระเบิดตอจังหวะหนวง โดยเนื่องจากคลื่นเสียงเคลื่อนที่ออกจากตําแหนงหลุมระเบิดทุกทิศทางเปนทรงกลม
การประเมินแรงดันของเสียงจึงสามารถเขียนใหอยูในรูปรากที่ 3 ของปริมาณวัตถุระเบิดตอจังหวะหนวงตาม
สมการ (8) ดังนี้
a
D
P K
3 Q
(8)
เมื่อ
P แรงดัน kPa
Q ปริมาณวัตถุระเบิดตอการหนวงจุดระเบิด กิโลกรัม
D ระยะหางระหวางตําแหนงจุดระเบิดกับจุดสังเกต เมตร
K คาคงที่ขนึ้ กับสถานที่
a เลขยกกําลังขึน้ กับสถานที่
-12-
การแปลงหนวยแรงดันของเสียงจาก kPa เปนความดังของเสียงในหนวย dBL ตามนิยามที่กําหนดให
ความดังของเสียงเปนคา log ฐาน 10 ของแรงดัน ไดสมการความดังของเสียงจากแรงระเบิดตามแสดงใน
สมการ (9)11
dBL = C1 – C2 log [D/Q1/3] (9)
เมื่อ
C1, C2 คาคงที่ขนึ้ กับสถานที่
D ระยะหางระหวางตําแหนงจุดระเบิดกับจุดสังเกต เมตร
Q ปริมาณวัตถุระเบิดตอจังหวะถวง กิโลกรัม
สําหรับผลกระทบจากความสูงของวัสดุกลบฝงวัตถุระเบิด (Stemming) การประเมินระยะหางจาก
ตําแหนงหลุมระเบิดถึงจุดที่มีความดังของเสียงเทากับ 120 dBL คํานวณไดจากสมการ (10) และสมการ (11)
ในกรณีหนาสัมผัสอิสระอยูในแนวราบกับแนวเอียงลาด ตามลําดับ12
2.5
k d
D120 s 3
m (10)
SH
2.5
k d
D120 b 3
m (11)
B
เมื่อ
D120 ระยะหางจากตําแหนงจุดระเบิดถึงเสนความดังเสียง 120 dBL
ks คาปรับแก มีคา อยูระหวาง 80 - 180
kb คาปรับแก มีคา อยูระหวาง 150 – 250
d ขนาดหลุมเจาะ มิลลิเมตร
m ปริมาณวัตถุระเบิดตอจังหวะหนวง กิโลกรัม
SH ความสูง Stemming มิลลิเมตร
B ระยะถึงหนาสัมผัสอิสระ (Burden)
11
Cedric Roberts, Potential of Airblast overpressure and ground vibration from quarry blasting to increase the
frequency of rockfalls on MT. COONOWRIN, Proceedings of ACOUSTICS 2004, 3 – 5 November 2004, Gold
Coast, Australia
12
Alan B Richards, Prediction and Control of Air Overpressure From Blasting in Hong Kong, Geotechnical
Engineering Office, Civil Engineering and Development Department, The Government of the Hong Kong, 2008, p.
16 - 17
-13-
การออกแบบงานระเบิดหินตามขอกําหนด กฟผ. ที่ระบุใหความดังของเสียงไมเกิน 140 dBL ดวย
สมการ (9) ไดปริมาณวัตถุระเบิดที่ระยะหางระหวางหลุมระเบิดกับจุดสังเกตตางๆ ตามแสดงในตารางที่ 6
อยางไรก็ตาม สําหรับการทดลองระเบิดในสนาม (Field Trial Test) จะใชคาที่กําหนดจากอัตราเรง (g) ตาม
แผนงานเทคนิคเสนอในขอ 6.2
ตารางที่ 6 ผลคํานวณปริมาณวัตถุระเบิด ระยะทาง และความดังของเสียง
ระยะทาง ปริมาณวัตถุระเบิดสูงสุดตอจังหวะถวง (กิโลกรัม)
(เมตร) ความดังเสียงเทากับ 130 dBL ความดังเสียงเทากับ 135 dBL ความดังเสียงเทากับ 140 dBL
10 0.06 0.25 1.00
15 0.21 0.85 3.38
20 0.51 2.01 8.00
25 0.99 3.93 15.63
ที่มา: การคํานวณความดังของเสียงดวยสมการ (9) โดยใชคา C1, C2 เทากับ 160 กับ 25 ตามลําดับ (คําแนะนําของ US
Bureau of Mine)
5.3 การปองกันหินปลิว
หินปลิวเกิดจากพลังงานระเบิดสวนเกินดันกอนหินใหพุงออกจากสถานะเดิมที่อยูกับที่ เกิดไดทั้ง
หนาสัมผัสที่อยูในแนวราบและแนวเอียงลาด การประเมินความเร็วหินเริ่มตน ระยะหินปลิว และขนาดหินปลิว
สามารถคํานวณไดตามคําแนะนําของ Swedish Detonic Research Foundation (1975) ตามสมการ (13),
(14) และ (15) ดังนี13้
26000 D
v0 (13)
Tb r
13
Carlos Lopez Jimeno et al., Drilling and Blasting of Rocks, A.A. BALKEMA/ROTTERDAM/BROOKFIELD, 1995,
p.366
-14-
เพื่อปองกันหินปลิวจึงจําเปนตองจัดหาอุปกรณมาปดทับหนาสัมผัสอิสระที่สามารถยกเคลื่อนยายได
สะดวก รวดเร็ว ไมติดไฟ และมีน้ําหนักมากพอที่จะกดทับไมใหหินปลิวออกไป
6. แผนงาน
6.1 ขั้นตอนดําเนินงาน
ผูรับจางขอเสนอขั้นตอนทํางานขุดดินและระเบิดหินโดยรวม (ดูรูปที่ 5) ดังนี้
ใชรถแบ็คโฮ (Backhoe) ทํางานขุด-ตักดินใสรถบรรทุกชนิดกระบะเททาย (Dump Truck) เพื่อ
เคลื่อนยายดินไปจุดทิ้งดินที่กําหนด (หรือจุดทิ้งดินชั่วคราว) จนถึงชัน้ หินผุ ตําแหนงทิ้งดินแสดงใน
รูปที่ 6 (ตําแหนงทิ้งดินกําหนดโดย กฟผ.ในวันดูสถานที)่
ใชรถแบ็คโฮขนาดใหญตักหินผุใสรถบรรทุกชนิดกระบะเททาย (Dump Truck) เพื่อเคลื่อนยายหิน
ผุไปจุดทิ้งดินที่กําหนด (หรือจุดทิ้งดินชั่วคราว) จนถึงชัน้ หินแข็ง
ตรวจสอบชั้นหินแข็งเกี่ยวกับชนิดหิน ความแข็ง ลักษณะการเรียงตัวของชั้นหิน รอยซึมของน้าํ
และรอยแตกตางๆ (ถามี)
ติดตั้งเครื่องวัดความเร็วอนุภาคและความดังของเสียงที่บริเวณตีนเขื่อนปาสักชลสิทธิ์ (Dam toe)
บริเวณอาคารทอระบายน้าํ ลงลําน้ําเดิม และใกลเคียง ตําแหนงละ 1 เครื่อง (ตําแหนงติดตั้ง
อุปกรณแสดงในรูปที่ 7)14
ตรวจสอบสภาพอาคารทอระบายน้ําลงลําน้ําเดิมพรอมบันทึกตําแหนงและขนาดรอยราว (ถามี)
ติดตั้งนั่งรานและผาใบบังอาคารดานที่มีการระเบิด
ตรวจวัดคาแรงดันน้ําในตัวเขื่อนดวยอุปกรณ Piezometer ที่ติดตั้งไวแลว กับตรวจวัดคาระดับ
หมุดคันเขื่อน (Embankment measurement point) เพือ่ ใชพิจารณาคาการทรุดตัว (ตําแหนง
Piezometer และหมุดคันเขื่อนที่ติดตั้งไวแลวแสดงในรูปที่ 8)
ทํา Field Trial Test ในบริเวณที่กําหนดซึ่งอยูหางจากอาคารทอระบายน้ําลงลําน้ําเดิม กับตีน
เขื่อนปาสักชลสิทธิ์ไปทางทิศใตประมาณ 130 เมตร กับ 190 เมตร ตามลําดับ (ประมาณ 400 ฟุต
กับ 580 ฟุต ตามลําดับ)15 รายละเอียดการทํา Field Trial Test แสดงในแผนงานดานเทคนิคเสนอ
ในขอ 6.2 ทั้งนี้ ตามมาตรการดานความปลอดภัยเสนอในขอ 6.3
14
เครื่องวัดความเร็วอนุภาคและความดังของเสียงขณะทํา Field Trial Test มีจํานวน 4 เครื่อง และลดเหลือ 2 เครื่อง ขณะ
ทํางานจริง (ตําแหนงตรวจวัดเหลือเฉพาะที่บริเวณตีนเขื่อนปาสักชลสิทธิ์กับที่อาคารทอระบายน้ําลงลําน้ําเดิม)
15
การกําหนดระยะหางระหวางแปลงทดสอบระเบิดกับที่ตั้งเขื่อนและอาคารทอระบายน้ําลงลําน้ําเดิมพิจารณาจากผล
วิเคราะหอัตราเรงสูงสุดที่เกิดกับโครงสรางใหต่ํากวา 0.05g
-15-
6. ตรวจวัด Pore
pressure กับ
ตําแหนงและ
ระดับหมุดอางอิง
1. ทํางานขุด-ตักดิน จนถึงชัน ้ หินผุ
5. ตรวจสอบสภาพ
นําดินไปทิ้งในจุดที่กําหนด
อาคาร
2. ทํางานขุดชัน้ หิน ผุจนถึงชน หิน แข็ง
4. ติดตั้งเครื่องวัดความเร็ว 8. ตรวจวัดการ
อนุภาคและความดังของเสียง เปลี่ยนแปลง
ระดับดินเดิม + 31.0 รทก.
(approx.) Pore pressure
ชั้น ดิน slope 1: 1.5
กับตําแหนงและ
(V: H)
3. ตรวจสอบชนิด ระดับหมุดอางอิง
ชั้น หิน ผุ slope 1: 1.0 และรอยแตกในชั้น หิน
10. ประเมินผลกระทบกับโครงสรางเดิม
ชั้น หิน แข็ง Slope 1: 0.5 7. ทํา Field trial test 11. ทํางานระเบิดตอจนแลวเสร็จ
12. ตรวจสอบคาการทรุด ตัวของเขื่อนตออีก 1 เดือน
9. วิเคราะหคาสัมประสิทธิ์และ 13. ตรวจสอบอาคารทอระบายน้าํ ลงลําน้ําเดิม
คาคงทีข
่ องชั้น หิน 14. ซอม/ปรับปรุงสิ่งปลูกสรางที่ชํารุด (ถามี)
ใหกลับสูส ภาพเดิม
รูปที่ 5 ขั้นตอนทํางานขุดดินและระเบิดหิน
-16-
จุดทิ้ง ดิน
พื้นที่กอสรา ง
รูปที่ 6 ตําแหนงทิ้งดิน
-17-
แปลงทดสอบการระเบิด
ประมาณ 5.0x5.0 เมตร
Bifurcation
Valve chamber
Surge tank
อาคารโรงไ ฟฟา CL
หมายเหตุ :
1. ตําแหนง ที่แสดงในรูป เปนตํ าแหนง ขณะทํ า Field Trial Test ซึ่งอาจมีก ารปรับเปลี่ย นตามความเหมาะสม
2. การทํา งานระเบิดจริง จะลดตํ าแหนงติ ดตั้งอุ ปกรณตรวจวัดเห ลือ 2 จุด
ตําแหนงตรวจวัดบริเวณคันเขือ
่ น
หมายเหตุ
1. ตําแหนงติดตั้ง piezometer มีเฉพาะ Sta. 3+700 เมตร
2. ตําแหนงติดตั้งหมุดคันเขือ
่ น (Embankment measurement point) ที่พิจารณานํามา
ตรวจวัดคาการทรุดตัวของเขือ ่ นประกอบดวย
- บริเวณสันเขื่อน Sta. 1+900 กับ 2+100
- บริเวณคันเขื่อน Sta. 2+000
-19-
ตรวจวัดแรงดันน้าํ (Pore pressure) ในตัวเขื่อน กับตําแหนงหมุดคันเขื่อน ทั้งกอนทํา Field Trial
Test ขณะทํา Field Trial Test และหลังทํา Field Trial Test
วิเคราะหหาคาคงที่และคาสัมประสิทธิ์ K, C1 และ C2 ของชั้นหินในบริเวณที่ตงั้ โครงการจาก
ขอมูลความเร็วอนุภาคสูงสุดและความดังของเสียงที่ตรวจวัดไดขณะทํา Field Blasting Test เพื่อ
นํามาออกแบบงานระเบิดทีจ่ ะดําเนินการตอไป
ประเมินผลกระทบกับโครงสรางเดิมจากผลตรวจวัดคาแรงดันน้าํ ในเขือ่ น คาการทรุดตัวของเขื่อน
และรอยแตกราวของอาคารทอระบายน้าํ ลงลําน้ําเดิม (ถามี)
ทํางานระเบิดตามคาที่ออกแบบและผลกระทบที่ตรวจวัดได (ถามี) ทําการปรับแกเปนคราวๆ จน
งานระเบิดหินแลวเสร็จ บริเวณที่ตําแหนงระเบิดใกลขอบเขตชิ้นงาน จะปองกันการระเบิดสวนเกิน
(Over brake) โดยทํา Presplit และ/หรือ Smooth Wall Blasting และ/หรือ Line drilling ซึ่ง
โดยรวมเปนการเจาะหลุมระเบิดในตําแหนงใกลๆ กัน เชน ทุกระยะ 0.3 – 0.5 เมตร16 ใหเกิด
ระนาบที่มีกาํ ลังต่ํากวาระนาบอื่น แลวทําการระเบิดกอน หรือพรอมกัน หรือหลังงานระเบิดสวน
ใหญขึ้นกับเทคนิคที่เลือกใช (เทคนิคการเจาะใหไดรูปรางที่ตองการแสดงในรูปที่ 9)
ตรวจสอบคาการทรุดตัวของเขื่อนที่หมุดคันเขื่อนทุก 7 วัน ตออีก 1 เดือน
ตรวจสอบรอยราวอาคารทอระบายน้ําลงลําน้าํ เดิม ทําการซอมแซมกรณีพบรองรอยชํารุด
16
ระยะหางระหวางหลุมเจาะจะพิจารณาตามสภาพความแข็งของชั้นหิน
-20-
การทํา Smooth Wall blasting
การทํา Presplit
-21-
6.2 แผนงานดานเทคนิค
ผูรับจางวางแผนทํางานทดสอบคา K, C1, C2 ของงานระเบิดหินบริเวณเขื่อนปาสักชลสิทธิ์ โดยเลือก
ตําแหนงทดสอบหางจากอาคารทอระบายน้ําลงลําน้ําเดิมประมาณ 130 เมตร และหางจากตีนเขื่อนปาสัก
ชลสิทธิ์ประมาณ 190 เมตร (ดูรูปที่ 7) ซึ่งเปนจุดไกลสุดของงานที่ทําใหมีผลกระทบกับโครงสรางนอยที่สุด
และในกรณีเขื่อนปาสักชลสิทธิ์ก็ทําใหมีทางระบายน้ําเดิมชวยดูดซับแรงสั่นสะเทือนในดานที่ใกลที่สุด
การทดลองทําโดยเจาะรูขนาด 3” จํานวน 5 แถว ๆ ละ 4 หลุม รวม 20 หลุม ระยะหางระหวางแถว
1.0 เมตร ระยะหางระหวางหลุมในแถวเดียวกัน 1.25 เมตร (ดูรูปที่ 10) ลึก 1.86 เมตร (ลึกกวาระดับที่ตองการ
0.36 เมตร) วัตถุระเบิดที่ใสในหลุมประกอบดวย Bottom charge สูง 0.03 เมตร แอมโมเนียม
ไนเตรท สูง 0.13 เมตร รวมความสูง 0.16 เมตร (ปริมาณวัตถุระเบิดหลุมละ 0.6 กิโลกรัม) สวนที่เหลือเปนดิน
หรือทรายฝงกลบจนถึงปากหลุม (ดูรูปที่ 11) สําหรับวงจรควบคุมการจุดระเบิดวางแผนใหระเบิดพรอมกันครั้ง
ละ 2 หลุม โดยตั้งจังหวะหนวงชุดละ 25 มิลลิวินาที (แคตตาลอกวัตถุระเบิดแสดงในภาคผนวก ก)
ขอมูลที่ไดจากการทดลองดังกลาว (จํานวนการระเบิด 10 ครั้ง กับผลตรวจวัด 4 จุด รวม 40 ขอมูล)
จะถูกนําไปวิเคราะหหาคาสัมประสิทธิ์และคาคงที่สําหรับใชในการออกแบบงานระเบิดตอไป
-22-
รูปที่ 11 หลุมระเบิดสําหรับการทํา Field Trial Test
ความเร็วสูงสุดของอนุภาค
การทดลองดวยน้ําหนักวัตถุระเบิด 1.2 กิโลกรัม (ระเบิดพรอมกัน 2 หลุมๆ ละ 0.6 กิโลกรัม) ไดคา
ความเร็วสูงสุดของอนุภาคเมื่อคํานวณดวยสมการ (2) โดยใชคา K = 200 คา B = 0.517 ที่อาคารทอระบายน้ํา
ลงลําน้ําเดิม (ระยะหาง 130 เมตร) กับที่ตีนเขื่อนปาสักชลสิทธิ์ (ระยะหาง 190 เมตร) เทากับ 5.7 มิลลิเมตร/
วินาที กับ 2.8 มิลลิเมตร/วินาที ตามลําดับ
17
เปนคาแนะนําของ USBM (US Bureau of Mine) ในกรณี Soft rock
-23-
ความดังของเสียง
การทดลองดวยน้ําหนักวัตถุระเบิด 1.2 กิโลกรัม (ระเบิดพรอมกัน 2 หลุมๆ ละ 0.6 กิโลกรัม) ไดคา
ความดังของเสียงเมื่อคํานวณดวยสมการ (9) โดยใชคา C1 = 160 คา C2 = 2518 ที่อาคารทอระบายน้ําลงลํา
น้ําเดิม (ระยะหาง 130 เมตร) กับที่ตีนเขื่อนปาสักชลสิทธิ์ (ระยะหาง 190 เมตร) เทากับ 108 dBL กับ 104
dBL ตามลําดับ
มาตรการปองกันหินปลิว
ผูรับจางเสนอใชแผนเหล็กขนาด 8000x4000x19 มิลลิเมตร19 วางทับบนพื้นที่จุดระเบิดเพื่อปองกัน
หินปลิวแทนการใชผาปาน ตาขาย ลวดสลิง และถุงทราย ที่ระบุในเงื่อนไขเฉพาะงาน
ขอพิจารณาอื่น
เนื่องจากความเร็วของอนุภาค ( u ) มีการเปลี่ยนแปลงขนาดและทิศทางตามคาบเวลาคลื่น ประเด็นที่
ตองพิจารณาตามมาจึงเปนขนาดการเคลื่อนที่ ( u ) ความถี่ ( ) อัตราเรง ( u ) ซึ่ง Charles H. Dowding
เสนอวาสามารถคํานวณไดจากสมการ (16) - (20)20 ดังนี้
0.7
4.66
1.1 1.4 0.7
100 10000 W
u 0.0028 (16)
R c 10
0.48
4.66
1.46 0.48
100 W
u 0.72 (17)
R 10
0.28
4.66
1.84 1.45 0.28
100 c W
u 314 (18)
R 10000 10
u max u max 2 (19)
umax u max 2 (20)
เมื่อ
u ขนาดการเคลื่อนที่ นิ้ว
u ความเร็วอนุภาค นิ้ว/วินาที
u ความเรงของอนุภาค นิ้ว/วินาที2
R ระยะถึงจุดสังเกต ฟุต
18
เปนคาแนะนําของ USBM (US Bureau of Mine) ในกรณี Soft rock
19
เปนขนาดพิเศษที่เกิดจากการนําแผนเหล็กขนาด 2x8 เมตร หนา 6 หุน มาเชื่อมตอกัน
20
Charles H. Dowding, Blast Vibration Monitoring and Control, Prentice-Hall, Inc., 1985, p.79 - 81
-24-
c ความเร็วคลืน่ ที่เกิดจากการระเบิด 12,000 ฟุต/วินาที
W น้ําหนักวัตถุระเบิด ปอนด/จังหวะหนวง
ความหนาแนนของหิน 4.5 slug/ft3
ความถี่ Hz
เนื่องจากการประเมินหาขนาดแรงที่กระทํากับโครงสรางตาม Pseudo Static Method กําหนดใหแรง
ที่กระทํากับโครงสรางแปรผันตามคามวลกับคาสัมประสิทธิ์ k h ซึ่งมักกําหนดใหเทากับอัตราเรงในแนวราบ (ดู
สมการ (21))21 ประกอบกับคาดวาการออกแบบโครงสรางเดิมเผื่อแรงแผนดินไหวไวนอยเพราะพื้นที่โครงการมี
ความเสี่ยงแผนดินไหวอยูในระดับต่ํา (ดูรูปที่ 12) การออกแบบงานระเบิดสําหรับการทดลอง จึงพิจารณาให
อัตราเรงที่โครงสรางเดิมมีคาไมเกิน 0.05g
Fh k h m (21)
เมื่อ
Fh ขนาดแรงที่กระทําในแนวราบ
kh คาสัมประสิทธิ์แรงที่กระทําในแนวราบ มักกําหนดใหเทากับอัตราเรงในแนวราบ
m มวลของโครงสรางที่พิจารณา
21
มีบทความวิชาการเสนอวาไมสามารถใชวิธี Psudo Static Method ตามหลักการของ Terzaghi ในอุตสาหกรรมระเบิด
เพราะอัตราเรงที่เกิดจากแรงระเบิดสูงพรอมกับมีความถี่สูงจึงทําใหผลกระทบจากแรงระเบิดต่ํา (L.L. Oriard, Influence of
Blasting on Slope Stability: State of the Art, The American Institute of Mining, Metallurgical, and Petroleum
Engineeers, Inc., 1982
-25-
การออกแบบงานระเบิดภายใตขอพิจารณาขางตน ไดความเร็วของอนุภาค ความดังของเสียง ขนาด
การเคลื่อนที่ ความถี่ อัตราเรง ตามแสดงในตารางที่ 7
ตารางที่ 7 การเคลื่อนทีข่ องอนุภาคจากการทดลองระเบิด
รายการ อาคารทอระบายน้ําลงลําน้ําเดิม ตีนเขื่อนปาสักชลสิทธิ์
6.3 มาตรการดานความปลอดภัย
มาตรการดานความปลอดภัยแบงเปน (1) มาตรการดานการบริหารจัดการ (2) มาตรการเก็บรักษา
วัตถุระเบิด (3) มาตรการขนยายและใชงาน (4) มาตรการควบคุมงานจุดระเบิด และ (5) มาตรการฉุกเฉิน
มาตรการดานการบริหารจัดการ
มีวุฒิวิศวกรเหมืองแร22ทํางานเปนทีป่ รึกษางานระเบิดหิน และมีผูควบคุมการใชวัตถุระเบิด
ปฏิบัติงานประจําในหนวยงาน23 (ประวัติและสําเนาใบอนุญาตแสดงในภาคผนวก ข.)
จัด จป.วิชาชีพ ทํางานรวมกับวิศวกรเหมืองแรและผูควบคุมการใชวัตถุระเบิด
จัดเจาหนาที่รกั ษาความปลอดภัยทํางานควบคุมพืน้ ทีก่ อ สราง
จัดอุปกรณปฐมพยาบาลไวในหนวยงานกอสราง
จัดใหมีแผนฉุกเฉินเพื่อรองรับเหตุรายแรง (ถามี)
จัดประชุมแจงประชาคมทีเ่ กีย่ วของทราบ
การเก็บรักษาวัตถุระเบิด
ที่ตั้งโรงเก็บวัตถุระเบิดอยูหา งจากชุมชน หางจากตนไมใหญ และมีการถางหญาโดยรอบให
ปลอดภัยจากไฟไหม และฟาผา
22
นายสมัชชา พิมพทนต ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพวิศวกรรมควบคุม วม. 219
23
นายบุญธรรม คนธสิงห ใบอนุญาตเปนผูควบคุมการใชวัตถุระเบิดในงานเหมืองแร เลขที่ 0338/2550
-26-
กอสรางโรงเก็บชนวน วัตถุระเบิด และแอมโมเนียมไนเตรท แยกคนละหลัง โดยมีคันดินและรั้วกัน้
ลอมรอบ ทั้งหมดเปนไปตามแบบมาตรฐานทีก่ ระทรวงมหาดไทยและกระทรวงกลาโหมกําหนด
(ดูรูปที่ 13)
มีปายเตือนที่เก็บวัตถุระเบิด
มียามรักษาความปลอดภัย ตลอด 24 ชั่วโมง
มีระบบเบิกจายวัตถุระเบิดอยางรัดกุม เชน กําหนดใหเบิกไดเฉพาะบุคคลที่มีหนาที่
108 m
80 m
โรงเก็บ วัตถุ
ระเบิด
40 m
รูปที่ 13 ที่ตั้งโรงเก็บวัตถุระเบิด
-27-
การขนยายและการใชงาน
การขนยายและการใชวัตถุระเบิดตองกระทําโดยผูชํานาญงานและอยูภ ายใตการควบคุมอยาง
ใกลชิด
มีปายเตือนเพือ่ แจงกําหนดการและรายละเอียดสัญญาณตางๆ ของงานระเบิดใหเห็นไดอยาง
ชัดเจนทัง้ ในบริเวณเสนทางเขาออกและภายในรัศมี 100 เมตร จากพืน้ ที่ทาํ การระเบิด
หามทําการอัดระเบิดขณะมีฝนฟาคะนอง ในชวงฤดูฝนที่อากาศเปลีย่ นแปลงรวดเร็วหากทํางาน
อัดระเบิดแลวพบวาสภาพอากาศเลวรายใหขออนุมัติผคู วบคุมงานทําการระเบิดกอนเวลา
งดใชวิทยุสื่อสารหรือโทรศัพทเคลื่อนที่ใกลพื้นที่แปลงอัดระเบิด
การควบคุมความปลอดภัยขณะทําการจุดระเบิด
ทําการจุดระเบิดในเวลาที่กาํ หนด ไดแก 11.00 - 12.00 น. และ 17.00 - 18.00 น. ยกเวน กรณี
ฉุกเฉินซึง่ ตองขออนุญาตผูควบคุมงานทําการระเบิดนอกเวลาที่กาํ หนด
ตรวจสอบวงจรไฟฟาของงานระเบิดใหถูกตองเรียบรอย โดยใชโอหมมิเตอรสําหรับเช็ควงจรระเบิด
เทานัน้
ปองกันหินปลิว Fly Rock Protection โดยนําแผนเหล็กขนาด 8000x4000x19 มิลลิเมตร วางทับ
หลุมระเบิด
ยายเครื่องจักรและบุคคลออกนอกพื้นที่ และปองกันบุคคลอื่นเขาพืน้ ที่โดยปดกั้นเสนทางดวย
เจาหนาที่รักษาความปลอดภัยพรอมธงสัญญาณ
ใหสัญญาณระเบิดโดยเปดหวอสัน้ 15 วินาที 3 ครั้ง
หลังการระเบิดอยางนอย 15 นาที ทําการตรวจสอบผลการระเบิดถาการจุดระเบิดสมบูรณให
สัญญาณหวอ ยาว 20 วินาที 1 ครั้ง
กรณีที่มีระเบิดดานใหทําการตรวจสอบและแกไขแลวเริ่มการจุดระเบิดอีกครั้งหนึง่ โดยมีขั้นตอน
การควบคุมความปลอดภัยเหมือนเดิมทุกประการ
ตรวจวัดความเร็วอนุภาค (Critical Peak Velocity) และ ความดัง Air Blast overpressures ทุก
ครั้งที่มีการระเบิดและนําสงใหวิศวกรควบคุมงานทุกครั้ง
มาตรการฉุกเฉิน
กรณีมีอุบัติเหตุจากการทํางานระเบิด เชน จากหินปลิว จากแรงระเบิด ฯลฯ มาตรการที่ใชเปนการ
ดําเนินงานตามแผนฉุกเฉินแสดงในรูปที่ 14 ซึ่งโดยรวมเริ่มจากการตรวจสอบอาการผูไดรับบาดเจ็บเบื้องตน
ตอจากนั้นเปนการนําผูไดรับบาดเจ็บสงโรงพยาบาล
-28-
แผนปฏิบัติการเหตุฉุกเฉินกรณีเกิด อุบัติ เหตุ และเจ็บปวย
Contingency Plans for Accident and injuries
รถนําสงโรงพยาบาล
อาการหนักใช เวลาทั้ง หมด 10 นาทีถึง
ปายทะเบีย นรถ โรงพยาบาลอํา เภอพั ฒนานิคม
ถท 8459 โทร 036 491 341
กทม.
รูปที่ 14 แผนฉุกเฉิน
-29-
7. การประเมินผลกระทบที่เกิดกับโครงสรางเดิม
เงื่อนไขเฉพาะงานของ กฟผ.ที่กําหนดใหความเร็วสูงสุดของอนุภาคต่ํากวา 50 มิลลิเมตร/วินาที มี
สถานะเปนขีดจํากัดโดยพิจารณาวาหากการระเบิดกระทําภายในขอบเขตที่กําหนดก็จะไมมีผลกระทบกับ
โครงสรางเดิม
เกณฑขางตนมีที่มาจากงานวิจัยของ Langefors et al. (1958) – ดูตารางที่ 8 งานวิจัยของ Edward
and Northwood (1960) และ Nicholls et al. (1971) – ดูตารางที่ 9 แนวคิดของผลของงานวิจัยดังกลาวถูก
นํามาใชเปนคาขอบเขตที่ยอมใหในหลายประเทศ ตัวอยางเกณฑที่ยอมใหของโครงสรางชนิดตางๆ ในประเทศ
อินเดีย ออสเตรเลีย ฮังการี และรัสเซีย แสดงในตารางที่ 10 – 13 ตามลําดับ
ตารางที่ 9 งานวิจัยของ Edward and Northwood (1960) กับ Nicholls et al. (1971)
พื้นที่ Edward and Northwood (1960) Nicholls et al. (1971)
-30-
ตารางที่ 11 Australian Standard (AS A-2183)
ชนิดโครงสราง ความเร็วสูงสุดของอนุภาค
(มิลลิเมตร/วินาที)
Historical buildings and monuments and buildings of special value 2
House and low-rise residential buildings, commercial building not include below 10
Commercial buildings and industrial buildings or structure of reinforced concrete or 25
steel construction
ที่มา: อางถึงใน Pijush Pal Roy, Rock Blasting Effects & Operations, A.A. BALKEMA PUBLISHER, 2005, หนา 94
-31-
ชนิดโครงสราง ความเร็วสูงสุดของอนุภาค (มิลลิเมตร/วินาที)
ซ้ําๆ ครั้งเดียว
Single storey skeleton type industrial buildings, metal and block 120 240
reinforced concrete structures, primary mine openings (service
life up to 10 years), pit bottoms, main entries, drifts
Secondary mine openings (service life up to 3 years), haulages 240 480
and drifts
ที่มา: อางถึงใน Pijush Pal Roy, Rock Blasting Effects & Operations, A.A. BALKEMA PUBLISHER, 2005, หนา 95
24
การวิเคราะหดวยวิธี Pseudo Static Analysis ที่สมมุติใหขนาดของแรงที่กระทําในแนวราบคํานวณไดจากสมการ
Fh = kh.m โดย kh เปนสัดสวนของอัตราเรงที่เกิดจากแรงโนมถวง (g) และ m เปนมวลของโครงสราง
25
เปนพฤติกรรมที่ทําใหเกิด Resonance ในโครงสราง
-32-
ตารางที่ 14 Australian standard (Ca – 23-1967)
ชนิดโครงสราง คามากที่สุดที่ยอมรับ
Historical buildings and monuments and buildings of 0.2 mm displacement for frequency less than 15 Hz
special value
House and low-rise residential buildings, commercial 19 mm/s resultant PPV for frequency greater than 15
building not include below Hz
Commercial buildings and industrial buildings or 0.2 mm maximum displacement corresponds to 12.5
structure of reinforced concrete or steel construction mm/s PPV at 10 Hz and 6.25 mm/s at 5 Hz
ที่มา: อางถึงใน Pijush Pal Roy, Rock Blasting Effects & Operations, A.A. BALKEMA PUBLISHER, 2005, หนา 96
-33-
ตารางที่ 16 USBM safe level criteria
ชนิดโครงสราง ความเร็วสูงสุดของอนุภาค (มิลลิเมตร/วินาที)
Frequency < 40 Hz Frequency > 40 Hz
Modern homes, dry wall interior 18.75 50
Other homes, plaster on wood lath construction 12.5 50
ที่มา: อางถึงใน Pijush Pal Roy, Rock Blasting Effects & Operations, A.A. BALKEMA PUBLISHER, 2005, หนา 96
-34-
ตารางที่ 19 DGMS (India) prescribed permissible limits of ground vibration
ชนิดโครงสราง Dominant excitation frequency, Hz
<8 Hz 8 - 25 Hz > 25 Hz
(A) Buildings/structures not belonging to owner
1. Domestic houses/structure 5 10 15
2. Industrial buildings 10 20 25
3. Objects of historical importance 2 5 10
(B) Building belonging to owner which limited span life
1. Domestic houses/structure 10 15 25
2. Industrial buildings 15 25 50
ที่มา: อางถึงใน Pijush Pal Roy, Rock Blasting Effects & Operations, A.A. BALKEMA PUBLISHER, 2005, หนา 98
มาตรฐานขางตนมีหลักการคลายกัน คือ ลดความเร็วสูงสุดของอนุภาคที่ความถี่ของแรงต่ําๆ และลด
ความเร็วสูงสุดของอนุภาคสําหรับโครงสรางที่มีความสําคัญ หรือไมแข็งแรง โดยไมมีมาตรฐานใดระบุเกณฑที่
ยอมรับไดของเขื่อนดินโดยตรง
เนื่องจากเขื่อนปาสักชลสิทธิ์และอาคารทอระบายน้ําลงลําน้ําเดิมเปนโครงสรางที่มีความสําคัญและ
หากเสียหายจะมีผลกระทบตอสาธารณะเปนอยางมาก นอกจากการดําเนินงานตามเกณฑที่ระบุในเงื่อนไข
เฉพาะงาน ผูรับจางจึงทําการประเมินผลกระทบตอโครงสรางเสนอในขอ 7.1 กับ 7.2 เสนอในหัวขอตอไป
7.1 ผลกระทบตอเขื่อนปาสักชลสิทธิ์
การประเมินผลกระทบตอเขื่อนปาสักชลสิทธิ์ แบงเปน 2 รายการ ประกอบดวย
ความถี่ตามธรรมชาติของเขือ่ นปาสักชลสิทธิ์
ผลกระทบตอแรงดันน้าํ
ความถี่ตามธรรมชาติของเขื่อนปาสักชลสิทธิ์
การประเมินความถี่ตามธรรมชาติของเขื่อนปาสักชลสิทธิ์ตามวิธีของ Makdisi and Seed (1979)26
โดยสมมุติใหคา Shear Modulus (G) ของดินที่ใชทําตัวเขื่อนสูงสุดเทากับ 160,000 kPa น้ําหนักจําเพาะของ
ดินตัวเขื่อน 19.65 kN/m3 และความสูงตัวเขื่อน 18 เมตร ไดคา Shear strain 0.02% และไดคาบเวลาของ
ความถี่ตามธรรมชาติประมาณ 0.18 วินาที คิดเปนความถี่ 5.7 รอบตอวินาที
เนื่องจากความถี่ธรรมชาติต่ํากวาความถี่ของแรงที่กระทํากับเขื่อนมาก ผลกระทบที่เกิดจากแรงระเบิด
จึงอยูในระดับต่ํา
26
Braja M. DAS, G.V. Ramana, Principles of Soil Dynamics, 2nd edition, Cengage Learning, 2011, p. 513 - 518
-35-
ผลกระทบตอแรงดันน้ํา
เมื่ออนุภาคดินและน้ําสั่นสะเทือนจากแรงระเบิด เนื่องจากอนุภาคดินกับน้ําสั่นไหวดวยคาบเวลาไม
เทากัน ลักษณะดังกลาวสงผลทําใหแรงดันน้ํา (Pore pressure) ในมวลดินเปลี่ยนแปลง ซึ่งโดยที่การ
เปลี่ยนแปลงแรงดันน้ําภายใตภาวะหนวยแรงเคนรวม (total stress) คงที่ จะทําใหหนวยแรงเคนประสิทธิผล
(Effective stress) กับกําลังรับแรงเฉือน (Shear strength) ลดลง ตามสมการ (22) กับสมการ (23) จึงควรมี
การพิจารณาผลกระทบที่อาจเกิดกับแรงดันน้ํา
' (22)
c ' tan (23)
เมื่อ
หนวยแรงเคนรวม (Total stress)
' หนวยแรงเคนประสิทธิผล (Effective stress)
แรงดันน้าํ (Pore pressure)
กําลังรับแรงเฉือน (Shear strength)
c คาแรงยึดหนวย (Cohesion)
มุมแรงเสียดทาน
งานศึกษาของ Prakash ซึ่งทําโดยจุดระเบิดหนัก 2 กิโลกรัม ในดินทรายที่ความลึก 6 เมตร บริเวณ
ใกลเขื่อน Obra (ความเร็วสูงสุดของอนุภาคที่ระยะ 20 เมตร ประมาณ 16 มิลลิเมตร/วินาที) แลววัดแรงดันน้ํา
ที่ระยะและความลึกตางๆ (ดูรูปที่ 14) พบวาแรงดันน้ําเปลี่ยนแปลงสูงสุดประมาณรอยละ 60 ของหนวยแรง
ประสิทธิผลที่ตําแหนงหลุมระเบิด แลวคอยๆ ลดลงตามระยะทาง โดยมีคาลดลงเหลือ 0 ที่ระยะ 20 เมตร
สําหรับ piezometer ติดตั้งที่ความลึก 5.5 เมตร แตคงระดับรอยละ 10 ที่ระยะทางมากกวา 30 เมตร สําหรับ
piezometer ติดตั้งที่ระดับความลึก 2.5 เมตร
การทบทวนวิธีประเมินผลกระทบของแรงระเบิดที่มีตอแรงดันน้ําในมวลดินซึ่งดําเนินการโดย US
Bureau of Reclamation ระบุวายังไมมีวิธีที่นาเชื่อถือ คําแนะนําของการทํางานระเบิดในบริเวณที่แรงดันน้ํามี
ผลกระทบกับคาเสถียรภาพของคันดินประกอบดวย27
27
Bureau of Reclamation, US Department of Interior, Review of present practices used in predicting the effects of
blasting on pore pressure, Engineering Research Center, p. 11 - 12
-36-
ไมแนะนําใหทาํ การระเบิดใกลเขื่อนที่ตั้งบนดินที่มีความออนไหวตอ Liquefaction กรณีจําเปน
ควรควบคุมความเร็วสูงสุดของอนุภาคใหต่ํากวา 25 มิลลิเมตร/วินาที ควรวัดคาแรงดันน้าํ เปน
ระยะๆ และควรทําการระเบิดครั้งตอไปเฉพาะเมื่อแรงดันน้าํ ลดลงจนอยูในเกณฑปกติ
สําหรับงานระเบิดใกลเขื่อนที่เปนดินทรายแนนปานกลางและทรายแปง ควรควบคุมความเร็ว
สูงสุดของอนุภาคใหต่ํากวา 50 มิลลเมตร/วินาที และควรวัดคาแรงดันน้ําที่ตัวเขื่อนเปนระยะๆ
กรณีพบวาแรงดันน้ําเพิ่มขึน้ มาก ใหรอจนแรงดันน้ําลดลงจนอยูในภาวะปกติแลวจึงทําการระเบิด
ตอไป
สําหรับเขื่อนทีไ่ มออนไหวตอแรงสั่นสะเทือน ความเร็วสูงสุดของอนุภาคสามารถเพิ่มขึ้นไปถึง 100
มิลลิเมตร/วินาที และควรวัดคาแรงดันน้าํ ตลอดเวลาทีม่ กี ารระเบิด
รูปที่ 15 ความสัมพันธระหวางแรงดันน้ํากับระยะทาง
ของวัตถุระเบิดขนาด 2.4 ก.ก. (60% gelatin) ที่ Obra Dam28
เนื่องจากตําแหนงระเบิดจุดที่ใกลที่สุดอยูหางจากตีนเขื่อนปาสักชลสิทธิ์มากกวา 50 เมตร การ
อนุมานจากแผนภูมิแสดงในรูปที่ 14 ไดขอสรุปวาการเปลี่ยนแปลงแรงดันน้ําอยูในระดับต่ํากวารอยละ 10 ของ
หนวยแรงประสิทธิผล
การพิจารณาคําแนะนําของ USBM ไดขอสรุปวาการระเบิดเพื่อกอสรางโรงไฟฟาที่เขื่อนปาสักชลสิทธิ์
สามารถดําเนินการไดโดยมีการวัดแรงดันน้ําตลอดเวลาที่ทําการระเบิด และอาจยืดเวลาการระเบิดรอบตอไป
หากพบวาแรงดันน้ําเปลี่ยนแปลงสูงกวาเกณฑที่ยอมรับได
28
Prakash, S., Soil Dynamics, McGraw-Hill Book Company, New York, NY, 1981 อางถึงใน Bureau of Reclamation,
US Department of Interior, Review of present practices used in predicting the effects of blasting on pore
pressure, Engineering Research Center, p. 21
-37-
7.2 ผลกระทบตออาคารทอระบายน้าํ ลงลําน้ําเดิม
การประเมินผลกระทบตออาคารทอระบายน้ําลงลําน้ําเดิม มี 2 รายการ ประกอบดวย
การประเมินคาความถี่ธรรมชาติ
การประเมินคา Dynamic Load Factor
การประเมินคาความถี่ธรรมชาติ
การประเมินคาความถี่ของธรรมชาติของอาคารทอระบายน้ําลงลําน้ําเดิมดวยสมการ29 (24) – (26) ได
ความเร็วเชิงมุมประมาณ 12.4 เรเดียน/วินาที คิดเปนความถี่ 2 รอบ/วินาที เนื่องจากความถี่ตามธรรมชาติ
นอยกวาความถี่ของแรงที่เกิดจากการระเบิด ลักษณะดังกลาวชวยลดผลกระทบของแรงพลวัตรที่กระทํากับ
โครงสราง
k
(24)
m
24 EI c 12 1
k (25)
h 3 12 4
Ib
(26)
4I c
เมื่อ
ความเร็วเชิงมุมของความถีต่ ามธรรมชาติ เรเดียน/วินาที
k Stiffness ของโครงสราง กิโลนิวตัน/เมตร
m มวลของโครงสราง กิโลกรัม/ตารางเมตร
E โมดูลัสยืดหยุน ของคอนกรีตเสริมเหล็ก กิโลนิวตัน/ตารางเมตร
Ic โมเมนตอนิ เนอรเชียของเสา เมตร4
Ib โมเมนตอนิ เนอเชียของคาน เมตร4
h ความสูงของอาคาร เมตร
อัตราสวนคาโมเมนตอนิ เนอเชียของคานและเสาที่จุดตอ
29
Anil K. Chopra, Dynamics of Structures: Theory and Applications to Earthquake Engineering, Pearson/ Prentice
Hall, 2007, p.45
-38-
การประเมินคา Dynamic Load Factor
การประเมินคา Dynamic Load Factor (DLF) จากคาความเร็วเชิงมุมตามธรรมชาติ 12.5 เรเดียน/
วินาที และความเร็วเชิงมุมของแรงที่เกิดจากการระเบิด 314 เรเดียน/วินาที30 ตามสมการ (27) ไดคา DLF อยู
ในชวง ± 0.04 (ดูรูปที่ 16) ลักษณะดังกลาวแสดงวาแรงพลวัตรที่เกิดจากการระเบิดมีผลกระทบกับโครงสราง
ไมมาก
การประเมินผลกระทบกับอาคารทอระบายน้ําลงลําน้ําเดิมพิจารณาวาการระเบิดหินในบริเวณที่ตั้ง
โครงการสามารถดําเนินการไดโดยควบคุมความเร็วและอัตราเรงของอนุภาคใหอยูในชวงคาที่ปลอดภัย
1
DLF sin t sin t (27)
2
1
เมื่อ
DLF Dynamic Load Factor
ความเร็วเชิงมุมของแรงที่กระทํากับโครงสราง เรเดียน/วินาที
ความเร็วเชิงมุมของความถี่ธรรมชาติ เรเดียน/วินาที
t เวลาใดๆ
0.05
0.04
0.03
0.02
0.01
DLF
0
‐0.01 0 0.1 0.2 0.3 0.4 0.5
‐0.02
‐0.03
‐0.04
‐0.05
Time (t)
30
คํานวณที่ความถี่ของแรงระเบิด 50 รอบ/วินาที
-39-