Professional Documents
Culture Documents
โครงการวิจัย
บทคัดย่อ
นักศึกษาโดยเสนอให้พิจารณาให้ใช้ระบบปิดที่มีการจากัดจานวนรับนักศึกษาใหม่ ปรับปรุงกระบวนการเรียนการ
สอนและการฝึกประสบการณ์วิชาชีพให้เน้นการพัฒนาจิตวิญญาณของความเป็นครูมากขึ้น
2. การใช้ครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่ายังมีปัญหาทั้งในด้านการสรรหา การบรรจุ การมอบหมายงาน
การรักษาครูไว้ในระบบ และการดูแลเมื่อครูเกษียณอายุราชการเพื่อเป็นขวัญกาลังใจ โดยเฉพาะการสรรหาและ
การบรรจุครูที่ไม่ตรงกับความต้องการทั้งปริมาณและสาขาวิชา การใช้ครูไม่ตรงวุฒิการศึกษาและการมีภาระงาน
ด้านธุรการมากเกินไป ในด้านความต้องการจาเป็นในการใช้ครูการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ต้องดาเนินการเร่งด่วนมาก
คือการมีระบบครูพี่เลี้ยงที่ส่งเสริมการปฏิบัติงานของครูการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ปฏิบัติในช่วงแรก (PNI =0.78)
การมอบหมายภาระงานให้กับครูการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างเหมาะสม (PNI = 0.73) และมีระบบติดตามและ
ประเมินผลการปฏิบัติงานครูที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ (PNI = 0.73) การมีระบบบรรจุที่ตรงกับความ
ต้องการของสถานศึกษาและท้องถิ่น (PNI = 0.70) การมีระบบการรับฟังความต้องการและข้อเสนอแนะจากครู
การศึกษาขั้น พื้น ฐาน (PNI = 0.67) ส่ ว นข้อเสนอแนะพบว่ามีการเสนอให้ ยึด หลั กการกระจายอานาจ
การบริหารงานบุคคลสู่เขตพื้นที่การศึกษาและสถานศึกษา การกาหนดเส้นทางความก้าวหน้าในอาชีพครูให้ดิ่งเดี่ยว
และทัดเทียมกับผู้บริหารสถานศึกษา การจัดระบบสนับสนุนการทางานของครู โดยเฉพาะการจัดสรรบุคลากร
สายสนับสนุนเพิ่มเติมในโรงเรียนขนาดเล็กและขนาดกลางเพื่อบรรเทาภาระงานธุรการของครู รวมทั้งพัฒนาระบบ
สวัสดิการและการสร้างขวัญกาลังใจทั้งระหว่างการปฏิบัติงานและหลังเกษียณอายุการทางานเพื่อรักษาครูดีไว้ใน
สถานศึกษาด้วย
3. การพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความต้องการจาเป็น พบว่าการพัฒนาครู
การศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นเรื่องที่มีความต้องการจาเป็นเป็นลาดับแรก (PNI = 0.71) รองลงมา คือ การผลิตครู (PNI
= 0.60) และการใช้ครู (PNI = 0.54) ซึ่งสอดคล้องกับการวิจัยวงล้ออนาคตและการวิจัยเอกสาร แต่การประชุม
สนทนากลุ่มมีความเห็นว่าการพัฒนาครูยังมีปัญหาทั้งในเชิงระบบและรูปแบบการพัฒนาครู แม้ว่าจะมีหน่วยงานที่
เกี่ยวข้องกับการพัฒนาครูประจาการหลายหน่วยงาน ทั้งนี้ ผลการวิเคราะห์ค่าดัชนีความต้องการจาเป็นยังแสดงให้
เห็ นด้วยว่า คุณลั กษณะและสมรรถนะของครูการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ต้องการให้ พัฒ นาเพื่อสอดคล้ องกับความ
ต้องการในอนาคตมีจานวน 12 ด้าน ในจานวนนี้พบว่ามีความต้องการจาเป็นที่จะพัฒนาความรู้ความสามารถด้าน
การวิจัยมากที่สุด โดยเฉพาะการวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ การสอน และการพัฒนาผู้เรียน (PNI = 1.03) ทั้งนี้
ผลการวิจัยเกี่ยวกับข้อเสนอแนะได้ข้อเสนอเชิงนโยบายสาหรับการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานที่สอดคล้องกับ
ความต้องการในอนาคต 12 ข้อ อาทิ การพัฒนาครูให้มีความเชื่อมโยงกับคุณภาพการผลิตบัณฑิตและการพิจารณา
ผลการปฏิบัติงานของครู รวมทั้งเสนอให้คุรุสภาร่วมมือกับสถาบันผลิตครูในการพัฒนาครูให้มีจรรยาบรรณวิชาชีพ
ครูและจิตวิญญาณความเป็นครู (Teacher Spirit) ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจของครูผู้ประกอบวิชาชีพชั้นสูง
ค
Abstract
The objectives of this research were 1) to study the state and problems of the
production, recruitment and utilization, as well as the development of basic education teachers
during B.E. 2546-2556; 2) to study the needs of the production, use, and develop basic
educational teachers during B.E. 2557-2566; and 3) to propose policy concerning the production,
use, and develop basic educational teachers which would be relevant to the future needs. The
researchers employed mix-methods approach using document research, needs assessment
questionnaire, trend analysis, future wheel, and focus group discussions.
Findings could be concluded as follows.
1. The Production of Basic Education Teachers. Document research showed that
there were some problems on supply side; that is, teacher training institutions produced
prospective teachers twice more than the real demand. It was found that each year, about
50,000 graduates were produced while 20,000 teachers were needed to replace retired
teachers. It is noteworthy that the number of new undergraduate students increased about
three times during academic year B.E. 2553-2556 and this situation might as well affect the
quality and employment of graduates. Rajabhat universities, public universities, open
universities, and universities outside the auspice of Ministry of Education had doubled or tripled
the number of new students and it was worth mentioning that private universities had rapidly
increased their number of new students. Interestingly, the number of new undergraduate
students in Rajamangala universities of technology which were mainly responsible for the
production of vocational school teachers remained quite steady. It was also found that early
childhood education, physical education, teaching English, social sciences, and mathematics
were the top five areas which would produce most graduates during the academic year B.E.
2556-2560. In terms of quality, experts in focus group discussions showed their concerns about
teaching skills and teacher spirit of the prospective teachers even though all teacher training
institutions had utilized the 5-year curriculum which followed qualification frameworks of the
Teachers’ Council of Thailand (Kurusapha) and Office of the Higher Education Commission.
Trend analysis of demand for the replacement of retired teachers during B.E. 2558-2567
indicated that, in the year 2567, the most needed fields of study were teaching Thai,
ง
Mathematics, and Social Sciences which include Humanities and Psychology. Results from needs
assessment questionnaire confirmed that monitoring and evaluation system to ensure that
teacher production of all teacher training institutions would have the same standards was most
needed (PNI = 1.01). The second and third most needed were concerned with the quality of
teacher production (PNI = 0.91) and the necessary measures to attract best candidates who
were morale, had good academic achievement, and were inspired to become teachers (PNI =
0.71). Experts from focus group discussions suggested that there should be supply-demand plan
that could monitor teacher production to be relevant to the real needs, closed admission
system should be considered, and the revision of teaching and learning process as well as
professional experience activities in order to better enhance teacher spirit.
2. The Recruitment and Utilization of Basic Education Teachers. It was found that
there still have some problems relating to the recruiting, deploying, utilizing, and retaining of
teachers as well as morale support in job performance and retirement. The main problems
were unfit recruitment and deployment both in terms of quantity and fields of study,
employing out-of-field teachers, and overloaded clerical work of teachers. Needs assessment
study indicated the needs for mentoring system for new teachers (PNI =0.78), suitable job
assignment (PNI = 0.73), national standard monitoring and evaluation system for teacher
performance (PNI = 0.73), recruitment and deployment of teachers responsive to the demand
of local and educational institutions (PNI = 0.70), and participatory system that would
encourage sharing of teachers’ opinions and suggestions (PNI = 0.67). It was also recommended
that the principle of decentralization to educational service areas and educational institutions
should be practiced for personnel administration, progressive career path for teachers
compatible to that of school administrators should be developed, more supportive personnel
to assist school teachers in clerical work should be provided especially in small and middle size
school, and a better welfare system and morale support for in-service and retired teachers
should be developed in order to retain good teachers within the schools.
3. The Development of Basic Education Teachers. According to the results of needs
assessment, it was imperatives to point out that professional development was indicated as
most needed (PNI = 0.71), followed by teacher production (PNI = 0.60) and teacher recruitment
and utilization, and retaining (PNI = 0.54). The result showed strong evidence for the need of
จ
professional development and it was consistent with future wheel study and document
research. However, in the focus group discussions, it was agreed that teacher development still
have problems in terms of system and approaches even though there were many official
organizations responsible for this function. This research also found 12 characteristics and
competencies needed for teachers in the future. Among these, knowledge and competencies in
research that would enhance learning, teaching, and development of students was most
needed (PNI = 1.03). Twelve recommendations for teacher development were also proposed
including a suggestion that the Teachers’ Council of Thailand (Kurusapha) should cooperate
with teaching training institutions in developing professional ethics and teacher spirit, the
components which lay at the heart of professional teachers.
ง
บทสรุปสาหรับผู้บริหาร
โครงการวิ จั ย เรื่ อ ง การศึ ก ษาสภาพและปั ญ หาการผลิ ต การใช้ และการพั ฒ นาครู ก ารศึ ก ษา
ขั้น พื้น ฐานที่ส อดคล้ องกับ ความต้องการในอนาคต ได้รับทุนสนับสนุนจากสานักงานเลขาธิการคุรุส ภา
มีวัตถุประสงค์ 3 ข้อ คือ 1) ศึกษาสภาพและปัญหาการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2) ศึกษาความต้องการในการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานในอนาคตช่วง พ.ศ.2557-
2566 และ 3) จัดทาข้อเสนอเชิงนโยบายด้านการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานที่
สอดคล้องกับความต้องการในอนาคต โดยมีกรอบเวลาในการศึกษาสภาพและปัญหาช่วง พ.ศ.2546-2556
ส่ ว นความต้ อ งการในอนาคตก าหนดในช่ ว ง พ.ศ.2557-2566 การวิ จั ย ครั้ ง นี้ ใ ช้ ก ารวิ จั ย แบบผสมวิ ธี
โดยวัตถุประสงค์ข้อที่ 1 และวัตถุประสงค์ข้อที่ 2 ใช้การวิจัยเอกสาร การประชุมสนทนากลุ่ม (Focus Group
Discussion) ผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานผลิต หน่วยงานใช้ และหน่วยงานพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
จานวน 36 คน และการวิจัยเชิงสารวจโดยใช้แบบสอบถามความต้องการจาเป็น (Needs Assessment) และ
วิเคราะห์ค่าความต้องการจาเป็น (PNI) เกี่ยวกับสภาพและปัญหาการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษา
ขั้น พื้น ฐานในปั จ จุบั น สภาพที่พึงประสงค์ของการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานใน
อนาคตช่วงปี พ.ศ.2557-2566 และความเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะครูในปัจจุบันและอนาคตในช่วง พ.ศ.2566
ส่วนการศึกษาแนวโน้มความต้องการครูและการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐานในอนาคตใช้การวิเคราะห์แนวโน้ม
และความต้องการในอนาคต (Trend Analysis) และการประชุมผู้ทรงคุณวุฒิเพื่อ ทาวงล้ออนาคต (Future
Wheel) โดยมีผู้ทรงคุณวุฒิที่มีความเชี่ยวชาญและผู้ที่ปฏิบัติงานในหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การใช้
และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานเข้าร่วมจานวน 22 คน ส่วนวัตถุประสงค์ข้อที่ 3 จัดทาข้อเสนอเชิง
นโยบายด้านการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานที่สอดคล้องกับความต้องการในอนาคต
โดยการประชุมสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิระดับนโยบายจานวน 17 คน
สาหรับผลการวิจัยสรุปได้ดังนี้
1. สภาพและปัญหาการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
สภาพและปัญหาการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน จากเอกสารของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องรายงานว่า
ปัจจุบันมีสถาบันผลิตครู จานวน 79 แห่ง แบ่งเป็นมหาวิทยาลัยของรัฐ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
มหาวิทยาลัยไม่จากัดรับ มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาวิทยาลัยนอกสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ และมหาวิทยาลัย
เอกชน โดยในด้านปริมาณมีข้อสังเกตว่าจานวนนักศึกษาใหม่ระดับปริญญาตรีเพิ่ม ขึ้นประมาณสองเท่าตั้งแต่ปี
การศึกษา 2553-2556 ซึ่งเมื่อพิจารณาจากจานวนนักศึกษาใหม่แล้วจะเห็นว่า สถาบันผลิตครูรับนักศึกษาใหม่
เกินความต้องการทุกปีโดยเฉพาะอย่างยิ่งตั้งแต่ปีการศึกษา 2553 แนวโน้มจะผลิตบัณฑิตครูเกินความต้องการ
มากกว่าหนึ่งเท่าตัว (ความต้องการครูประมาณปีละสองหมื่นคน) วิชาชีพครูน่าจะเป็นวิชาชีพชั้นสูงวิชาชีพ
เดียวที่ไม่มีการควบคุมปริมาณการผลิตทาให้ผลิตบัณฑิตครูเกินเป็นจานวนมากซึ่งย่อมส่งผลต่อคุณภาพของ
บัณฑิตครูและผู้เข้าสู่วงวิชาชีพครูด้วย อย่างไรก็ตามเมือ่ พิจารณาข้อมูลการรับนักศึกษาใหม่ของสถาบันผลิตครู
ประเภทต่างๆ ในช่วงปีการศึกษา 2551- 2555 มีข้อสังเกตว่าสถาบันการผลิตครูรับนักศึกษาใหม่เพิ่มขึ้นกว่า
จ
สองหรือสามเท่า ยกเว้นมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลซึ่งรับผิดชอบการผลิตครูอาชีวศึกษาเป็นหลักมี
จานวนการรับนักศึกษาน้อยมากเพียง 1,877 คน ซึ่งเป็นจานวนไม่มากนักและมีจานวนเกือบคงที่ และน่า
สังเกตว่าสถาบันผลิตครูที่มีแนวโน้มเพิ่มจานวนรับนักศึกษาใหม่อย่างรวดเร็ว คือ มหาวิทยาลัยเอกชน ในด้าน
สาขาวิชามีผลสารวจของสานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาที่พบว่าสาขาวิชาที่คาดว่าจะมีนักศึกษาสาเร็จ
การศึกษาตั้งแต่ปี 2556-2560 จานวนมากที่สุดห้าอันดับแรก คือ การศึกษาปฐมวัย พลศึกษา ภาษาอังกฤษ
สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ ส่วนในด้านคุณภาพการเรียนการสอนและการผลิตบัณฑิต ผลการประชุมสนทนา
กลุ่มมีความเห็นตรงกันว่าสถาบันผลิตครูได้ปรับหลักสูตรตามกรอบมาตรฐานหลักสูตรและมาตรฐานวิชาชีพ
ตามที่คณะกรรมการคุรุสภาและคณะกรรมการการอุดมศึกษากาหนด แต่การผลิตครูยังมีประเด็นเรื่องคุณภาพ
โดยเฉพาะการพัฒนาทักษะการสอน และการพัฒนาจิตวิญญาณความเป็นครู นอกจากนี้ยังมี ประเด็นเรื่อง
คุณสมบัติและประสบการณ์วิชาชีพของคณาจารย์ผู้สอนในสถาบันผลิตครู และยัง คงมีปัญหาที่เกิดขึ้นอย่าง
ต่ อ เนื่ อ งยาวนานคื อ การที่ ส ถาบั น ผลิ ต ครู ยั ง ไม่ ส ามารถตอบสนองความต้ อ งการในการใช้ ค รู ไ ด้ อ ย่ า งมี
ประสิทธิภาพ ที่น่าสนใจพบข้อมูลการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุครูผู้ช่วยว่ามีจานวนผู้สมัครเกินกว่าอัตราที่ต้องการ
บรรจุ เกือบทุ กสาขาวิช าแม้แต่ส าขาวิช าที่ มีความขาดแคลนครู เช่น คณิตศาสตร์ แต่มีผู้ ส อบผ่ านไม่มาก
โดยเฉพาะการสอบบรรจุครูสังกัดองค์ก ารปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจเป็นการสะท้อนถึง
คุณภาพของสถาบันผลิตครู
สภาพและปัญหาการใช้ครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน สานักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษา (สานักงาน ก.ค.ศ.) กาหนดอัตรากาลังในสถานศึกษาสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ 2 รูปแบบ คือ
เกณฑ์ ม าตรฐานอั ต ราก าลั ง ในสถานศึก ษาส าหรั บ สถานศึ ก ษาสั งกั ด ส านั ก งานคณะกรรมการการศึ ก ษา
ขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) และสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) และกรอบอัตรากาลังในสถานศึก ษาที่
มีการจัดการศึกษาลักษณะพิเศษ เช่น สถานศึกษาสังกัดสานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษา
ตามอัธยาศัย (กศน.) ส่วนการสรรหาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา ก.ค.ศ. กาหนดหลักเกณฑ์และ
วิธีการสรรหา 2 รูปแบบ ได้แก่ การสอบแข่งขัน เพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษาตาแหน่งครูผู้ช่วย และการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้งเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครู
และบุคลากรทางการศึกษาตาแหน่งครูผู้ช่วยในกรณีที่มีความจาเป็นหรือมีเหตุพิเศษ อย่างไรก็ตามผลการ
ประชุมสนทนากลุ่มมีความเห็นตรงกันว่า ยังมีปัญหาการบรรจุครูไม่ตรงความต้องการการใช้ครูทั้งด้านปริมาณ
และคุณภาพ ครูสอนไม่ตรงวุฒิ ไม่ตรงสาขาวิชาที่สาเร็จการศึกษา ครูมีภาระงานมาก รวมทั้งงานที่ไม่เกี่ยวกับ
การเรียนการสอน ผู้ทรงคุณวุฒิส่วนหนึ่งเห็นว่าการดาเนินการบรรจุและแต่งตั้งยังมีความล่าช้า รวมทั้งยังมี
ปัญหาการขอโอนย้ายกลับสู่ถิ่นฐานของครู และมีประเด็นเรื่องเส้นทางอาชีพที่ควรให้ครูมีความก้าวหน้าเท่า
เทียมกับผู้บริหารเพื่อจูงใจมิให้ครูลาไปศึกษาต่อเพื่อย้ายไปทาหน้าที่ผู้บริหารสถานศึกษา กับการที่ ครูมักมี
ภาระงานที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอน เมื่อพิจารณาการใช้ครูของสังกัดต่างๆ พบว่ามีปัญหามากในส่วนครู
สถานศึ ก ษาอาชีว ศึ ก ษาที่ ไ ม่ ส ามารถสรรหาครู ที่ มี วุ ฒิ ต รงกั บวิ ช าที่ ส อน ท าให้ บ างครั้ ง จ าเป็ น ต้ อ งใช้ ผู้ มี
ประสบการณ์มาสอนแทน ส่วนครูสถานศึกษาเอกชนยังมีประเด็นเรื่องสวัสดิการทั้งระหว่างและหลังปฏิบัติงาน
ฉ
สภาพและปัญหาการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน การพัฒนาศักยภาพและความก้าวหน้าของ
ข้าราชการครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาเป็นนโยบายสาคัญของกระทรวงศึกษาธิการ ปัจจุบันมี
หน่วยงานที่เกี่ย วข้องกั บ การพัฒนาครูประจาการหลายหน่ ว ยงาน นับตั้งแต่สถาบันพัฒนาและส่ งเสริมครู
คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา (สคบศ.) ซึง่ เป็นหน่วยงานกลาง สานักงานคณะกรรมการข้าราชการครู
และบุ คลากรทางการศึกษา ส านั กพัฒ นาครูและบุคลากรการศึกษาขั้นพื้นฐาน ส านักงานคณะกรรมการ
การศึก ษาขั้น พื้ น ฐาน ส านั ก พัฒ นาสมรรถนะครู แ ละบุ ค ลากรอาชี ว ศึ กษา ส านั กงานคณะกรรมการการ
อาชีวศึกษา สานักงานการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) ปัญหาการพัฒนาครูการศึกษา
ขั้ น พื้ น ฐานมี ปั ญ หาเชิ ง ระบบที่ ส าคั ญ คื อ การพั ฒ นาครู ไ ม่ ยึ ด สมรรถนะ เน้ น ทฤษฎี ม ากกว่ า ปฏิ บั ติ
ขาดนวัตกรรมการพัฒนาที่ส่งผลต่อการพัฒนาสู่มืออาชีพ ไม่มีระบบการพัฒนาครูใหม่โดยเฉพาะครูผู้ช่วย
ขาดระบบเชื่อมโยงระหว่างสานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา คุรุสภา สานักงานคณะกรรมการการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน คณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาและต้นสังกัดอื่น อีกทั้ง ในการประชุม
สนทนากลุ่มยังเห็นตรงกันว่าปัญหาการพัฒนาครูมีสาเหตุส่วนหนึ่งสืบเนื่องมาจากการผลิตครูไม่ตรงกับความ
ต้องการทั้งปริมาณและคุณภาพ และการใช้ครูไม่ตรงวุฒิ พร้อมทั้งเสนอให้มีการส่งเสริมระบบการพัฒนาครู
ใหม่ และให้การพัฒนาครูมีความเชื่อมโยงกับการพัฒนาคุณภาพผู้เรียนโดยตรง
2. ความต้องการในการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานในอนาคต
ความต้องการในการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐานในอนาคต ผลการวิเคราะห์ความต้องการครูในแต่
ละสาขาวิช าเพื่อทดแทนอัตราการเกษีย ณอายุราชการ (Trend Analysis) ระหว่างปี พ.ศ.2558-2567
เมื่อจาแนกตามสาขาวิชา พบว่า สาขาวิชาที่มีแนวโน้มต้องการครูมากที่สุดในปี พ.ศ.2567 คือ สาขาวิชา
ภาษาไทย จานวน 5,244 คน รองลงมาคือ สาขาวิชาคณิตศาสตร์ สังคมศึกษารวมมนุษยศาสตร์และจิตวิทยา
และประถมศึกษา (4,504 3,819 และ 3,743 คน ตามลาดับ) เมื่อพิจารณาระหว่างความต้องการครูและการ
ผลิตครู พบว่าสถาบันการศึกษาผลิตครูในสาขาวิชาส่วนใหญ่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยสาขาวิชาที่ มี
แนวโน้มขาดแคลนครูมากที่สุดใน พ.ศ.2567 คือ สาขาวิชาประถมศึกษา ผลิตขาดจานวน 3,365 คน
รองลงมาคือ สาขาวิชาภาษาไทย สังคมศึกษารวมมนุษยศาสตร์และจิตวิทยา การงานและพื้นฐานอาชีพ และ
ภาษาอังกฤษ (ผลิตขาดจานวน 3,530 1,710 1,554 และ 1,231 คน ตามลาดับ ) สาหรับสาขาวิชาที่
สถาบัน การศึกษาผลิ ตครู มากกว่าความต้องการทดแทนการเกษียณอายุราชการพบว่า มี 3 สาขาวิชา คือ
สาขาวิชาปฐมวัย สุขศึกษา/พลศึกษา และวิทยาศาสตร์ (ผลิตเกิน 1,467 1,002 และ 692 คน ตามลาดับ)
ผลการวิจัยจากแบบสอบถามพบว่า ความต้องการจาเป็นในการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ต้อง
ดาเนินการเร่งด่วน (ค่าดัชนีความต้องการจาเป็นไม่ต่ากว่า 0.65) มีจานวน 5 ข้อ จาก 10 ข้อ เรียงลาดับสาคัญ
ความต้องการจาเป็นได้ ดังนี้ ลาดับที่ 1 การมีระบบติดตามและประเมินผลการผลิตครูที่เป็นมาตรฐานเดียวกัน
ทั้งประเทศ (PNI = 1.01) ลาดับที่ 2 การผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐานที่สอดคล้องกับความต้องการในเชิง
คุณภาพ (PNI = 0.91) ลาดับที่ 3 มีสองประเด็นที่มีค่าความต้องการจาเป็นเท่ากัน คือ รัฐบาลมีนโยบายใน
การผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างชัดเจน (National Goal) (PNI = 0.71) ระบบการผลิตครูสามารถดึงดูด
ช
คนดี คนเก่ ง มี ใ จรั ก วิ ช าชี พ ครู มาเป็ น ครู ก ารศึก ษาขั้น พื้ น ฐาน (PNI = 0.71) และล าดั บ ที่ 5
กระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายในการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างชัดเจน (PNI = 0.70)
ความต้องการในการใช้ครูการศึกษาขั้นพื้นฐานในอนาคต พบว่ามีการสารวจความต้องการของครู
ในระยะสั้นและระยะยาวไว้ ในหน่วยงานต่างๆ อาทิ ข้อมูลจากสานักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและ
บุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) ยังเห็นถึงความสาคัญในการเตรียมครูรุ่นใหม่เพื่อทดแทนครูที่ขาดแคลนจนถึง
ปี พ.ศ.2570 ซึ่งได้มีการสารวจไว้ว่า จะมีจานวนข้ าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาสายงานการสอนที่
ครบเกษียณอายุราชการใน 15 ปี ระหว่างปี พ.ศ.2556-2570 จะมีครูเกษียณทั้งสิ้น 288,233 คน จากข้อมูล
ของ ก.ค.ศ. ได้สารวจจานวนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาสายงานการสอนที่จะครบเกษียณอายุ
ราชการจนถึ ง ปี 2570 ที่ สั ง กั ด ส านั ก งานคณะกรรมการการศึ ก ษาขั้ นพื้ น ฐานว่ า มี ทั้ ง สิ้ น 270,332 คน
นอกจากนี้ ยังมีการสารวจความต้องการครูเพื่อทดแทนครูเกษียณอายุราชการ 6 ปีข้างหน้า (2557-2562)
ทั้งสิ้น 109,245 คน ของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานแยกตามปีการศึกษา ดังนี้ ปี 2557
จานวน 9,910 คน ปี 2558 จานวน 12,111 คน ปี 2559 จานวน 17,621 คน ปี 2560 จานวน 21,961 คน
ปี 2561 จานวน 22,999 คน และปี 2562 จานวน 24,643 คน โดยแยกตามสาขาวิชาได้ว่า คณิตศาสตร์
14,399 คน ภาษาอังกฤษ 13,852 คน ภาษาไทย 11,454 คน สังคมศึกษา 7,487 คน วิทยาศาสตร์ศึกษา
7,462 คน ปฐมวัย 6,918 คน คอมพิวเตอร์ 6,160 คน ศิลปศึกษา 4,162 คน พลศึกษา 3,889 คน ดนตรี/
ดุริยางคศิลป์ 3,695 คน ประถมศึกษา 3,393 คน จิ ตวิทยาและการแนะแนว 2,831 คน นาฏศิลป์ 2,831 คน
ฟิสิกส์ 2,676 คน สุขศึกษา 2,586 คน การงานพื้นฐานอาชีพ 2,411 คน ชีววิทยา 2,271 คน เคมี 1,446 คน
บรรณารักษ์ 1,443 คน คหกรรมศาสตร์ 1,137 คน อุตสาหกรรมศิลป์ 1,104 คน การเงิน/บัญชี/ธุรกิจ 1,093
คน และโสตทัศนศึกษา 483 คน
ผลการวิจัย จากแบบสอบถามพบว่า ความต้องการจาเป็นในการใช้ครูการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ต้อง
ดาเนินการเร่งด่วน (ค่าดัชนีความต้องการจาเป็นไม่ต่ากว่า 0.65) มีจานวน 5 ข้อ จาก 10 ข้อ เรียงลาดับสาคัญ
ความต้องการจาเป็นได้ ดังนี้ ลาดับที่ 1 สถาบันและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีระบบครูพี่เลี้ยงที่ส่งเสริมการ
ปฏิบัติงานของครูการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ปฏิบัติในช่วงแรก (PNI =0.78) ลาดับที่ 2 มีสองประเด็นที่มีค่าความ
ต้องการจาเป็นเท่ากัน คือ การมอบหมายภาระงานให้ครูการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างเหมาะสม (PNI = 0.73)
และมีระบบติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานครูที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ (PNI = 0.73) ลาดับ
ที่ 4 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีระบบจัดสรรครูการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ปฏิบัติหน้าที่ในท้องที่ที่เหมาะสม เช่น การ
บรรจุที่ตรงกับความต้องการของท้องถิ่น (PNI = 0.70) ลาดับที่ 5 สถาบันและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีระบบ
การรับฟังความต้องการและข้อเสนอแนะจากครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน (PNI = 0.67)
ความต้องการในการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานในอนาคต ผลการวิจัยด้วยวิธีการวงล้ออนาคต
และแบบสอบถามได้ผลตรงกันว่าการพัฒนาครูมีความสาคัญมาก โดยเฉพาะผลการวิจัยจากแบบสอบถามที่
พบว่า การพัฒ นาครู การศึกษาขั้น พื้นฐานเป็นเรื่องที่มีความต้องการจาเป็นเป็นล าดับแรก (ค่า ดัช นีความ
ต้องการจาเป็น หรือ PNI = 0.71) รองลงมา คือ การผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน (PNI = 0.60) และการใช้ครู
การศึกษาขั้นพื้นฐาน (PNI = 0.54) ข้อที่เป็นความต้องการจาเป็นในการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานระดับ
ซ
ส่วนข้อเสนอแนะสาหรับคุรุสภาในด้านการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน เสนอว่าในฐานะที่คุรุสภาเป็น
สภาวิชาชีพ ทีม่ ีบทบาทในการทานุบารุงให้วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพชั้นสูงให้เป็นที่ยอมรับของสังคม ควรกากับให้
การผลิตครูตรงกับความต้องการทั้งปริมาณและคุณภาพ มิให้สถาบันผลิตครูผลิตตามความต้องการที่ทาให้เกิด
สภาพของครูเกินและครูขาดในเวลาเดียวกัน กาหนดมาตรฐานวิชาชีพและมาตรฐานวิชาการร่วมกับ สานักงาน
คณะกรรมการการอุดมศึกษา พิจารณาปรับเปลี่ยนการออกใบอนุญาตประกอบวิช าชีพครูจากการรับรอง
หลักสูตรเป็นการออกใบอนุญ าตประกอบวิชาชีพครูจากผลการทดสอบและประเมิน สมรรถนะของบัณฑิตครู
รวมทั้ ง พิ จ ารณาแบ่ ง ประเภทของใบอนุ ญ าตประกอบวิ ช าชี พ ครู ใ ห้ มี ค วามเฉพาะ เช่ น ครู ป ฐมวั ย และ
ครูประถมศึกษา เป็นต้น และควรใช้กลไกการต่อใบประกอบวิชาชีพครู ให้ได้ครูที่มีคุณภาพโดยพัฒนาระบบให้
เชื่อมโยงกับการปฏิบัติงานตามมาตรฐานที่กาหนดรวมทั้งการปฏิบัติตามจรรยาบรรณวิชาชีพครู การใช้ครู และ
การพัฒนาครู ในด้านการใช้ครู เสนอให้คุรุสภาร่ว มกับหน่วยงานต้นสังกัด ติดตามประเมิน การปฏิบัติตาม
มาตรฐานการปฏิบัติงานครูและจรรยาบรรณวิชาชีพ และควรนามาตรฐานการปฏิบัติงานครูและจรรยาบรรณ
วิชาชีพครูที่คุรุส ภากาหนดมาใช้เป็นเกณฑ์ในการประเมินการปฏิบัติงานครูเพื่อใช้ในการพิจารณาความดี
ความชอบ และการเลื่อนวิทยฐานะครู ส่วนด้านการพัฒนาครูนั้น เห็นว่าคุรุสภาควรทาหน้าที่หลักในการพัฒนา
ครูเพื่อให้เป็นวิชาชีพชั้นสูงอย่างแท้จริง แต่การพัฒนาตามมาตรฐานการปฏิบัติงานสามารถดาเนินการได้โดย
ต้นสังกัด ภาระหน้าที่ของคุรุสภาคือ การพัฒนาครูให้มีจรรยาบรรณวิชาชีพครูโดยเฉพาะ “จิตวิญญาณความ
เป็นครู” ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจของครูผู้ประกอบวิชาชีพชั้นสูง โดยคุรุสภาควรร่วมมือกับสถาบันอุดมศึกษาและ
ฐ
สารบัญ
หน้า
บทคัดย่อภาษาไทย ก
บทคัดย่อภาษาอังกฤษ ค
บทสรุปสาหรับผู้บริหาร ง
สารบัญ ฐ
สารบัญตาราง ฒ
สารบัญภาพ ถ
สารบัญแผนภูมิ ท
บทที่ 1 บทนา…………………………………………………………………………………………………………………. 1
วัตถุประสงค์การวิจัย......................................................................................................... 2
คาจากัดความ.................................................................................................................... 2
ขอบเขตการวิจัย................................................................................................................ 3
ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ............................................................................................... 4
บทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง……………………………………………………………………………. 5
ตอนที่ 1 ความเป็นมาของการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูในประเทศไทย................... 6
1. การผลิตครูในประเทศไทย…………………………………………………………………… 6
2. การใช้ครูในประเทศไทย................................................................................. 10
3. การพัฒนาครูในประเทศไทย.......................................................................... 14
ตอนที่ 2 นโยบายการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน....................... 18
1. นโยบายการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน....................................................... 18
2. นโยบายการใช้ครูการขั้นพื้นฐาน.................................................................... 32
3. นโยบายการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน.................................................... 62
ตอนที่ 3 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน......................................................................................................... 63
ตอนที่ 4 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน......................................................................................................... 90
1. หน่วยงานผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน.......................................................... 90
2. หน่วยงานใช้ครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน............................................................. 90
3. หน่วยงานพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน...................................................... 100
ตอนที่ 5 วงล้ออนาคต..................................................................................................... 101
ตอนที่ 6 การประมาณความต้องการในอนาคต............................................................... 102
ฑ
สารบัญตาราง
หน้า
ตารางที่ 2.1 ผู้ที่ได้รับใบประกอบวิชาชีพทางการศึกษาจาแนกตามสังกัด…………………………………… 14
ตารางที่ 2.2 การจัดการศึกษาของท้องถิ่นแบ่งกลุ่มจัดหวัด................................................................ 60
ตารางที่ 2.3 มาตรฐานหลักสูตร......................................................................................................... 82
ตารางที่ 2.4 มาตรฐานการผลิต…………………………………………………………………………………………….. 85
ตารางที่ 2.5 มาตรฐานบัณฑิต………………………………………………………………………………………………. 88
ตารางที่ 2.6 จานวนนักศึกษาเข้าใหม่ระดับปริญญาตรี สาขาด้านครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์
ปีการศึกษา 2551-2556................................................................................................. 90
ตารางที่ 4.1 การวิเคราะห์โครงสร้างหลักสูตรผลิตครูประเภทสามัญศึกษาและประเภทอาชีวศึกษา 134
ตารางที่ 4.2 จานวนนักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาด้านครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ปีการศึกษา
2551-2556 จาแนกตามประเภทสถาบัน............................................................. 136
ตารางที่ 4.3 จานวนนักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาด้านครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ปีการศึกษา
2551-2556 จาแนกตามสถาบันแต่ละประเภท............................................................. 137
ตารางที่ 4.4 จานวนนักศึกษาเข้าใหม่ระดับปริญญาตรี สาขาด้านครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์
ตามสาขาวิชา ปีการศึกษา 2551-2555........................................................................ 140
ตารางที่ 4.5 จานวนนักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาด้านครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ จาแนก
ตามสาขาวิชา ปีการศึกษา 2551-2555........................................................................ 143
ตารางที่ 4.6 จานวนนักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาด้านครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ จาแนกตาม
สาขาวิชา ปีการศึกษา 2551-2555 ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล………………… 164
ตารางที่ 4.7 จานวนนักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาธุรกิจและคอมพิวเตอร์ศึกษา
และคหกรรมศาสตรศึกษา คณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์………………. 167
ตารางที่ 4.8 จานวนผู้สาเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ปีการศึกษา
2551-2555 จาแนกตามประเภทสถาบัน………………………………………………………………. 169
ตารางที่ 4.9 จานวนนักศึกษาใหม่และผู้สาเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีสาขาครุศาสตร์/
ศึกษาศาสตร์ ปีการศึกษา 2551-2555 จาแนกตามประเภทสถาบัน……………………...... 170
ตารางที่ 4.10 จานวนความต้องการครู พ.ศ.2553-2567……………………………................................. 176
ตารางที่ 4.11 จานวนผู้อานวยการโรงเรียน รองผู้อานวยการโรงเรียน และครูผู้สอน สังกัด
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นฐานจาแนกตามวุฒิการศึกษาปีการศึกษา
2552-2556…………………………………………………………………………………………………… 182
ตารางที่ 4.12 ความต้องการจาเป็นของการใช้ครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน……………………………………….. 183
ณ
สารบัญตาราง (ต่อ)
หน้า
ตารางที่ 5.1 บัญชีเงินเดือนขั้นต่าขั้นสูงของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาที่มีใบประกอบ
วิชาชีพ แนบท้ายพระราชบัญญัติเงินเดือน เงินวิทยฐานะ
และเงินประจาตาแหน่งข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับ 2) พ.ศ.
2554………………………………………………………………………………………………………………. 189
ตารางที่ 5.2 บัญชีอัตราเงินวิทยฐานะของข้าราชการครูและบุคลาการทางการศึกษาแนบท้าย
พระราชบัญญัติเงินเดือน เงินวิทยฐานะ และเงินประจาตาแหน่งข้าราชการครูและ
บุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2554 บัญชีอัตราเงินวิทยฐานะสาหรับ
ตาแหน่งครูที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ…………………………………………………………….. 189
ตารางที่ 5.3 บัญชีอัตราเงินวิทยฐานะสาหรับตาแหน่งศึกษานิเทศก์ที่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ 189
ตารางที่ 5.4 บัญชีอัตราเงินวิทยฐานะสาหรับตาแหน่งผู้บริหารสถานศึกษาที่มีใบอนุญาตประกอบ
วิชาชีพ………………………………………………………………………………………………………….. 190
ตารางที่ 5.5 บัญชีอัตราเงินวิทยฐานะสาหรับตาแหน่งที่เรียกชื่ออย่างอื่นตามที่ ก.ค.ศ. กาหนด….. 190
ตารางที่ 5.6 จานวนผู้ประกอบวิชาชีพ “ครู” จาแนกตามสังกัด และคุณวุฒิระดับปริญญา………… 192
ตารางที่ 5.7 จานวนผู้ขออนุญาตให้ประกอบวิชาชีพ “ครู” โดยไม่มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
จาแนกตามสังกัด และคุณวุฒิระดับปริญญา………………………………………………………… 193
ตารางที่ 5.8 จานวนผู้ประกอบวิชาชีพ “ครู” จาแนกตามสังกัดและช่วงอายุ………………………………. 194
ตารางที่ 5.9 จานวนผู้เรียนในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน จาแนกตามระดับการศึกษา
ปีการศึกษา พ.ศ.2556………………………………………………………………………………………. 194
ตารางที่ 5.10 จานวนนักเรียนในระบบโรงเรียน จาแนกตามระดับการศึกษา ประเภทการศึกษา
และชั้นเรียน ปีการศึกษา พ.ศ.2556…………………………………………………………………. 195
ตารางที่ 5.11 จานวนผู้เรียนที่ได้รับการศึกษาประเภทในระบบโรงเรียนและนอกระบบโรงเรียน
จาแนกตามสังกัด และระดับการศึกษา ปีการศึกษา พ.ศ.2556…………………………….. 196
ตารางที่ 5.12 จานวนห้องเรียนและนักเรียนของหน่วยงานที่สังกัดสานักงานคณะกรรมการ
การศึกษาขั้นพื้นฐาน………………………………………………………………………………………… 198
ตารางที่ 5.13 จานวนสถานศึกษา ครู/คณาจารย์และนักศึกษา นอกระบบโรงเรียน จาแนกตาม
สังกัดในกรุงเทพมหานครและส่วนภูมิภาค ปีการศึกษา 2556……………………………… 200
ตารางที่ 5.14 จานวนนักเรียนของโรงเรียนในสังกัดสานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา:
โรงเรียนสาธิตมหาวิทยาลัย………………………………………………………………………………… 201
ตารางที่ 5.15 จานวนโรงเรียน นักเรียน และครูในสังกัดสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษา
เอกชน…………………………………………………................................................................. 202
ด
สารบัญตาราง (ต่อ)
หน้า
ตารางที่ 5.16 จานวนนักเรียน-นักศึกษา ปีการศึกษา 2555…………………………………………………. 205
ตารางที่ 5.17 จานวนนักเรียน นักศึกษาประเภทอาชีวศึกษา ในสถานศึกษาสังกัด
กระทรวงศึกษาธิการในระบบโรงเรียน จาแนกตามหลักสูตร ประเภทวิชาสังกัดและ
ชั้นปีการศึกษา 2556 (เฉพาะระดับ ปวช.)……………………………………………………….. 205
ตารางที่ 5.18 อัตราข้าราชการพลเรือนในส่วนกลางจาแนกตามระดับตาแหน่ง………………………….. 208
ตารางที่ 5.19 อัตราข้าราชการพลเรือนในสถานศึกษา (บุคลากรทางการศึกษา)……………………….. 208
ตารางที่ 5.20 จานวนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาจาแนกตามวิทยฐานะ………………… 209
ตารางที่ 5.21 สรุปจานวนครูสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นปีการศึกษา 2556…….. 210
ตารางที่ 5.22 จานวนห้องเรียนและนักเรียนของกรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ปีการศึกษา 2556……………………………………………………………………………………………. 210
ตารางที่ 5.23 จานวนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาสายงานการสอนที่ครบเกษียณอายุ
ราชการใน 15 ปี ระหว่างปีพ.ศ.2556-2570………………………………………………………. 211
ตารางที่ 5.24 จานวนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาสายงานการสอนที่จะครบ
เกษียณอายุราชการจนถึงปี 2570………………………………………………………………………. 211
ตารางที่ 5.25 จานวนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาสายงานการสอนที่จะครบ
เกษียณอายุราชการจนถึงปี 2570………………………………………………………………………. 213
ตารางที่ 5.26 ความต้องการจาเป็นของการใช้ครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน……………………………………… 214
ตารางที่ 6.1 จานวนครูและบุคลากรการศึกษาขั้นพื้นฐานได้รับการพัฒนาด้านการวัดผลทาง
การศึกษา ระหว่างวันที่ 15 สิงหาคม-28 กันยายน 2557……………………………………….. 227
ตารางที่ 6.2 ความต้องการจาเป็นด้านการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานจาแนกเป็นรายข้อ………… 237
ตารางที่ 6.3 ความต้องการจาเป็นในการพัฒนาคุณลักษณะและสมรรถนะของครูการศึกษา
ขั้นพื้นฐานที่สอดคล้องกับความต้องการในอนาคต………………………………………………… 239
ตารางที่ 7.1 สรุปจานวนนักศึกษาเข้าใหม่ในหลักสูตรปริญญาตรี สาขาครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์
ปีการศึกษา 2551-2556 จาแนกตามสังกัด…………………………………………………………… 251
ตารางที่ 7.2 สาขาวิชาที่มีนักศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาวิชาด้านครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ จานวน
มากที่สุด 5 อันดับแรกในระดับปริญญา จาแนกตามสาขาวิชา ปีการศึกษา 2551-2556 252
ตารางที่ 7.3 จานวนข้าราชการครูสังกัดกรุงเทพมหานคร ปีการศึกษา 2546-2557…………………….. 258
ตารางที่ 7.4 ความต้องการจาเป็นของการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน……… 263
ตารางที่ 7.5 ความต้องการจาเป็นของการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน…………………………………… 265
ต
สารบัญตาราง (ต่อ)
หน้า
ตารางที่ 7.6 จานวนผู้สมัครสอบคัดเลือกตาแหน่งครูผู้ช่วยและอัตราว่าง ปี พ.ศ.2557………………… 272
ตารางที่ 7.7 สถิติจานวนผู้ได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษาจาแนกตามสังกัด…………. 275
ถ
สารบัญภาพ
หน้า
ภาพที่ 2.1 ระบบการผลิตครูและบุคลากรทางการศึกษา................................................................... 19
ภาพที่ 2.2 การแบ่งส่วนราชการของงานอาชีวศึกษา………………………………………………………………… 97
ภาพที่ 4.1 ประมาณการผู้สาเร็จการศึกษาคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ในระยะ 5 ปี ปีการศึกษา
2556-2560……………………………………………………………………………………………………. 171
ภาพที่ 4.2 จานวนนักศึกษาคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ที่คาดว่าจะสาเร็จการศึกษาสาขาวิชา 20
อันดับสูงสุด(50 กลุ่มสาขาวิชา) ตั้งแต่ปี 2556-2560……………………………………………… 172
ภาพที่ 4.3 ความต้องการครูเพื่อทดแทนครูเกษียณอายุราชการ 6 ปีข้างหน้า ปีการศึกษา 2557-
2562 ของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน…………………………………………. 173
ภาพที่ 4.4 ความต้องการครูเพื่อทดแทนครูเกษียณอายุราชการ 6 ปีข้างหน้า ปีการศึกษา 2557-
2562 ของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน แยกตามสาขาวิชา……………… 174
ภาพที่ 4.5 ความต้องการครูรายสาขาวิชาที่มีในปัจจุบัน สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา…. 174
ท
สารบัญแผนภูมิ
หน้า
แผนภูมทิ ี่ 6.1 แสดงปัญหาของการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาระดับการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน…………………………………………………………………………………………………… 235
แผนภูมิที่ 6.2 แนวคิดในการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน………………………………………………. 242
บทที่ 1
บทนา
ความเป็นมาและความสาคัญของปัญหา
“ครู ” เป็ น วิช าชีพที่มีความส าคัญในการสร้างและเตรียมประชาชนของชาติให้ มีคุณภาพและ
มีศักยภาพสูง สามารถแข่งขันกับนานาประเทศต้องอาศัยกระบวนการจัดการศึกษาที่เข้มแข็งและมีคุณภาพ
ที่สาคัญคือ การเตรียมการและมีกระบวนการในการผลิตครูที่มีคุณภาพเพื่อให้ได้ครูที่มีความรู้คู่คุณธรรม ซึ่งครู
เป็นปัจจัยสาคัญสาหรับทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับการศึกษา เป็นหัวใจและวิญญาณของระบบการศึกษาที่จะเป็น
ตั ว ชี้ วั ด ว่ า ระดั บ คุ ณ ภาพการศึ ก ษาจะเป็ น ไปในทิ ศ ทางใด (วิ เ ศ ษ ชิ ณ วงศ์ , ออนไลน์ ) ดั ง ปรากฏใน
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 52 ที่ระบุไว้ว่า “ให้กระทรวงส่งเสริมให้มีระบบ
กระบวนการผลิต การพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่เหมาะสม
กับการเป็นวิชาชีพชั้นสูง โดยการกากับและประสานให้สถาบันที่ทาหน้าที่ผลิตและพัฒนาครู คณาจารย์
รวมทั้งบุคลากรทางการศึกษาให้มีความพร้อมและมีความเข้มแข็งในการเตรียมบุคลากรใหม่และการพัฒนา
บุคลากรประจาการอย่างต่อเนื่อง รัฐพึงจัดสรรงบประมาณและจัดตั้งกองทุนพัฒนาครู คณาจารย์ และ
บุคลากรทางการศึกษาอย่างเพียงพอ” (สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา อ้างถึงในวิเศษ ชิณวงศ์ , ออนไลน์)
แต่อย่างไรก็ตาม จากการศึกษาปัญหาและผลกระทบของการผลิตครูในประเทศไทยตั้งแต่อดีตจนปัจจุบัน
พบว่า การเปลี่ยนแปลงสภาพสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองการปกครองของประเทศไทยที่ผ่านมา ส่งผล
กระทบต่อการผลิตครูในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ยุค ได้แก่ 1) ยุคก่อนการปฏิรูป
การฝึกหัดครู ในระยะแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 2-5 (พ.ศ.2510-2529) มีการเพิ่มจานวน
ประชากรอย่างรวดเร็ว ทาให้รัฐต้องเร่งรัดผลิตครู ส่งผลให้มีการจัดตั้งสถาบันการผลิตครูจานวนมาก มีการ
เพิ่มจานวนหลักสูตร กระบวนการคัดเลือกนักเรียนเข้าเรียนครูเน้นปริมาณมากกว่าคุณภาพ ในที่สุดก่อให้เกิด
ปัญหาต่อเนื่องคือ มีการผลิตครูจานวนมากและคุณภาพของครูใหม่ลดลง 2) ยุคก่อนการปฏิรูปการฝึกหัดครู
ในระยะแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 6 (พ.ศ.2530-2534) ความต้องการของครูลดลง แต่ยังมีการ
ผลิตครูซ้าซ้อน ขาดการควบคุมมาตรฐาน ครูบางสาขาขาดแคลน บางสาขาเกินความต้องการ การบรรจุและ
การใช้ครู ไม่ตรงคุณวุฒิ ส่ งผลให้ ครู จานวนมากตกงาน ครูมีปัญหาทางเศรษฐกิจ ในที่สุ ดก่อให้ เกิดปัญหา
ต่อเนื่องคือ ครูไม่เก่งเหมือนในอดีต ความศรัทธาต่อวิชาชีพครูลดต่าลง มาตรฐานวิชาชีพลดต่าลง 3) ยุคการ
ปฏิรูปการฝึกหัดครู พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ระยะของแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 7
(พ.ศ.2535-2539) คุณภาพนักเรียนลดต่าลง มีการปฏิรูปการฝึกหัดครู มีโครงการพิเศษเพื่อดึงคนเก่ งมาเรียน
ครู แต่งบประมาณสนับสนุน ขาดความต่อเนื่อง มีการปฏิรูปการฝึ กหัดครู มีโครงการพิเศษเพื่อดึงคนเก่งมา
เรียนครู แต่งบประมาณสนับสนุน ขาดความต่อเนื่อง ไม่สามารถจูงใจให้คนเก่งเข้ ามาเรียนครูได้อีก คนเก่งจบ
แล้วจะไม่เป็นครู ก่อให้เกิดปัญหาต่อเนื่องคือ ครูมีรายได้ต่า ขาดจิตวิญญาณของความเป็นครู สังคมขาดความ
เชื่อถือครู และ 4) ยุคการปฏิรูปการศึกษารอบที่ 1 (พ.ศ.2542-2551) ซึ่งมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ
2
วัตถุประสงค์
1) เพื่อศึกษาสภาพและปัญหาการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2) เพื่อศึกษาความต้องการในการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานในอนาคต
3) เพื่อ จั ดท าข้อ เสนอเชิ ง นโยบายด้า นการผลิ ต การใช้ และการพัฒ นาครู การศึก ษาขั้ น พื้น ฐาน
ที่สอดคล้องกับความต้องการในอนาคต
คาจากัดความ
การผลิต ครู การศึก ษาขั้ น พื้ น ฐาน หมายถึง การเตรี ยมครูก่ อนประจ าการของสถาบัน ผลิ ต ครู ที่
ดาเนินการตามกรอบมาตรฐานวิชาชีพและการรับรองปริญญาตรีทางการศึกษา (หลักสูตร 5 ปี) ของคุรุสภา
ประกอบด้วยมาตรฐานหลักสูตร มาตรฐานการผลิต และมาตรฐานบัณฑิต
3
การใช้ ค รู การศึ กษาขั้ น พื้ น ฐาน หมายถึง กระบวนการเพื่ อ ให้ ไ ด้ ผู้ มี ค วามรู้ ความสามารถและ
คุณลักษณะที่เหมาะสมกับการเป็นครูมาจัดการเรียนการสอนได้อย่า งมีประสิทธิภาพ กระบวนการดังกล่าว
ประกอบด้วยการสรรหา การบรรจุ แต่งตั้ง การปฏิบัติงาน การสร้างขวัญกาลังใจ และการติดตาม ประเมินผล
การปฏิบัติงาน
การพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน หมายถึง การพัฒนาครูประจาการที่ดาเนินการโดยหน่วยงานของ
รัฐ ต้นสังกัด และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในด้านรูปแบบและวิธีการการพัฒนาครู และการเชื่อมโยงการพัฒนาครู
กับการผลิตและการใช้ครู
สภาพและปัญหา หมายถึง สภาพและปัญหาการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ในช่วงปี พ.ศ.2546-2556
ความต้องการ หมายถึง ความต้องการในการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ในด้านความรู้ และสมรรถนะที่จาเป็นของครูในอนาคต ในช่วงปี พ.ศ.2557-2566
ข้อเสนอเชิงนโยบาย หมายถึง ข้อเสนอเชิง นโยบายที่สอดคล้องกับความต้องการในอนาคตด้านการ
ผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน ที่หน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องสามารถนาไปใช้ในการ
กาหนดนโยบายผลิต ใช้ และพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทย
ครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน หมายถึง ครูที่สอนนักเรียนในระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึงมัธยมศึกษา
ปีที่ 6 หรือเทียบเท่า
ขอบเขตการวิจัย
สถาบันการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้แก่ คณะครุศาสตร์และคณะศึกษาศาสตร์ทุกสังกัด ได้แก่
มหาวิทยาลัยของรัฐ มหาวิทยาลัยในกากับของรัฐ มหาวิทยาลัยราชภัฏ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล และ
สถาบันการผลิตครูสังกัดอื่น ที่มีหลักสูตรผลิตนิสิตนักศึกษาครู ในระดับปริญญาบัณฑิต
หน่วยงานใช้ครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้แก่ สถานศึกษาที่สอนนักเรียนระดับชั้นประถมศึกษาปีที่ 1
ถึงมัธยมศึกษาปีที่ 6 หรือเทียบเท่าในสังกัดต่างๆ คือ
1) สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2) สานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
3) สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา
4) สานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน
5) สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
6) กรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
4
ในบทที่ 2 เอกสารและงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเป็นการศึกษาข้อมูลเบื้องต้นในการศึกษาสภาพและปัญหา
การผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อให้ได้กรอบแนวคิดในการวิจัย ในบทนี้แบ่งออกเป็น
7 ตอน ดังนี้
ตอนที่ 1 ความเป็นมาของการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูในประเทศไทย
1. การผลิตครูในประเทศไทย
2. การใช้ครูในประเทศไทย
3. การพัฒนาครูในประเทศไทย
ตอนที่ 2 นโยบายการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
1. นโยบายการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
1.1 นโยบายทั่วไป
1.2 การผลิตครูโครงการพิเศษของประเทศไทย
1.3 การผลิตครูในต่างประเทศ
2. นโยบายการใช้ครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2.1 แนวคิดในการวางแผนกาลังคนสาหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
2.2 การวางแผนกาลังคนสาหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
2.3 การใช้ครูในประเทศสังกัดต่างๆ
2.4 การใช้ครูในต่างประเทศ
3. นโยบายการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
3.1 การพัฒนาครูในประเทศไทย
3.2 การพัฒนาครูในต่างประเทศ
ตอนที่ 3 กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
1. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย
2. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
3. พระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546 พระราชบัญญัติข้าราชการ
ครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2547 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2551 และ (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2553
4. มาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาครุศาสตร์และสาขาศึกษาศาสตร์ (หลักสูตรห้าปี)
5. มาตรฐานวิชาชีพครู
ตอนที่ 4 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ตอนที่ 5 วงล้ออนาคต (Future Wheel)
6
ตอนที่ 6 การประมาณความต้องการในอนาคต
ตอนที่ 7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
2. การใช้ครูในประเทศไทย
ปัจจุบันมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการใช้ครู คือ คุรุสภาซึ่งถือเป็นสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา
มีบทบาทในการกาหนดมาตรฐานวิชาชีพ ออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ กากับ ดูแล การปฏิบัติ
ตามมาตรฐานวิ ช าชีพ และจรรยาบรรณของวิช าชีพ รวมทั้ งการพัฒ นาวิช าชีพทางการศึก ษา ซึ่งเป็ นการ
ยกระดับวิชาชีพทางการศึกษาให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง (คุรุสภา, ออนไลน์) และสานักงานคณะกรรมการข้าราชการ
ครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) มีอานาจและหน้าที่ ส่งเสริม สนับสนุนการพัฒนา การเสริมสร้างขวัญ
กาลังใจ และการยกย่องเชิดชู เกียรติข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา วิเคราะห์ เสนอแนะนโยบาย
ประสานงานและดาเนินการเกี่ยวกับการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (สานักงานเลขาธิการ
สภาการศึกษา, ออนไลน์) รวมถึงสถานศึกษาสังกัดต่างๆ ที่ครูไปปฏิบัติงาน
คุรุสภาดาเนินงานเกี่ยวกับ การใช้ครู ในภาพรวมคือ การให้ ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษา และ
วิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ ควบคุมจรรยาบรรณ และวินัยของครู การให้ความสาคัญต่อการ
ใช้ “ครู” ที่จะส่ งผลต่อการศึก ษานั้ น เริ่ มต้นมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2488 ในรัฐ บาลของนายควง อภัยวงศ์ เป็น
นายกรัฐมนตรี มีนายทวี บุญเกตุเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้เล็งเห็นถึงปัญหาวิกฤติในวิชาชีพ
ครู กล่าวคือ คนดี คนเก่ง ไม่อยากเรียนครู และครูเก่ง ครูดีมีความสามารถจานวนมากได้ละทิ้งอาชีพครูไป
ประกอบอาชีพอื่น จึงได้ตราพระราชบัญญัติครู พ.ศ.2488 ขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาวิกฤติวิชาชีพครู ดังกล่าว โดยมี
สาระสาคัญคือให้มีสภาในกระทรวงศึกษาธิการ เรียกว่า “คุรุสภา” มีฐานะเป็นนิติบุคคล มีอานาจหน้าที่ให้
ความเห็นเรื่องนโยบายการศึกษาและวิชาการศึกษาทั่วไปแก่กระทรวงศึกษาธิการ ควบคุมจรรยา และวินัยของ
ครู รักษาผลประโยชน์ และส่งเสริมฐานะครู และครอบครัวให้ได้รับความช่วยเหลือตามสมควร ส่งเสริมความรู้
และความสามัคคีของครู และทาหน้าที่แทน ก.พ. เกี่ยวกับการบริหารงานบุคคล โดยกาหนดให้ครูทุกคนต้อง
เป็นสมาชิกคุรุสภา ต่อมาได้มีการตราพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546 ออกบังคับ
ใช้ ตั้งแต่วันที่ 12 มิถุนายน 2546 โดยปรับปรุงคุรุสภาเดิมตามพระราชบัญญัติครู พ.ศ.2488 ให้เป็นสภาครู
และบุคลากรทางการศึกษา มีชื่อเรียกเหมือนเดิมว่า “คุรุสภา” คุรุสภาจึงเป็นสภาครูและบุคลากรทางการ
ศึกษา มีบทบาทในการกาหนดมาตรฐานวิชาชีพ ออกและเพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทางการศึกษา
ซึ่งเป็นการยกระดับวิชาชีพทางการศึกษาให้เป็นวิชาชีพชั้นสูง (คุรุสภา, ออนไลน์)
ตามพระราชบั ญญัติสภาครู และบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546 มาตรา 8 กาหนดให้คุรุส ภามี
วัตถุประสงค์ ดังนี้ (สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, ออนไลน์)
1. กาหนดมาตรฐานวิชาชีพ ออกและเพิกถอนใบอนุญาต กากับ ดูแลการปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพ
และจรรยาบรรณวิชาชีพ รวมทั้งการพัฒนาวิชาชีพ
2. กาหนดนโยบายและแผนพัฒนาวิชาชีพ
3. ประสาน ส่งเสริมการศึกษาและการวิจัยเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพ
11
พระราชบัญญัติดังกล่าว ได้กาหนดอานาจหน้าที่ของคุรุสภาเพื่อควบคุมการใช้ครูและบุคลากรทางการ
ศึกษา ไว้ว่า
1. กาหนดมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ
2. ควบคุมความประพฤติและการดาเนินงานของผู้ ประกอบวิช าชีพทางการศึกษาให้ เป็นไปตาม
มาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ
3. ออกใบอนุญาตให้แก่ผู้ขอประกอบวิชาชีพ
4. พักใช้ใบอนุญาตหรือเพิกถอนใบอนุญาต
5. สนับสนุนส่งเสริมและพัฒนาวิชาชีพตามมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ
6. ส่งเสริม สนับสนุน ยกย่อง และผดุงเกียรติผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา
7. รับรองปริญญาประกาศนียบัตร หรือวุฒิบัตรของสถาบันต่างๆ ตามมาตรฐานวิชาชีพ
8. รับรองความรู้และประสบการณ์ทางวิชาชีพ รวมทั้งความชานาญในการประกอบวิชาชีพ
9. ส่งเสริมการศึกษาและการวิจัยเกี่ยวกับการประกอบวิชาชีพ
10. เป็นตัวแทนผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษาของประเทศไทย
11. ออกข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วย
(ก) การกาหนดลักษณะต้องห้ามมาตรา 13
(ข) การออกใบอนุญาต อายุใบอนุญาต การพักใช้ใบอนุญาต การเพิกถอนใบอนุญาต และ
การรับรองความรู้ประสบการณ์ทางวิชาชีพ ความชานาญในการประกอบวิชาชีพ
(ค) หลักเกณฑ์และวิธีการในการขอรับใบอนุญาต
(ง) คุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของผู้ขอรับใบอนุญาต
(จ) จรรยาบรรณของวิชาชีพและการประพฤติผิดจรรยาบรรณอันจะนามาซึ่งความเสื่อมเสีย
เกียรติศักดิ์แห่งวิชาชีพ
(ฉ) มาตรฐานวิชาชีพ
(ช) วิ ธี ก ารสรรหาการเลื อ ก การเลื อ กตั้ ง และการแต่ ง ตั้ ง คณะกรรมการคุ รุ ส ภา และ
คณะกรรมการมาตรฐานวิชาชีพ
(ซ) องค์ประกอบ หลักเกณฑ์ วิธีการคัดเลือกคณะกรรมการสรรหา
(ฌ) หลักเกณฑ์และวิธีการสรรหาเลขาธิการคุรุสภา
(ญ) การใดๆ ตามที่กาหนดในพระราชบัญญัตินี้
12. ให้คาปรึกษาหรือเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับนโยบายหรือปัญหาการพัฒนาวิชาชีพ
13. ให้ ค าแนะน าหรื อ เสนอความเห็ น ต่ อ รั ฐ มนตรี เ กี่ ย วกั บ การประกอบวิ ช าชี พ หรื อ การออก
กฎกระทรวง ระเบียบ และประกาศต่างๆ
14. กาหนดให้มีคณะกรรมการเพื่อกระทาการใดๆ อันอยู่ในอานาจหน้าที่ของคุรุสภา
15. ดาเนินการให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของคุรุสภา ข้อบังคับของคุรุสภาตาม (11) นั้น ต้องได้รับ
ความเห็นชอบจากรัฐมนตรี และเมื่อได้ประกาศในราชกิจจานุเบกษาและให้ใช้บังคับได้
12
ศึกษานิเทศก์
สถานศึกษา
การศึกษา
ผู้บริหาร
ผู้บริหาร
หน่วยงานต้นสังกัด
รวม
ครู
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 360,204 48,423 4,483 6,277 419,387
สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 19,530 2,111 122 78 21,841
สานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษา
ตามอัธยาศัย 8,900 925 253 194 10,272
สานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน 54,171 4,543 94 52 58,860
สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา 1,467 26 0 5 1,498
โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ 131 2 0 1 134
สานักการศึกษากรุงเทพมหานคร 11,266 1,728 26 250 13,270
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น 26,172 3,900 186 321 30,579
สถาบันการพลศึกษา 345 40 1 0 386
สานักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ 1,089 33 0 3 1,125
สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ 818 26 0 0 844
สานักบริหารงานการศึกษาพิเศษ 3,963 701 22 95 4,781
ผู้ได้รับใบอนุญาตที่มีได้ประกอบวิชาชีพตามประเภท
ใบอนุญาตที่ได้รับ 281,089 8,887 882 342 291,200
รวมทั้งสิ้น 769,145 71,345 6,069 7,618 854,177
ที่มา: คุรุสภา ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2557
หมายเหตุ: จานวนที่แสดงดังตารางเป็นการแสดงจานวนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทั้งหมดที่คุรุสภาได้อนุมัติ
โดยผู้รับใบประกอบวิชาชีพบางคนอาจมีใบประกอบวิชาชีพหลายประเภท
3. การพัฒนาครูในประเทศไทย
ครูเป็นบุคคลที่มีความสาคัญที่สุดต่อการพัฒนาสังคมและชาติบ้านเมือง ทั้งนี้เพราะครูต้องรับหน้าที่ใน
การพั ฒ นาบุ ค คลในสั ง คมให้ มี ค วามเจริ ญ งอกงามอย่ า งเต็ ม ที่ จนบุ คคลเหล่ า นั้ น สามารถที่ จ ะใช้ ค วามรู้
ความสามารถของตนเพื่อพัฒนาชาติบ้านเมืองต่อไป ดั งนั้นการพัฒนาครูให้เป็นบุคคลที่มีศักยภาพอย่างที่สุด
จึงเป็นงานที่นักวิชาการศึกษา/ผู้นิเทศ และ/หรือผู้บริหารการศึกษาจะต้องกระทาอย่างจริงจังและต่อเนื่อง
โดยการพัฒนาครูนั้นก่อให้เกิดประโยชน์หลายประการ ดังนี้ (ยนต์ ชุ่มจิต, 2535: 2)
15
3. การพัฒนาสถาบันผลิตครูและบุคลากรทางการศึกษา เพื่อให้มีความพร้อมและมีความเข้มแข็งใน
การผลิตครูและบุคลากรทางการศึกษารุ่นใหม่และการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาประจาการอย่าง
ต่อเนื่อง ดังภาพที่ 2.1
แผนชาติในการผลิตครู พัฒนาความเข้มแข็ง
พัฒนาโครงสร้างบริหาร
ในสาขาที่ขาดแคลน ของสถาบันผลิตครู
และการประเมินคุณภาพ
พัฒนาหลักสูตรผลิตครู พัฒนาคณาจารย์
แนวใหม่
การสรรหาคนดี คนเก่ง
พัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่
มาเรียนครู
พัฒนาองค์ความรู้ใหม่
ผลผลิตครูดี ครูเก่ง ตามมาตรฐานวิชาชีพชั้นสูง
3.1) โครงการคุรุทายาทระดับประถมศึกษา
เริ่มดาเนินการมาตั้งแต่ปีการศึกษา 2530 โดยคัดเลือกจากนักศึกษาที่สาเร็จการศึกษาหรือ
กาลังศึกษาอยู่ในชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ที่มีคะแนนเฉลี่ยสะสมตั้งแต่ชั้นมัธยมศึกษา ปีที่ 4 5 และ 6 (เฉพาะภาค
ต้น) ไม่ต่ากว่า 3.00 หรืออยู่ในตาแหน่งเปอร์เซ็นไทล์ที่ 90 ขึ้ นไป ของแต่ละกลุ่มวิชาได้รับทุนการศึกษาปีละ
12,500 บาท/คน ในระหว่างศึกษานักเรียนจะต้องอยู่หอพักนักศึกษา จะได้รับการพัฒนาด้วยกระบวนการผลิต
ครูแบบเข้มด้วยการฝึกประสบการณ์วิชาชีพครูเสริม ทั้งในระหว่างภาคเรียนและภาคฤดูร้อน และต้องมีผลการ
เรียนเฉลี่ยในแต่ละปีการศึกษาไม่ต่ากว่า 2.75 ได้บรรจุนักเรียนทุนตามโครงการนี้แล้วตั้งแต่ปี 2530-2540
จานวน 4,546 คน โดยสานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติกาหนดอัตราบรรจุไว้แต่ละปี ร้อยละ
30 ของอัตราว่าง
3.2) โครงการคุรุทายาทระดับมัธยมศึกษา
เริ่มดาเนินการมาตั้งแต่ปีการศึกษา 2534 โดยมีหลักเกณฑ์การคัดเลือกทุนเช่นเดียวกับคุรุ
ทายาทระดับประถมศึกษา นักศึกษาที่เข้าโครงการจะได้รับทุนการศึกษาปีละ 12,500 บาท/คน และแต่ละปี
การศึกษาจะต้องมีคะแนนเรียนเฉลี่ยไม่ต่ากว่า 2.75 ปัจจุบันได้รับบรรจุนักเรียนทุนตามโครงการนี้ไปแล้ว
ตั้งแต่ปี 2538-2540 จานวน 1,139 คน โดยกรมสามัญศึกษากาหนดอัตราตั้งรับการบรรจุปีละ 400 คน
3.3) โครงการคุรุทายาทชายแดนและถิ่นทุรกันดาร
ด้วยปัญหาการโยกย้ายของข้าราชการครูที่อยู่ในพื้นที่เขตชายแดนและถิ่นทุรกันดารของครู
บรรจุใหม่มีในสังกัดกรมสามัญศึกษาและสปช. จึงทาให้มีการดาเนินการตามโครงการนี้ขึ้นในปีการศึกษา 2537
โดยสานักงานสภาสถาบันราชภัฏร่วมกับคณะกรรมการระดับท้องถิ่นในจังหวัดชายแดนและถิ่นทุรกันดาร
ร่ ว มกั น คั ด เลื อ กนั ก ศึ ก ษาเข้ า โครงการ โดยนั ก ศึ ก ษาที่ ไ ด้ รั บ คั ด เลื อ กเข้ า โครงการจะต้ อ งเรี ย นอยู่ ใ นชั้ น
มัธยมศึกษาตอนปลายหรือจบชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายมาแล้วไม่เกิน 3 ปี มีผลการเรียนเฉลี่ยสะสมในชั้น
มัธยมศึกษาตอนปลายไม่ต่ากว่า 2.5 นักศึกษาจะได้รับทุนการศึกษาจนจบปริญญาตรีหลักสูตร 4 ปี โดยใน
ระหว่างศึกษาต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยในแต่ละปีการศึกษาไม่ต่ากว่า 2.75 กรมสามัญศึกษากาหนดอัตราตั้งรับ
แต่ล ะปี จ านวน 250 คน สานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่ งชาติ กาหนดอัตราตั้งรับแต่ละปี
จานวน 150 คน
3.4) โครงการคุรุทายาทชายแดนภาคใต้
เป็ น โครงการเฉพาะกิ จ 3 ปี (ปี 2537 -2539) และเป็ น โครงการเร่ ง ด่ ว นของ
กระทรวงศึกษาธิการที่มุ่งแก้ปัญหาการขาดแคลนครูและการโยกย้ายครู ระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาใน
5 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยความร่วมมือของสานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ กรมสามัญ
ศึกษา และส านั กงานคณะกรรมการการศึ กษาเอกชน โครงการนี้เริ่ม ในปีก ารศึก ษา 2537 โดยคั ดเลื อ ก
นักศึกษาที่มีภูมิลาเนาอยู่ในเขตยะลา ปัตตานี สตูล นราธิ วาส และสงขลา เข้ามาเรียนครูในสถาบันราชภั ฏ
และบรรจุเป็ นข้าราชการครูในสังกัดสานักงานคณะกรรมการการประถมศึกษาแห่งชาติ กรมสามัญศึกษา
ภูมิลาเนาของนักศึกษา โดยนักศึกษาจะได้รับทุนการศึกษาปีละ 12,500 บาท/คน และต้องปฏิบัติตามเกณฑ์ที่
กาหนดเช่นเดียวกับนักศึกษาคุรุทายาทประเภทต้น แต่ต้องมีผลการเรียนเฉลี่ยในแต่ละปีการศึกษาไม่ต่ากว่า
23
(5) วิ เ คราะห์ แ ละมี ค วามเห็ น เกี่ ย วกั บ ปั ญ หาทั่ ว ไป สภาพแวดล้ อ มของชี วิ ต และ
การเปลี่ยนแปลงของโลก
(6) ตระหนักในความสาคัญของความแตกต่างทางเพศในการสอนระหว่างการนาเสนอ
เนื้อหาวิชาต่างๆ
(7) ทางานร่วมกับผู้อื่นและทางานด้วยตนเองอย่างอิสระในการวางแผน นาแผนไปปฏิบัติ
ประเมิน และพัฒนากิจกรรมการสอน กิจกรรมทางการศึกษา และการบริหารการสอนของตนเอง
(8) จัดระบบและใช้ประสบการณ์ของตนและประสบการณ์ของคนอื่น รวมทั้งผลงานวิจัยที่
เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นพื้นฐานในการพัฒนาวิชาชีพของตน
(9) ใช้ ICT ในการพัฒนาการศึกษาและมองเห็นความสาคัญของสื่อในบริบทการพัฒนา
การศึกษา
นอกจากนี้ นักศึกษาครูต้องมีความรู้เกี่ยวกับทักษะการอ่านและการเขียน และกระบวนการ
เรียนรู้ของผู้เรียน นักศึกษาครูที่สอนระดับก่อนประถมศึกษา ชั้นเด็กเล็ก และมัธยมศึกษาตอนต้น ต้องมีความรู้
อย่างลึกซึ้งในวิชาการอ่าน ทักษะการเขียน และมีทักษะพื้นฐานด้านคณิตศาสตร์
2. นโยบายใช้ครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ในการวิ จั ย ครั้ ง นี้ ได้ ศึ กษาเอกสารและงานวิจั ย ที่เ กี่ ยวข้ อง ทั้ง ในประเทศและต่ า งประเทศ อาทิ
ประเทศออสเตรเลีย และประเทศสหรัฐอเมริกา การใช้ครูของสถานศึกษาของประเทศไทยนั้น เปลี่ยนแปลง
ไปตามวัน เวลา และความต้ องการตอบสนองนโยบายของรั ฐ ทั้ งทางด้ านสั งคม เศรษฐกิจ และการเมือ ง
การปกครอง ซึ่งมีความสัมพันธ์กับการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ จากรายงาน
การวิจัยโครงการการศึกษาวิเคราะห์อดีต ปัจจุบัน และโอกาส/ความคาดหวังในอนาคตของการผลิตครู ใน
ประเทศไทย ของวิชุดา กิจธรธรรมและคณะ (2554) พบว่า ประเทศไทยได้มีการกาหนดแผนการผลิตและ
พั ฒ นาครู เ พื่ อ ตอบสนองความต้ อ งการของประเทศ คื อ แผนพั ฒ นาเศรษฐกิ จ และสั ง คมแห่ ง ชาติ และ
แผนพัฒ นาการศึกษาแห่ งชาติ มีการออกกฎหมายเพื่อส่ งเสริมการพัฒ นาการศึกษาไทย และการพัฒ นา
การศึกษาแห่งชาติเพื่อพัฒนาครูและผู้เรียนให้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ในการพัฒนาประเทศ แต่อุปสรรค
ที่ส าคัญคื อการด าเนิ น นโยบายไม่ มีความต่อเนื่อ ง ไม่ผู ก พัน กับวาระการบริห ารงานของรัฐ บาลแต่ล ะชุ ด
นอกจากนี้ ในรายงานวิจั ย ยั งเสนอแนะว่า ควรมีการวิจัยเพื่อพัฒ นานโยบายการผลิ ตครูให้ ส อดคล้ อ งกับ
ทิศทางการพัฒนาประเทศในอนาคตทั้งระยะสั้ นและระยะยาว ดังนั้นควรมีการกาหนดเปูาหมายของการ
พัฒนาคุณภาพครู คุณภาพการผลิตครูและคุณภาพของสถาบันการผลิตครูที่สอดคล้องกับเปูาหมายและทิศทาง
ของการพัฒนาประเทศโดยความร่วมมือของทุกฝุาย
2.1 แนวคิดในการวางแผนกาลังคนสาหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
การคาดการณ์กาลังคนในองค์กรนั้น มีหลักคิดคานวณมาจากสมการพื้นฐานที่นิยมใช้เป็นแนวทางใน
การวางแผนกาลังคนทั้งในองค์กรภาครัฐและภาคเอกชน ดังนี้ (พะยอม วงศ์สารศรี, 2538: 62)
33
จานวนกาลังคนที่ต้องการทั้งหมด = ปริมาณงานทั้งหมดในหนึ่งหน่วยเวลา
ปริมาณงานที่คนหนึ่งทาได้ในนึ่งหน่วยเวลา
3) ปริมาณงานอื่น
ปริมาณงานอื่น หมายถึง ปริมาณงานอื่นๆ ที่นอกเหนือจากงานด้านการบริหารสถานศึกษา
และปริมาณงานด้านการสอน ซึ่งได้แก่ จานวนชั่วโมงปฏิบัติงานสนับสนุนการสอนในหนึ่งสัปดาห์ของ
ข้าราชการครู บุคลากรทางการศึกษาและอัตราจ้างที่มีชั่วโมงปฏิบัติงานสนับสนุนการสอน
จานวนชั่วโมงปฏิบัติงานสนับสนุนการสอนของครู หมายถึง จานวนชั่วโมงปฏิบัติงาน
สนับสนุนการสอนในหนึ่งสัปดาห์ของบุคลากรทางการศึกษาและอัตราจ้างที่ปฏิบัติงานสนับสนุนการสอน
ข. การกาหนดปริมาณงานที่คนหนึ่งคนทาได้ในหนึ่งหน่วยเวลา
การกาหนดปริมาณงานที่คนหนึ่งคนทาได้ในหนึ่งหน่วยเวลา หมายถึง การกาหนดปริมาณงานประเภท
ต่างๆ ในสถานศึกษา ซึ่งได้แก่ งานบริหารสถานศึกษา งานสอนในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ และงาน
สนับสนุนการสอน ซึ่งในการกาหนดปริมาณงานที่คนหนึ่งคนสามารถปฏิบัติได้ในหนึ่งหน่วยเวลาของการ
วางแผนกาลังคนในสถานศึกษานี้ เป็นการกาหนดจากเกณฑ์มาตรฐานอัตรากาลังข้าราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษา และหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544
1) เกณฑ์มาตรฐานอัตรากาลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
จานวนอัตรากาลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษากาหนดจาก
เกณฑ์มาตรฐานอัตรากาลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาของสานักงาน ก.ค. โดยเกณฑ์มาตรฐาน
อัตรากาลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษา สังกัดสานักงานการคณะกรรมการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน ซึ่งปัจจุบันเป็นดังนี้
1.1 เกณฑ์มาตรฐานอัตรากาลังข้าราชการครูสายงานการสอนในสถานศึกษาใน
ระดับก่อนประถมศึกษา ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา
35
2) แบบ ก.ค.ศ.2
เป็นแบบรวบรวมข้อมูลแผนการเปิดห้องเรียนในช่วงชั้นที่ 4 (ม.4 – ม.6) ตั้งแต่ในปีการศึกษา
ปัจจุบัน และล่วงหน้า 3 ปีการศึกษา โดยจาแนกเป็นกลุ่มวิชาต่างๆ ที่สถานศึกษาเปิดสอนตามสาระการเรียนรู้
ที่เน้น เช่น กลุ่มวิทย์–คณิต กลุ่มศิลป์–คานวณ เป็นต้น
3) แบบ ก.ค.ศ.3
เป็ นแบบรวบรวมข้อมูลจ านวนผู้ส มัครเข้าเรียนและการรับเข้าเรียนของสถานศึกษาในปี
การศึกษาปัจจุบัน และย้อนหลัง 3 ปีการศึกษา ในระดับชั้นก่อนประถม ป.1 ม.1 และม.4 เพื่อนาไปใช้
ประกอบการวางแผนกาหนดการรับนักเรียนในแบบ ก.ค.ศ. 1 และแบบ ก.ค.ศ. 2
4) แบบ ก.ค.ศ.4
เป็นแบบรวบรวมข้อมูลข้าราชการครูและบุคลากรในสถานศึกษา ทุกตาแหน่งรวมทั้งครูอัตรา
จ้าง โดยมีข้อมูลที่ประกอบไปด้วย ชื่อ–สกุล เลขบัตรประชาชน ตาแหน่ง เลขที่ตาแหน่ง วิทยฐานะ เงินเดือน
วันเดือนปีเกิด วันเดือนปีที่เข้ารับราชการ คุณวุฒิ สถานภาพการปฏิบัติงานในสถานศึกษา จานวนชั่วโมงสอน
จาแนกตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ได้รับมอบหมายให้สอนใน 1 ปีการศึกษา (คาบ/สัปดาห์) และจานวนชั่วโมง
ปฏิบัติงานสนับสนุนการสอนที่ได้รับมอบหมายใน 1 ปีการศึกษา (ชั่วโมง/สัปดาห์)
ในแบบ ก.ค.ศ.4 นี้ ได้กาหนดจานวนแถวที่ใช้บันทึกข้อมูลไว้ 451 แถว ซึ่งหากจานวน
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษามีน้อยกว่า 451 คน ก็ให้บันทึกเท่าที่มี โดยไม่ต้องลบแถวที่เหลือ
เพราะจะส่งผลต่อการประมวลผลในแบบวิเคราะห์ผลการวางแผนกาลังคน
5) แบบ ก.ค.ศ.5 (ช่วงชั้น 1-3)
เป็นแบบกาหนดชั่วโมงสอนต่อสัปดาห์ใน 1 ปีการศึกษา ตามโครงสร้างของหลักสูตร
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ในช่วงชั้นที่ 1–3 (ชั้น ป.1-ม.3) โดยจาแนกออกเป็นระดับชั้นกับกลุ่ม
สาระการเรียนรู้
6) แบบ ก.ค.ศ.6 (ช่วงชั้น 4)
เป็นแบบกาหนดชั่วโมงสอนต่อสัปดาห์ใน 1 ปีการศึกษา ตามโครงสร้างของหลักสูตร
การศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ในช่วงชั้นที่ 4 (ชั้น ม.4-ม.6) โดยจาแนกออกเป็นกลุ่มวิชาตามกลุ่ม
สาระการเรียนรู้ในแต่ละระดับการศึกษา
สาหรับแบบ ก.ค.ศ.6 (ช่วงชั้น 4) นี้ ห้ามแก้ไขรายการกลุ่มวิชา (เช่น แก้ไข วิทย์–คณิต กับ
ศิลป์–คานวณ ให้สลับที่กัน) เพราะจะทาให้การส่งค่าประมวลผลในแบบวิเคราะห์ผลการวางแผนกาลังคนอื่นๆ
ผิดไป
ตั้งแต่แบบ ก.ค.ศ.7 เป็นต้นไป จะไม่สามารถเข้าไปแก้ไขตัวเลขและข้อความใดๆ ได้ เพราะได้
จัดทาการปูองการการแก้ไขไว้
7) แบบ ก.ค.ศ.7
เป็นแบบที่นาข้อมูลจากแบบ ก.ค.ศ. 5 และแบบ ก.ค.ศ. 6 มาประมวลผลเป็นจานวนชั่วโมง
สอน จาแนกตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ในแต่ละปีการศึกษาและช่วงชั้นที่สถานศึกษาเปิดสอน
40
8) แบบ ก.ค.ศ.8
เป็นแบบที่นาข้อมูลจากแบบ ก.ค.ศ. 4 มาประมวลผลเป็นจานวนชั่วโมงปฏิบัติงานต่อสัปดาห์
ของบุคลากรทางการศึกษา จาแนกตามงานสนับสนุนการสอนในสถานศึกษา
9) แบบ ก.ค.ศ.9
เป็นแบบที่นาข้อมูลจากแบบ ก.ค.ศ. 1 มาประมวลผลแล้วแสดงเป็นรายงานการวางแผน
กาลังคนในด้านปริมาณของสถานศึกษา
10) แบบ ก.ค.ศ.10
เป็นแบบที่นาข้อมูลจากแบบ ก.ค.ศ. 7 แบบ ก.ค.ศ. 8 และแบบ ก.ค.ศ. 9 มาประมวลผลแล้ว
แสดงเป็นรายงานผลการวางแผนกาลังในด้านคุณภาพของสถานศึกษา
11) แบบ ก.ค.ศ.11
เป็นแบบที่นาข้อมูลจากแบบ ก.ค.ศ. 9 มาจัดทาขึ้นเพื่อให้สานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
Copy แล้วนาไปวางไว้ในแบบ ก.ค.ศ.11A ของไฟล์ข้อมูลการวางแผนกาลังคนในระดับสานักงานเขตพื้นที่
การศึกษา
12) แบบ ก.ค.ศ.12
เป็นแบบที่นาข้อมูลจากแบบ ก.ค.ศ. 10 มาจัดทาขึ้นเพื่อให้สานักงานเขตพื้ นที่การศึกษา
Copy แล้วนาไปวางไว้ใน แบบ ก.ค.ศ.12A ของไฟล์ข้อมูลการวางแผนกาลังคนในระดับสานักงานเขตพื้นที่
การศึกษา
13) แบบ ก.ค.ศ.13
เป็นแบบที่นาข้อมูลจากแบบ ก.ค.ศ. 10 มาจัดทาขึ้นเพื่อให้สานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
Copy แล้วนาไปวางไว้ในแบบ ก.ค.ศ.13A ของไฟล์ข้อมูลการวางแผนกาลังคนในระดับสานักงานเขตพื้นที่
การศึกษา
2. การวางแผนกาลังคนสาหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาระดับ
สานักงานเขตพื้นที่การศึกษา
การวางแผนกาลังคนสาหรับข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในสถานศึกษาระดับสานักงาน
เขตพื้นที่การศึกษาได้สร้างแบบที่ใช้สาหรับรวบรวมข้อมูล จานวน 3 แบบด้วยกัน ดังนี้
1) แบบ ก.ค.ศ.11A
เป็ นแบบรวบรวมข้อมูล การวางแผนกาลั งคนในสถานศึกษา สั งกัดสานักงานเขตพื้นที่
การศึกษา ประกอบไปด้วย ชื่อสถานศึกษา รหัสสถานศึกษา (ซึ่งสานักงานเขตพื้นที่การศึกษากาหนดขึ้นตาม
แนวทางที่สานักงาน ก.ค.ศ. ได้กาหนดไว้ให้ในภาคผนวกเพื่อให้เป็นไปในแนวทางเดียวกันทั้งประเทศ) ที่ตั้ง
สถานศึกษา และข้อมูลจานวนนักเรียน ห้องเรียน จานวนอัตรากาลังข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา
ในแต่ละปีการศึกษา
41
2) แบบ ก.ค.ศ.12A
เป็ นแบบรวบรวมข้อมูล การวางแผนกาลั งคนในสถานศึ กษา สั งกัดสานักงานเขตพื้นที่
การศึกษา ประกอบไปด้วย ชื่อสถานศึกษา รหัสสถานศึกษา ที่ตั้งสถานศึกษา และจานวนอัตรากาลัง
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในแต่ละปีการศึกษา
3) แบบ ก.ค.ศ.13A
เป็ นแบบรวบรวมข้อมูล การวางแผนกาลั งคนในสถานศึกษา สั งกัดสานักงานเขตพื้นที่
การศึกษา ประกอบไปด้วย ชื่อสถานศึกษา รหัสสถานศึกษา ที่ตั้งสถานศึกษา และจานวนอัตรากาลังบุคลากร
ทางการศึกษาในแต่ละปีการศึกษา
จากที่กล่าวมา นโยบายการวางแผนการใช้ครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานที่กล่าวมา ได้มีการกาหนด
อัตรากาลัง ภาระงานและแนวทางความก้าวหน้าของข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาไว้อย่างชัดเจน
อย่างไรก็ดี ในแต่ละสังกัดของการศึกษาระดับพื้นฐานยังมีแนวนโยบายในการใช้ครูที่แตกต่างกันตามลักษณะ
ของรู ปแบบการศึกษา จากรายงานวิจั ยเรื่ องการศึกษาประสิ ทธิภาพการใช้ครู : การวิเคราะห์ เชิงปริมาณ
ระดั บ มหภาค (สมหวั ง พิ ธิ ย านุ วั ฒ น์ , 2539) เพื่ อ น าเสนอแนวนโยบายและแนวทางการใช้ ค รู อ ย่ า งมี
ประสิทธิภาพ สรุปได้ว่าปัจจัยที่ส่งผลต่อการใช้ครูนั้น ประกอบด้วยผู้บริหารของโรงเรียน ชุมชน นักเรียนและ
บรรยากาศการทางานของครู และอีกองค์ประกอบที่สาคัญคือ ความเหมาะสมของสัดส่วนปริมาณครูและ
นักเรียน ที่ต้องสอดคล้องกัน เพื่อให้เกิดการพัฒนาความรู้ของนักเรียนและความสามารถในการทางานของครู
ไปพร้อมกัน อีกทั้งยังรวมถึงชุมชนและสังคมโดยรอบสถานศึกษา สถานศึกษาแต่ละรูปแบบจึงมีแนวนโยบายที่
เหมาะสมกับลักษณะการจัดการศึกษาของตนเอง ตามความต้องการของผู้เรียนและชุมชน
ปัจจุบันได้มีการกาหนดนโยบายการใช้ครูเป็นการเฉพาะในแต่ละช่วงเวลา เพื่อสนับสนุนการจัดการ
เรี ย นการสอนให้ มีป ระสิ ทธิภ าพสู ง สุ ดและเพื่ อการแก้ไขปัญหาต่างๆ ในปี พ.ศ.2558 รัฐ มนตรีว่าการ
กระทรวงศึกษาธิการได้มอบนโยบายเกี่ย วกับการศึกษา 5 ประการ โดยได้กล่ าวถึงการพัฒ นาและปฏิรูป
การศึกษา การสร้ างโอกาสทางการศึกษาในสังคมไทย การพัฒ นาระบบการจัดการศึกษา และการพัฒนา
หลักสูตรทางการศึกษา การส่งเสริมและยกสถานะของครูซึ่งเป็นบุคลากรหลักในระบบการศึกษา และการ
บริหารและการปฏิบัติราชการกระทรวงในทุกระดับ ซึ่งในข้อที่เกี่ยวข้องกับครูโดยตรงคือ การส่งเสริมและยก
สถานะของครูซึ่งเป็นบุคลากรหลักในระบบการศึกษา มีเนื้อหาว่า จะต้องให้ความสาคัญกับการสร้างเสริม
ให้วิชาชีพ ครู เ ป็น วิ ชาชีพชั้น สูงในสังคม เป็น บุ ค ลากรที่ ไ ด้รั บการยกย่องว่ า เป็น แบบอย่า งที่ ดีใ นเรื่ อ ง
คุณธรรมและจริยธรรม มีภูมิความรู้และทักษะในการสื่อสารถ่ายทอดความรู้ที่เหมาะสม มีทัศนคติที่ดีต่อ
วิชาชีพครู ตลอดจนมีฐานะและคุณภาพชีวิตที่ดีสอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมไทยในปัจจุบัน
โดยกาหนดนโยบายเฉพาะที่ต้องดาเนินการให้เห็นผลในระยะเวลา 1 ปี เพื่อมุ่งเน้นการผลิต การใช้ และการ
พัฒนาครู ให้ มีคุณภาพ อันประกอบด้วยเนื้อหาของการใช้ครูอันเป็นเปูาหมายในการดาเนินนโยบาย ดังนี้
(สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา, 2558)
42
กลยุทธ์
1. พัฒนาองค์ความรู้และสมรรถนะของครู ผ่านการปฏิบัติจริงและการช่วยเหลืออย่างต่อเนื่อง
1.1 เผยแพร่องค์ความรู้และแหล่งเรียนรู้เกี่ยวกับนวัตกรรม วิธีการจัดการเรียนการสอน
การพัฒนาการคิด และการวัดประเมินผล ให้สามารถพัฒนาและประเมินผลนักเรียนให้มีคุณภาพตามศักยภาพ
เป็นรายบุคคล
1.2 พัฒนาครูที่มีอยู่ให้สามารถจัดการเรียนรู้ในวิชาที่โรงเรียนต้องการได้ด้วยตนเองหรือใช้สื่อ
เทคโนโลยี
1.3 ส่งเสริมระบบการนิเทศแบบกัลยาณมิตรโดยเขตพื้นที่การศึกษาและโดยเพื่อนครู ทั้งใน
โรงเรียนเดียวกันหรือระหว่างโรงเรียน หรือภาคส่วนอื่นๆ ตามความพร้อมของโรงเรียน
1.4 ส่ งเสริ มให้ เกิดชุมชนแห่ งการเรียนรู้ของครูในพื้นที่ ทั้ งในโรงเรียนเดียวกัน ระหว่า ง
โรงเรียน หรืออื่นๆ และในองค์กรสังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานทุกหน่วยงาน
1.5 ส่งเสริมให้ครูมีสมรรถนะภาษาอังกฤษ เพื่อการสื่อสารและทักษะการใช้คอมพิวเตอร์เพื่อ
จัดการเรียนรู้ได้ในระดับดี
2. พัฒนาผู้บริหารสถานศึกษากลุ่มที่มีความจาเป็นต้องได้รับการพัฒนาเร่งด่วน
3. เสริมสร้ างระบบแรงจู งใจเพื่อให้ ครูและบุคลากรทางการศึกษามีขวัญกาลั งใจในการทางาน
สอดคล้องกับผลสัมฤทธิ์ของนักเรียน
3.1 ยกย่องเชิดชูเกียรติครูมืออาชีพ และบุคลากรทางการศึกษา ที่มีผลงานเชิงประจักษ์ทั้ง
ด้าน
1) การพัฒนาการจัดการเรียนรู้
2) การดูแลช่วยเหลือเด็กนักเรียนที่มีความต้องการพิเศษ
3) การมีจิตวิญญาณความเป็นครู มีคุณธรรม จริยธรรม และเป็นตัว อย่างที่ดีแก่
สังคม
3.2 ส่งเสริมความก้าวหน้าของครู ให้มีวิทยฐานะที่สูงขึ้นให้สอดคล้องกับผลสัมฤทธิ์ทางการ
เรียนของนักเรียนและรายได้ของครู
4. ประสานและสนับสนุนให้องค์กรและคณะบุคคลที่เกี่ยวข้องจัดเตรียมและจัดสรรครูและผู้บริหาร
สถานศึกษาที่มีความสามารถสอดคล้องกับความต้องการของโรงเรียนและสังคม
4.1 สร้างความตระหนักกับองค์กรที่มีบทบาทโดยตรงกับการบรรจุครูในพื้นที่ ถึงความ
จาเป็นต้องจัดสรรครูให้ตรงวิชาที่โรงเรียนขาดแคลน
4.2 สร้างค่านิยมสาหรับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ ให้รับผิดชอบต่อผลด้านคุณภาพของการ
จัดการศึกษา
4.3 ประสานสถานบันอุดมศึกษาผลิตครูที่มีวิชาเอกตรงกับความต้องการและสามารถจัดการ
เรียนรู้เพื่อผู้เรียนที่มีความแตกต่างหลากหลายได้ และสอดคล้ องกับบริบทของโรงเรียนที่มีความแตกต่าง
หลากหลายได้
46
2) สานักบริหารงานการศึกษานอกโรงเรียน (กศน.)
ในการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในปัจจุบัน อาศัยกรอบการ
ดาเนิ น งานตามพระราชบั ญญัติส่ ง เสริ มการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธ ยาศัย พ.ศ.2551 ซึ่ง มี
รายละเอียดดังนี้ (อัญชลี ธรรมะวิธีกุล, ออนไลน์)
พระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ.2551 ได้มุ่งเน้น
ความสาคัญโดยให้ความหมายของคาว่า “การศึกษานอกระบบ” และ “การศึกษาตามอัธยาศัย” ไว้ดังนี้
(กระทรวงศึกษาธิการ, 2551)
การศึกษานอกระบบ หมายความว่า “กิจกรรมการศึกษาที่มีกลุ่มเปูาหมายผู้รับบริการและ
วัตถุประสงค์ของการเรียนรู้ที่ชัดเจน มีรูปแบบ หลักสูตร วิธีการจัดและระยะเวลาเรียนหรือฝึกอบรมที่ยืดหยุ่น
และหลากหลายตามสภาพความต้องการและศักยภาพในการเรียนรู้ของกลุ่มเปูาหมายนั้ นและมีวิธีการวัดผล
ประเมินผลการเรียนรู้ที่มีมาตรฐานเพื่อรับคุณวุฒิทางการศึกษาหรือเพื่อจัดระดับผลการเรียนรู้”
การศึกษาตามอัธยาศัย หมายความว่า “กิจกรรมการเรียนรู้ในวิถีชีวิติประจาวันของบุคคล ซึ่ง
บุคคลสามารถเลือกที่จะเรียนรู้ได้อย่า งต่อเนื่องตลอดชีวิต ตามความสนใจ ความต้องการ โอกาส ความพร้อม
และศักยภาพในการเรียนรู้ของแต่ละบุคคล”
โดยหลั ก การส่ งเสริ ม สนั บสนุน การศึ กษานอกระบบและการศึ กษาตามอั ธ ยาศั ย ได้ ยึ ด
หลักการ ดังนี้ (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551)
การศึกษานอกระบบ เน้นความเสมอภาคในการเข้าถึง รวมถึงการได้รับการศึกษาอย่าง
กว้างขวาง ทั่วถึงเป็นธรรม อย่างมีคุณภาพ และมีความเหมาะสมกับสภาพชีวิตของประชาชน การกระจาย
อานาจแก่สถานศึกษา และการให้ภาคีเครือข่ายได้มีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาเรียนรู้
การศึกษาตามอัธยาศัย ส่งเสริมให้เกิดการเข้าถึงแหล่งการเรียนรู้ที่สอดคล้องกับความสนใจ
ของผู้เรียนในทุกกลุ่มเปูาหมาย รวมถึงการพัฒนาแหล่งเรียนรู้ให้มีความหลากหลาย อาทิ ภูมิปัญญาท้องถิ่น
และเทคโนโลยี มาใช้เพื่อประโยชน์ในการจัดการศึกษา เปูาหมายของการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม
อัธ ยาศัย เปู าหมายในการส่ งเสริ มและสนั บสนุ นการศึก ษานอกระบบและการศึ กษาตามอัธ ยาศั ย มีดัง นี้
(กระทรวงศึกษาธิการ, 2551)
การศึกษานอกระบบ ประชาชนได้รับการศึกษาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้เพื่อพัฒนาศักยภาพ
กาลั งคนและสั งคม โดยใช้ความรู้ ภูมิปั ญญาเป็นฐานในการพัฒ นา ในมิติต่างๆ อาทิ เศรษฐกิจ สั งคม
สิ่งแวดล้อม ความมั่นคง และคุณภาพชีวิต ตามแนวทางการพัฒนาประเทศ อีกทั้งทาให้กลุ่มภาคีเครือข่ายเกิด
แรงจูงใจ และความพร้อมในการจัดกิจกรรมการศึกษาอย่างมีส่วนร่วม
การศึ ก ษาตามอั ธ ยาศั ย ผู้ เ รี ย นได้ รั บ ความรู้ ทั ก ษะพื้ น ฐานจากการแสวงหาความรู้
อันก่อให้เกิดการเรียนรู้ตลอดชีวิต นอกจากนั้นแล้วยัง ได้เรียนรู้ประเด็นที่ มีสอดคล้องกับความสนใจ ความ
47
ระหว่างกัน นอกจากนั้นแล้วจะต้องมีการประสานงานเพื่อให้ผู้เรียนได้เข้าถึงแหล่งทุนในการสร้างความเข้มแข็ง
ในการแข่งขันด้านอาชีพ และจะต้องจัดให้มีการกากับ ติดตาม และรายงานผลการจัดการศึกษาอาชีพอย่าง
ต่อเนื่อง การส่งเสริมและสนับสนุนให้ทุกภาคส่วนเข้ามามีส่วนร่วมเป็นภาคีเครือข่ายในการจัด ส่งเสริม และ
สนับสนุนการจัดการศึกษาตลอดชีวิตและการจัดการศึกษาอาชีพเพื่อการมีงานทาอย่างยั่งยืน ให้ครอบคลุม
พื้นที่ทุกระดับ พัฒนาระบบฐานข้อมูลภาคีเครือข่ายทุกระดับ โดยจะต้องมีความถูกต้องและทันสมัย เพื่อ
ประโยชน์ในการใช้อย่างเหมาะสม และจะต้องมีการพัฒนาบุคลากรภาคีเครือข่ายให้ มีศักยภาพในการจัด
การศึกษาตลอดชีวิต อีกทั้งจะต้องประสานการทางานร่วมกับภาคีเครือข่ายเพื่อให้มีความรู้ความเข้าใจใน
บทบาทหน้าที่ และภารกิจเกี่ยวกับการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยในการเป็นกลไกสาคัญเพื่อ
การพัฒ นาเศรษฐกิจ อาสาสมัค ร กศน. การส่ งเสริมให้ ผู้ มีจิต อาสา ตลอดจนผู้ รู้ ภูมิปัญญาท้ องถิ่น และ
ข้าราชการบานาญ และผู้บุคคลสาคัญในชุมชนเข้ามาเป็นอาสาสมัคร กศน. โดยเข้ามาเป็นผู้สื่อสารข้อมูล
ความรู้ที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนในชุมชน ส่งเสริมให้อาสาสมัคร กศน. ได้รับการพัฒนาสมรรถนะให้เป็นผู้
จัดและผู้ส่งเสริมสนับสนุนการจัดการศึกษา อย่างไรก็ตามจะต้องเสริม สร้างขวัญและกาลังใจในรูปแบบต่างๆ
แก่อาสาสมัคร กศน. เพื่อให้เห็นคุณค่าของตนเองในการเข้ามามีส่วนร่วมในการพัฒนาชุมชน การส่งเสริมการ
จัดการเรียนรู้ในชุมชนจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตลอดชีวิตในชุมชนโดยใช้ กศน.ตาบล/แขวง เป็นหน่วยงานในการ
ขับ เคลื่ อนหลั ก ส่ งเสริมกระบวนการเรี ย นรู้ ผ่านการจัดทาแผนชุมชน เวทีชาวบ้าน เพื่อนาความรู้ที่ได้ไป
แก้ปัญหาและพัฒนาชุมชน ส่งเสริมให้ มีการบูรณาการความรู้ในชุมชนให้เชื่อมโยงกับหลักสูตรต่างๆ ของ
หน่วยงานที่จัดการศึกษาในชุมชน โดยคานึงถึงความต้องการ เหมาะสม และสอดคล้องกับกับบริบทของพื้นที่
ส่งเสริมให้มีการขยายและพัฒนาแหล่งการเรียนรู้ชุมชน เพื่อการถ่ายทอดองค์ความรู้และภูมิปัญญาท้องถิ่น
นโยบายด้านการสนับสนุนโครงการพิเศษ ได้แก่ โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดาริ ส่งเสริมการจัด
การศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยเพื่อสนั บสนุนโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดาริ อย่างเป็น
ระบบ ต่อเนื่องและตรงความต้องการของกลุ่มเปูาหมาย จัดทาฐานข้อมูลโครงการและกิจกรรมของ กศน. เพื่อ
นาไปใช้ในการวางแผน ประเมิน และติดตามอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งเสริมการสร้างเครือข่ายการดาเนินงาน
เพื่อสนับสนุ นโครงการอันเนื่ องมาจากพระราชดาริ และพัฒ นาศูนย์การเรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟูา
หลวง” ให้มีความพร้อมในการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยอย่างเต็มความศักยภาพ
โครงการจัดการศึกษาเพื่อความมั่นคงชายแดนของ ศฝช. จัดและพัฒนาการศึกษาอาชีพ โดยคานึงถึงความ
เหมาะสมของพื้นทีใ่ ห้แก่ประชาชนตามแนวชายแดน จัดและพัฒนา ศฝช. ให้เป็นศูนย์สาธิตการประกอบอาชีพ
ซึ่งจะต้องจัดการเรียนรู้ด้วยวิธีที่หลากหลาย และให้ ศฝช.ทุกแห่ง เป็นศูนย์กลางในการพัฒนาบุคลากร และ
การเผยแพร่ความรู้ด้านเกษตรธรรมชาติ โดยประสานความร่วมมือระหว่างเครือข่ายทั้งในและต่างประเทศ
และจัดระบบเครือข่ายศูนย์การเรียนรู้อาชีพให้มีความเชื่อมโยงกันกับ กศน.ตาบล/แขวง ในพื้นที่ การส่งเสริม
และจัดการศึกษาสาหรับกลุ่มเปูาหมายพิเศษ จัดและส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
ในการรู้หนังสือ ภาษา และวัฒนธรรมไทย และยกระดับการศึกษาสาหรั บกลุ่มเปูาหมายพิเศษ ศึกษา วิจัย
พัฒ นาและเผยแพร่ รู ป แบบการจั ด ส่ ง เสริ ม และสนับ สนุ นการจัด การศึ กษา เพื่ อน าไปพั ฒ นาให้ มี ความ
53
ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยให้เชื่อมโยงกันทั้งระบบ ทั้งนี้โดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
และสื่ออื่นๆ ที่เหมาะสม ในการดาเนินงานอย่างมีระบบ ซึ่งจะทาให้เกิดการพัฒนากลไกการติดตามประเมินผล
การปฏิบัติราชการตามคารับรองการปฏิบัติราชการประจาปี เพื่อการรายงานผลตามตัวชี้วัดตามคารับรองการ
ปฏิบัติราชการประจาปี ของสานักงาน กศน. ให้ได้ดาเนินการไปอย่างมีประสิทธิภาพ เป็นไปตามหลักเกณฑ์
วิธีการ และระยะเวลาที่ ก.พ.ร. กาหนด
สรุ ป ได้ ว่ า นโยบายและจุ ด เน้ น การด าเนิ น งานของส านั ก งานส่ ง เสริ ม การศึ ก ษานอกระบบและ
การศึกษาตามอัธยาศัย ประจาปีงบประมาณ พ.ศ.2556 (สานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษา
ตามอัธยาศัย, 2555) ได้ให้ความสาคัญกับการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยการพั ฒนาโครงสร้าง
พื้นฐานและอัตรากาลัง ผลักดันให้มีการประกาศใช้กฎหมายว่าด้วยการศึกษาตลอดชีวิต รวมถึงการจัดทา
แผนการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และการระดมทรัพยากรจากชุมชน รวมถึงแสวงหาภาคีเครือข่ายในท้องถิ่น
เพื่ อ น ามาใช้ ส าหรั บ ด าเนิ น กิ จ กรรมส่ ง เสริ ม การเรี ย นรู้ ข องประชาชน บริ ห ารอั ต ราก าลั ง ที่ มี อ ยู่ ใ ห้ เ กิ ด
ประสิทธิภาพสูงสุดในการปฏิบัติงาน
3) สานักบริหารงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) แผนยุทธศาสตร์
ส่งเสริมการศึกษาเอกชน พ.ศ. 2556-2560 โดยสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สานักงาน
ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ มีแนวคิดเกี่ยวกับครูตามเปูาหมายหลักว่า ผู้บริหาร ครู ผู้สอนและบุคลากรทางการ
ศึกษาเอกชนได้รับการพัฒนา ซึ่งจะต้องได้รับการพัฒนาเพิ่มขึ้น มีแนวทางการดาเนินงานเพื่อความสาเร็จคือ
การเพิ่มศักยภาพบุคลากรให้ มีความรู้ ความสามารถในการปฏิบัติงานด้ว ยเทคนิคและวิธีการใหม่ๆ อย่าง
ต่อเนื่องด้วยการฝึกอบรมหรือศึกษาดูงานเพื่อสร้างองค์ความรู้และประสบการณ์ให้บุคลากร รวมทั้งสร้างขวัญ
และกาลังใจด้วยการยกย่อง ชมเชย ให้รางวัล เมื่อสามารถดาเนินการได้ผลตามเปูาหมาย
รัฐบาลมีนโยบายที่จะดาเนินการภายในช่วงระยะเวลา 4 ปี เกี่ยวกับครูในเรื่องการปฏิรูปครู
โดยยกฐานะให้เป็นวิชาชีพชั้นสูงอย่างแท้จริง โดยปฏิรูประบบการผลิตครูให้มีคุณภาพทัดเทียมกับนานาชาติ
สร้างแรงจูงใจให้คนเรียนดีและมีคุณธรรมเข้าสู่วิชาชีพครู ปรับปรุงระบบเงินเดือนและค่าตอบแทน พัฒนา
ระบบความก้าวหน้าของครู โดยใช้การประเมินเชิงประจักษ์ที่อิงขีดความสามารถและวัดผลสัมฤทธิ์ผลของการ
จัดการศึกษาเป็นหลัก จัดระบบการศึกษาและฝึกอบรมเพื่อพัฒนาคุณภาพครูอย่างต่อเนื่อง แก้ปัญหาหนี้สินครู
โดยการพักชาระหนี้และการปรับโครงสร้างหนี้ตามนโยบายแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนของรัฐบาล พัฒนาระบบภูมิ
สารสนเทศเพื่ อ ใช้ ใ นการกระจายครู ขจั ด ปั ญ หาการขาดแคลนครู ใ นสาระวิ ช าหลั ก เช่ น คณิ ต ศาสตร์
วิทยาศาสตร์ และภาษา มีนโยบายเพื่อขับเคลื่อนการจัดการศึกษาไปสู่เปูาหมายโดยการปฏิรูปผลิตครูและ
พัฒนาครูจานวนการผลิตสอดคล้องกับความต้องการมีความรู้ความสามารถในการจัดการเรียนการสอนในโลก
ยุคใหม่ พัฒนาระบบประเมินวิทยฐานะครูให้เชื่อมโยงกับผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน ดูแลระบบสวัสดิการครูเพื่อ
ขวัญและกาลังใจ
4) สถาบันการศึกษาสังกัดสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มียุทธศาสตร์
สานักพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรอาชีวศึกษา
55
1. สร้างและพัฒนาระบบงานและการบริการภายในสานักให้มีคุณภาพ
2. พัฒนาให้เป็นองค์กรแห่งการเรียนรู้
3. เพิ่มสมรรถนะความรู้และทักษะบุคลากรอาชีวศึกษา
4. นาเทคโนโลยี นวัตกรรมและระบบสารสนเทศมาพัฒนาและประยุกต์ใช้ เพื่อการพัฒนา
บุคลากรอาชีวศึกษา
วิสัยทัศน์สานักพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรอาชีวศึกษา
เป็นองค์กรหลักในการส่งเสริมและพัฒนาบุคลากรอาชีวศึกษาให้มีคุณภาพได้มาตรฐานครู
และบุคลากรการอาชีวศึกษาในระดับประเทศ และภูมิภาค
พันธกิจสานักพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรอาชีวศึกษา
1. พัฒนาระบบการบริหารจัดการภายในองค์กรเพื่อรองรับการพัฒนาบุคลากรอาชีวศึกษาให้
ได้คุณภาพ
2. พัฒนาสมรรถนะ ความรู้และทักษะ บุคลากรอาชีวศึกษาให้เป็นมืออาชีพ
3. พัฒ นาเทคโนโลยี นวัต กรรม และระบบสารสนเทศมาใช้ เพื่ อการพั ฒ นาบุ คลากร
อาชีวศึกษาให้มีประสิทธิภาพทันต่อการเปลี่ยนแปลง
อานาจหน้าที่สานักพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรอาชีวศึกษา
(ก) จัดทาและประเมิน มาตรฐานครูและบุคลากรการอาชีวศึกษา พร้อมทั้งจัดทาข้อเสนอ
แผนการพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรการอาชีวศึกษา
(ข) ติดตามและประเมินผลการพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรการอาชีวศึกษา
(ค) ดาเนิ น การฝึ กอบรมและพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา รวมทั้งประสานความ
ร่ว มมือกับ ภาครั ฐ และเอกชนในการฝึ กอบรมและพัฒ นาครู บุคลากรการอาชีว ศึกษา และครูฝึ กในสถาน
ประกอบการด้านอาชีพ
(ง) วิจัยและพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีการอาชีวศึกษาและฝึกอบรมวิชาชีพ ผลิตและบริการ
เครื่ อ งจั ก รกลและเทคโนโลยี พั ฒ นาระบบเทคโนโลยี ส ารสนเทศเพื่ อ การเรี ย นการสอน เพื่ อ เพิ่ ม ขี ด
ความสามารถของครูและบุคลากรการอาชีวศึกษา
(จ) สร้างและพัฒนารูปแบบการฝึกสมรรถนะของครูและบุคลากรทางการศึกษาและสร้าง
เครือข่ายการฝึกอบรมวิชาชีพให้กับครูและบุคลากรการอาชีวศึกษา
(ฉ) ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับ
มอบหมาย
5) องค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.)
การจัดการศึกษาของเทศบาล องค์การบริหารส่วนตาบล และองค์การบริหารส่วนจังหวัด
อยู่ ใ นสั ง กั ด ของกระทรวงมหาดไทย มี บ ทบาทหน้ า ที่ ห นึ่ ง ในการจั ด การ ศึ ก ษาอย่ า งมี ม าตรฐาน
ตามพระราชบัญญัติกาหนดแผนและขั้นตอนการกระจายอานาจให้แ ก่องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ.2542
มาตรา 16 (9) ประกอบกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 มาตรา 41 บัญญัติให้องค์กรปกครอง
56
4. จัดส่งเสริมกีฬานันทนาการกิจกรรมเยาวชน
5. การดาเนินงานด้านศาสนา ศิลปะ วัฒนธรรม จารีตประเพณีและภูมิปัญญาท้องถิ่น
วัตถุประสงค์
1. เพื่อให้เด็กปฐมวัยได้รับการส่งเสริมและเตรียมความพร้อมทางร่างกาย จิตใจและอารมณ์ สังคม
สติปัญญา ให้มีความพร้อมที่จะเข้ารับการศึกษาในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
2. เพื่ อให้ เด็ กที่มี อายุ อยู่ ในเกณฑ์ก ารศึ กษาขั้น พื้น ฐานทุก คนในเขตความรับ ผิ ด ชอบขององค์ก ร
ปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับการบริการการศึกษาขั้นพื้นฐานครบตามหลักสูตรอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมกัน
3. เพื่อพัฒนาการดาเนินการจัดการศึกษาขั้นพื้นฐานขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่ นให้มีคุณภาพ
ประสิทธิภาพ บรรลุเปูาหมาย วัตถุประสงค์เป็นไปตามมาตรฐานที่รัฐกาหนด และตรงตามความต้องการของ
ประชาชนในท้องถิ่น โดยมุ่งพัฒนาให้เกิดความสมดุล ทั้งทางด้านปัญญา จิตใจ ร่างกาย สังคม ระดับความคิด
ค่านิยม และพฤติกรรม ซึ่งเน้นวิธีการจัดกระบวนการเรียนรู้ที่มีความหลากหลายให้ผู้เรียนเป็นสาคัญ
4. เพื่ อ ให้ ก ารจั ด การศึ ก ษาท้ อ งถิ่ น ด าเนิ น การตามความต้ อ งการและค านึ ง ถึ ง การมี ส่ ว นร่ ว ม
การสนับสนุนบุคคล ครอบครัว ชุมชน เอกชน องค์กรชุมชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ
และประชาชนในท้องถิ่น ในการจัดการศึกษาทุกระดับตามศักยภาพและความสามารถของท้องถิ่น
5. เพื่อส่งเสริมให้เด็ก เยาวชน และประชาชนในท้องถิ่นได้ออกกาลังกายและฝึกฝนกีฬาร่วมกิจกรรม
นันทนาการ และกิจกรรมการพัฒนาเยาวชนเพื่อพัฒนาให้เป็นคนมีคุณภาพทั้งทางร่างกาย สติปัญญา จิตใจ
และสังคม โดยมีความตระหนักในคุณค่าของการกีฬา นันทนาการ และปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเด็กและเยาวชน
ไปในแนวทางที่ถูกต้อง ใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์
6. เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจแก่ประชาชนในการสร้าง และพัฒนาอาชีพ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต
โดยเฉพาะในกลุ่มผู้ขาดโอกาส ผู้ด้อยโอกาส ผู้พิการทุพพลภาพ ซึ่งเป็นการส่ งเสริม สนับสนุนการประกอบ
อาชีพให้มีงานทา ไม่เป็นภาระแก่สังคม
7. เพื่อบารุงการศาสนาและอนุรั กษ์ บารุงรักษาศิลปะ วัฒนธรรม จารีตประเพณี และภูมิปัญญา
ท้องถิ่นมีความภาคภูมิใจในเอกลักษณ์ความเป็นไทย
นโยบายการจัดการศึกษาท้องถิ่น
1. นโยบายด้านความเสมอภาคของโอกาสทางการศึกษาขั้นพื้นฐาน เร่งรัดจัดการศึกษาให้บุคคลมีสิทธิ
และโอกาสเสมอกันในการเข้ารับบริการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ไม่น้อยกว่า 12 ปี ให้ได้อย่างทั่ วถึงและมีคุณภาพ
โดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย
2. นโยบายด้านการจัดการศึกษาปฐมวัย จัดการศึกษาให้เด็กปฐมวัยได้เข้ารับบริการทางการศึกษา
อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพ ส่งเสริมสนับสนุนให้บุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบัน
ศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่นในท้องถิ่นมีสิทธิและมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษาปฐมวัย
3. นโยบายด้านคุณภาพมาตรฐานการศึกษา พัฒนาคุณภาพและมาตรฐาน และจั ดระบบประกัน
คุณภาพการศึกษาทุกระดับและประเภทการศึกษา
58
4. นโยบายด้านระบบบริหารและการจัดการศึกษา จัดระบบบริหารและการจัดการศึกษาให้สอดคล้อง
กับระบบการจัดการศึกษาของชาติอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล โดยมีเอกภาพในเชิงนโยบาย มีความ
หลากหลายในการปฏิบัติ อีกทั้งมีความพร้อมในการดาเนินการจัดการศึกษา และส่งเสริมให้ชุมชนมีส่วนร่วมใน
การจัดการศึกษาท้องถิ่น การกาหนดนโยบายและแผนการจัดการศึกษา ให้คานึงถึงผลกระทบต่ อการศึกษา
ของเอกชนหรือรับฟังความคิดเห็นของเอกชน และประชาชนประกอบการพิจารณาด้วย
5. นโยบายด้านครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา วางแผนบุคคล เพื่อใช้ในการประสานข้อมูล
และเป็นข้อมูลในการนาเสนอพิจารณาสรรหาบุคลากร พร้อมทั้งมีการประเมินผลการปฏิบัติงาน การพัฒนาครู
คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่เหมาะสมกับการเป็น
วิชาชีพชั้นสูง โดยมีสิท ธิประโยชน์สวัสดิการ ค่าตอบแทนเพียงพอและเหมาะสมกั บคุณภาพและมาตรฐาน
วิชาชีพชั้นสูง
6. นโยบายหลักสูตร ให้สถานศึกษาจัดทารายละเอียดสาระหลักสูตรแกนกลางและสาระหลักสูตร
ท้อ งถิ่ น ที่ เน้ น ความรู้ คุณ ธรรม กระบวนการเรีย นรู้ และบูร ณาการตามความเหมาะสมของแต่ ล ะระดั บ
การศึกษาทั้งการศึกษาในระบบการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย โดยให้สอดคล้องกับสภาพ
ปัญหาและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ ความเป็นไทย ความเป็นพลเมืองดีของสังคมและชาติ โดยคานึงถึงความ
เป็นมาทางประวัติศาสตร์
7. นโยบายด้านกระบวนการเรียนรู้ จัดกระบวนการเรียนรู้ให้ผู้เรียนทุก คนมีจิตสานึกในความเป็นไทย
และสามารถเรียนรู้พัฒนาตนเองได้ โดยถือว่าผู้เรียนสาคัญที่สุด การจัดการศึกษาต้องส่งเสริมให้ผู้เรียนพัฒนา
ตามธรรมชาติเต็มตามศักยภาพให้เป็นการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องตลอดชีวิต และส่งเสริมให้ผู้สอนสามารถวิจัย
เพื่อพัฒนาการเรียนรู้ที่เหมาะสมกับผู้เรียนในแต่ละระดับการศึกษา
8. นโยบายด้านทรัพยากรและการลงทุนเพื่อการศึกษา ระดมทรัพยากรและการลงทุ นเพื่อการศึกษา
อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลทั้งในด้านงบประมาณการเงิน ทรัพย์สินในประเทศจากรัฐ บุคคล องค์กร
เอกชน องค์ก รวิ ช าชีพ สถาบั น ศาสนา สถานประกอบการ สถาบั น สั ง คมอื่น และต่ างประเทศมาใช้ จั ด
การศึกษา และจัดสรรงบประมาณให้กับการศึกษาในฐานะที่มีความสาคัญสูงสุดต่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
9. นโยบายด้านเทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ส่งเสริมสนับสนุนให้มีการผลิตและพัฒนาแบบเรียนเอกสาร
ทางวิชาการ สื่อสิ่งพิมพ์อื่น วัสดุอุปกรณ์ และเทคโนโลยีเพื่อการศึกษาอื่น โดยเร่งรัดพัฒนาขีดความสามารถใน
การผลิต จัดให้มีการเงินสนับสนุนการผลิตและมีแรงจูงใจในการผลิต รวมถึงการพัฒนาและการประยุกต์ใช้
เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา ตลอดจนการสื่อสารทุกรูปแบบสื่อ ตัวนาและโครงสร้างพื้นฐานที่จาเป็นต่อการส่ง
วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ วิทยุโทรคมนาคม และการสื่อสารในรูปแบบอื่น
10. นโยบายด้านการส่งเสริมการศึกษา นันทนาการ และกิจกรรมเด็กเยาวชน ส่งเสริมสนับสนุนการ
ดาเนินงานด้านการกีฬา นันทนาการ กิจกรรมเด็กเยาวชน รวมทั้งแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิ ตทุกรูปแบบบริการแก่
เด็กเยาวชน ประชาชนอย่างหลากหลาย พอเพียงและมีประสิทธิภาพ
11. นโยบายการส่งเสริมอาชีพ สนับสนุน ส่งเสริม ช่วยเหลือ ให้มีการประกอบอาชีพอิสระที่ถูกต้อง
ตามกฎหมาย จัดให้มีการรวมกลุ่มอาชีพภูมิปัญญาท้องถิ่น สนับสนุนระดมทุน และการจัดการ นาวิทยาการ
59
2.4 การใช้ครูในต่างประเทศ
สาหรับการใช้ครูในต่างประเทศได้ให้ความสาคัญกับการกาหนดนโยบายการศึกษาระหว่างหน่วยงาน
ทางการศึกษาร่วมกับครอบครัว ธุรกิจในชุมชน ภาคอุตสาหกรรมและชุมชนโดยรวม ดังที่รายงานการวิจัยเรื่อง
สภาวะการขาดแคลนครูในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานของประเทศออสเตรเลียและประเทศสหรัฐ อเมริกา
(ชนิตา รักษ์พลเมือง และคณะ, 2548) เกี่ยวกับแนวทางของนโยบายการจัดการศึกษา อาทิ คาประกาศอดิเลด
ปี 1999 (Adelaide Declaration 1999) เป็นนโยบายฉบับแรกที่เน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง ได้กาหนด
เปูาหมายอันเป็นพันธกิจร่วมกันของชาติ (National Goals for Schooling) ข้อหนึ่งว่า เสริมสร้างโรงเรียนให้
เป็นชุมชนแห่งการเรียนรู้ ที่ซึ่งครู นักเรียน และครอบครัวได้ทางานร่วมกันกับภาคธุรกิจ อุตสาหกรรมและ
ชุมชนโดยรวม ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางการจัดการศึกษาที่ให้นักเรียนเข้าร่วมโครงการด้านอาชีพในช่วงปี
การศึกษาภาคบังคับ และมีโอกาสได้รับการศึกษาและฝึกอบรมในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย อีกทั้งยังจัด
โครงการและกิจกรรมที่ส่งเสริมทักษะการประกอบการ (Enterprise Skills) ตลอดจนทักษะอื่นๆ ที่จะช่วยให้
ผู้เรียนมีความสามารถในการปรับตนในอนาคต โดยให้ความสาคัญอย่างมากกับการดูแลและพัฒนาครู จาก
รายงานการวิจัยกล่าวว่า ภาระงานของผู้บริหารโรงเรียนทั้งในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาใช้เวลามาก
ที่สุ ดในงานสวัสดิการครูและนักเรี ยน รองลงมาคืองานด้านการวางแผนยุทธศาสตร์และการเป็นผู้นาทาง
การศึกษา งานบริหารทั่วไป บริหารการเงิน งานสอน งานด้านการตลาด และงานอื่นๆ
สาหรับครูในประเทศออสเตรเลีย มีภาระงานในหลายมิติ ได้แก่ ภาระงานหลัก (Key Learning
Areas) ที่มี ครู ส อนมากที่สุ ดคื อ ภาษาอังกฤษ รองลงมาคือ คณิตศาสตร์ สั งคมและสิ่ งแวดล้ อมศึกษา
วิทยาศาสตร์ ศิลปะ เทคโนโลยี สุขศึกษาและพลศึกษา และครูสอนภาษาอื่น นอกจากงานสอนยังทางาน
บริ หารและงานสนั บสนุน อื่นๆ ภาระงานอื่น ได้แก่ กิจกรรมพัฒ นาวิชาชีพ ออกแบบและพัฒ นาหลั กสู ตร
งานแผนงานโรงเรียน งานการตลาด งานชุมชนสัมพันธ์ เทคโนโลยีสารสนเทศ สุขภาพและความปลอดภัย ทั้งนี้
ครู ไ ด้ ท างานการเงิ น และการจั ด การสิ่ ง อ านวยความสะดวกของโรงเรี ย นน้ อ ยมาก อย่ า งไรก็ ดี ป ระเทศ
ออสเตรเลียยังประสบปัญหาการขาดแคลนครูตั้งแต่ปี 2540 ซึ่งแม้ว่าได้รับการแก้ไขแต่กลับพบปัญหาอื่น คือ
การขาดแคลนครูในบางสาขาวิชาเอก
การศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกามีกฎหมายหลักในการจัดการศึกษาระดับอนุบาลถึงมัธยมศึกษา
(K-12) ในการบริหารงาน มีรัฐบาลเป็นผู้สนับสนุนงบประมาณ ให้อานาจแต่ละมลรัฐบริหารงานในแบบพื้นที่
เป็นฐาน (Site-Based Management) จากศูนย์แห่งชาติด้านสถิติการศึกษา (National Center for
Educational Statistics: NCES) รายงานผลการสารวจว่าในปีการศึกษา 2544-2545 ว่ามีบุคลากรทาง
การศึกษาของรัฐทั้งสิ้น 5,902,916 คน ประกอบด้วยสายบริหาร สายการสอนและสายสนับสนุน ผู้บริหาร
โรงเรียนมีหน้าที่รับผิดชอบการวางแผนงานวิชาการ งานบริหาร รวมถึงการว่าจ้าง ประเมินผลการทางาน และ
พัฒนาทักษะให้แก่ครูผู้สอนและบุคลากรอื่น รวมทั้งต้องกาหนดนโยบายและเปูาหมายของโรงเรียนร่วมกับ
ผู้ปกครอง ผู้สอน ชุมชน ตามนโยบายการกระจายอานาจทางการศึกษา ครูผู้สอนมีหน้าที่ส่วนใหญ่เกี่ยวกับ
62
เรื่องการจัดการเรียนการสอน ครูระดับก่อนประถมศึกษามีหน้าที่จัดกิจกรรมพัฒนาความสามารถด้านภาษา
และทักษะทางสังคม ครูประจาชั้นระดับประถมมีหน้าที่สอนหลายรายวิชา ยกเว้นวิชาเฉพาะ ได้ แก่ ดนตรี
ศิลปะ พลศึกษา ครูมัธยมศึกษาสอนรายวิชาที่ตนเองเชี่ยวชาญเฉพาะ เช่น ภาษาอังกฤษ สเปน คณิตศาสตร์
ประวัติศาสตร์ ชีววิทยา และการงานพื้นฐานอาชีพ นอกจากนี้ยังมีงานอื่นที่ครูต้องทา คือเป็นที่ปรึกษากิจกรรม
นอกหลักสูตร แนะแนวการศึกษาและวิชาชีพ และภายใต้การบริหารแบบใช้พื้นที่เป็นฐาน (Site-based) ครูจึง
สามารถเข้ามามีส่วนร่วมในการตัดสินใจกิจการของโรงเรียนด้านอื่นๆ เช่น งบประมาณ บุคลากร หนังสือ
แบบเรี ย น การออกแบบและพัฒ นาหลั กสู ต ร และวิ ธีก ารสอน ในด้ านการวางแผนการผลิ ต ครูพ บว่า ไม่
สอดคล้องกับความต้องการใช้ครู กล่าวคือ มีจานวนการผลิตที่เพียงพอ แต่ขาดการวางแผนและเปูาหมายของ
การผลิตที่ไม่เชื่อมกับการศึกษาขั้นพื้นฐานกับอุดมศึกษา การขาดการวางแผนบรรจุครูในภาพรวม ทาให้เกิด
ความไม่สอดคล้องระหว่างอุปสงค์กับอุปทานที่ว่า นักศึกษาครูจานวนมากไม่เรียนวิชาเอกในสาขาที่ขาดแคลน
ได้แก่ คณิต ศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ครู สอนสองภาษา และการศึกษาพิเศษ นักศึกษาบางส่ว นเปลี่ยนอาชีพ
หลังจากเรียนจบ รวมทั้งเลือกเขตการทางานบริเวณชานเมืองมากกว่าในเมืองหรือในชนบท นอกจากนี้ ยังมี
ปัญหาเรื่องเชื้อชาติที่มีนักเรียนในหลากหลายวัฒนธรรมและเชื้อชาติมากขึ้นแต่กลับขาดครูต่างสีผิวหรือต่าง
วัฒนธรรม ในทุกวิชา ทุกระดับชั้นและทุกพื้นที่ บางพื้นที่ต้องการครูเพศชายมากกว่าครูเพศหญิง รวมทั้ง
ปัญหาครูลาออกอีกส่วนหนึ่งด้วย
สรุปได้ว่า ทั้งสองประเทศยังมีปัญหาเรื่องการขาดแคลนครูในบางสาขาวิชา เนื่องจากมิได้มีการสารวจ
ความต้องการที่แท้จริงก่อนการกาหนนโยบายการผลิตครู ทาให้มีครูไม่เพียงพอในบางพื้นที่นอกจากนี้ ยังการ
จัดการศึกษาในประเทศออสเตรเลียและสหรัฐอเมริกาได้ให้ความสาคัญกับความร่วมมือระหว่างองค์กรท้องถิ่น
และสถานศึกษามากยิ่งขึ้น สนับสนุนให้ผู้เรียนเรียนรู้งานในชุมชน เพื่อแสวงหาหนทางการเรียนของตนเอง
ต่อไป
3. นโยบายการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ประเทศไทยมีน โยบายการพัฒ นาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานมาอย่างยาวนาน โดยรัฐ ธรรมนูญ แห่ ง
ราชอาณาจักรไทย พ.ศ.2550 มาตรา 80 (3) กาหนดให้มีการพัฒนาวิชาชีพครู พระราชบัญญัติการศึกษา
แห่งชาติ พ.ศ.2552 หมวด 7 มาตรา 52 ก็ได้กาหนดให้กระทรวงศึกษาธิการส่งเสริมให้มีระบบการพัฒนาครู
และให้พัฒนาครู ประจ าการอย่างต่อเนื่อง โดยให้รัฐ พึงจัดสรรงบประมาณอย่างเพียงพอ นอกจากนี้ มติที่
ประชุมคณะกรรมการกลั่นกรองเรื่องเสนอคณะรัฐมนตรี คณะที่ 4 ในคราวประชุมเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2547 ก็
ได้อนุมัติในหลักการแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาศักยภาพครู โดยระบุให้มีการสร้างเอกภาพการอบรมที่เน้น
โรงเรียนเป็น (SBT-school-based training) และสนับสนุนส่งเสริมเครือข่ายพัฒนาครู ได้แก่ ครูแกนนา ครู
ต้นแบบ ครูแห่งชาติ (พิมพ์พันธ์ เดชะคุปต์ และพรทิพย์ แข็งขัน, 2551: 99) สาหรับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับ
การพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานในประเทศไทย ได้แก่ (สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2553: 31-32)
63
2. พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ
สาระสาคัญของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับการผลิตครู มีดังนี้
(กระทรวงศึกษาธิการ, ออนไลน์)
มาตรา 6 การจัดการศึกษาต้องเป็นไปเพื่อพัฒนาคนไทย ให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้งร่างกาย จิตใจ
สติปัญญา ความรู้และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างมี
ความสุข การดาเนินงานของสถาบันผลิตครู การจัดการศึกษาจะต้องเน้นให้บัณฑิตครูเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ทั้ง
ร่างกาย จิตใจ สติปัญญา ความรู้ และคุณธรรม มีจริยธรรมและวัฒนธรรมในการดารงชีวิต สามารถอยู่ร่วมกับ
ผู้อื่นได้อย่างมีความสุข และสามารถที่จะถ่ายทอดคุณลักษณะดังกล่าวแก่ศิษย์และผู้อื่นได้
มาตรา 7 ในกระบวนการเรียนรู้ต้องมุ่งปลูกฝังจิตสานึกที่ถู กต้องเกี่ยวกับการเมืองการปกครองใน
ระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข รู้จักรัก ษาและส่งเสริมสิทธิและหน้าที่ เสรีภาพ ความ
เคารพกฎหมาย ความเสมอภาค และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ มีความภาคภูมิใจในความเป็นไทย รู้จักรักษา
ผลประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติ รวมทั้งส่งเสริมศาสนา ศิลปวัฒนธรรมของชาติ การกีฬา ภูมิปัญญา
ท้องถิ่น ภูมิปั ญญาไทย และความรู้ อั น เป็ น สากล ตลอดจนอนุ รักษ์ท รัพยากรธรรมชาติ และสิ่ งแวดล้ อ ม
มีความสามารถในการประกอบอาชีพ รู้จักพึ่งตนเอง มีความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ ใฝุรู้ และเรียนรู้ด้วยตนเอง
อย่างต่อเนื่อง
การดาเนินงานของสถาบันผลิตครู การจัดการศึกษา จะต้องปลูกฝัง และถ่ายทอดกระบวนการปลูกฝัง
จิตสานึก การปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข การรักษาสิทธิ หน้าที่ และ
เสรีภาพ เคารพกฎหมาย รักวัฒนธรรมไทย เข้าใจภูมิปัญญาท้องถิ่นรวมทั้งการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ
และสิ่งแวดล้อม สามารถจัดการศึกษาที่เน้นให้ผู้เรียนมีลักษณะและสมรรถภาพใฝุรู้ใฝุเรียน
มาตรา 8 การจัดการศึกษาให้ยึดหลักดังนี้
1. เป็นการศึกษาตลอดชีวิตสาหรับประชาชน
2. ให้สังคมมีส่วนร่วมในการจัดการศึกษา
3. การพัฒนาสาระและกระบวนการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง
การด าเนิ น งานของสถาบั น ผลิ ต ครู จะต้ อ งพั ฒ นารู ป แบบการผลิ ต บั ณ ฑิ ต ที่ มี ค ว ามสามารถจั ด
การศึกษาตลอดชีวิต และมีความหลากหลายรูปแบบ เพื่อสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาให้แก่ประชาชนใน
ท้องถิ่น และเน้นการมีส่วนร่วมของประชาชน และองค์ท้องถิ่นในการจัดการศึกษา อาทิ การมีส่วนร่วมในการ
กาหนดหลั ก สู ต ร การจั ดกิ จ กรรมการเรี ย นการสอน การตรวจสอบมาตรฐานการศึ ก ษา และการระดม
ทรัพยากรในการจัดการศึกษา รวมทั้งการนาผู้ทรงคุณวุฒิในท้องถิ่นเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษา
65
การดาเนินงานของสถาบันผลิตครู การจัดการศึกษาต้องยึดหลักการผสมผสานการเรียนรู้ด้วยตนเอง
และเป็นการเรียนรู้เพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้มีศักยภาพสูงขึ้น ในรูปแบบการจัดการศึกษาที่หลากหลาย
มาตรา 28 สาระของหลักสูตร ทั้งที่เป็นวิชาการและวิชาชีพ ต้องมุ่งพัฒนาคนให้มีความสมดุลทั้งด้าน
ความรู้ ความคิด ความสามารถ ความดีงาม และความรับผิดชอบต่อสังคม และมุ่งหมายเฉพาะที่จะพัฒนา
วิชาการ วิชาชีพชั้นสูง และการค้นคว้าวิจัย เพื่อพัฒนาองค์ความรู้ใหม่และพัฒนาสังคม
การดาเนินงานของสถาบันผลิตครู สถาบันผลิตครูจะต้องพัฒนาหลักสูตรที่ประกอบด้วยความรู้ทาง
วิชาการ และวิชาชีพครู ที่มุ่งพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เป็นคนที่สมบูรณ์ทั้งในด้านความรู้ ความคิด ความดีงาม
และความรับผิดชอบต่อสังคม
มาตรา 29 ให้สถานศึกษาร่วมกับบุคคล ครอบครัว ชุมชน องค์กรของชุมชน องค์กรปกครองท้องถิ่น
เอกชน องค์กรเอกชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันสังคมอื่นๆ ส่งเสริมความ
เข้มแข็งของชุมชนโดยการจัดกระบวนการเรียนรู้ภายในชุมชน เพื่อให้ชุมชนมีการศึกษาอบรม มีการแสวงหา
ความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร และรู้จักเลือกสรรภูมิปัญญาและวิทยาการต่างๆ เพื่อพัฒนาชุมชน ให้สอดคล้องกับ
สภาพปัญหาและความต้องการ รวมทั้งหาวิธีการสนับสนุนให้การแลกเปลี่ยนประสบการณ์การพัฒนาระหว่าง
ชุมชน
การดาเนินงานของสถาบันผลิตครู ต้องขยายบทบาทการพัฒนาชุมชน โดยเน้นการนาการศึกษาเพื่อ
เสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่ชุมชน สามารถพึ่งพาตนเองได้ ซึ่งจะนาไปสู่การพัฒนาแบบยั่งยืน และเพื่อให้
บทบาทดังกล่าวมีประสิทธิภาพ ควรพัฒนาศูนย์ศึกษาพัฒนาครูให้มีบทบาทดังกล่าวด้วย
มาตรา 52 กาหนดให้ กระทรวงศึกษาธิการส่ งเสริมให้ มีระบบ กระบวนการผลิ ต การพัฒ นาครู
คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ให้มีคุณภาพและมาตรฐานที่เหมาะสมกับการเป็นวิชาชีพชั้นสูงโดยการ
กากับ และประสานให้สถาบันที่ทาหน้าที่ผลิตและพัฒนาครู คณาจารย์ รวมทั้งบุคลากรทางการศึกษาให้มี
ความพร้อม ความเข้มแข็งในการเตรียมบุคลากรใหม่ และการพัฒนาบุคลากรประจาการอย่างต่อเนื่อง รัฐพึง
จัดสรรงบประมาณ และจัดตั้งกองทุนพัฒนาครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษาอย่างเพียงพอ
การด าเนิ น งานของสถาบั น ผลิ ต ครู การผลิ ต และพั ฒ นาครู จ ะต้ อ งเป็ น ระบบมากขึ้ น และเป็ น
กระบวนการพัฒนาที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างสถาบันผลิตครู องค์กรวิชาชีพครู และหน่วยงานผู้ใช้ครู
เพราะเป็นการกาหนดไว้ในพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 ซึ่งในอดีตไม่มี ดังนั้นสถาบันผลิตครู
จะต้องเป็นองค์กรชี้นาการพัฒนาวิชาชีพครู
มาตรา 53 ให้มีองค์กรวิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษามีฐานเป็นองค์กรอิสระ
ภายใต้การบริหารของสภาวิชาชีพ ในกากับของกระทรวง มีอานาจหน้าที่กาหนดมาตรฐานวิชาชีพ ออกและ
เพิกถอนใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ กากับดูแ ลการปฏิบัติตามมาตรฐานและจรรยาบรรณวิชาชีพ รวมทั้งการ
พัฒนาวิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา และผู้บริหารการศึกษา
ให้ครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่นทั้งของรัฐและเอกชน
ต้องมีใบประกอบวิชาชีพตามที่กฎหมายกาหนด การจัดให้มีองค์กรวิชาชีพครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหาร
67
บทเฉพาะกาล
1) ให้ คณะกรรมการอ านวยการคุรุส ภาเท่าที่มีอ ยู่ตาม พ.ร.บ.ครู พ.ศ.2488 ปฏิบัติห น้า ที่
คณะกรรมการคุรุสภาและคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการฯ ไปพลางก่อน
2) ให้รัฐมนตรีแต่งตั้งคณะกรรมการคณะหนึ่ง จานวน 15 คน ให้มีหน้าที่ดาเนินการให้ได้มาซึ่ง
คณะกรรมการคุรุสภาและคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการฯ ภายใน 180 วัน นับแต่พระราชบัญญัติใช้บังคับ
(มาตรา 77) ประกอบด้วย (1) ผู้แทนหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 5 คน ปลัดกระทรวงศึกษาธิการ เลขาธิการสภา
การศึกษา เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เลขาธิการคณะกรรมการการอุดมศึกษา เลขาธิการ
คณะกรรมการการอาชีวศึกษา (2) กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิที่มีประสบการณ์สูง ด้านละ 1 คน รวม5 คน
(3) ผู้แทนสมาคมวิชาชีพด้านการศึกษาที่เป็นนิติบุคคล ซึ่งเลือกกันเอง 5 คน ให้คณะกรรมการคุรุสภาและ
คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการฯ ดาเนินการให้มีการแต่งตั้งเลขาธิการคุรุสภาและเลขาธิการคณะกรรมการ
ส่งเสริมสวัสดิการฯ แล้วแต่กรณี ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่คณะกรรมการได้รับการแต่งตั้ง (มาตรา 78) ให้
เลขาธิก ารคุรุ ส ภา ตามพระราชบั ญญั ติ ค รู พ.ศ.2488 ปฏิ บัติ ห น้ าที่ เ ลขาธิ การคุ รุส ภาและเลขาธิก าร
คณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการฯ และให้รองเลขาธิการคุรุสภาตามพระราชบัญญัติครู พ.ศ.2488 ปฏิบัติ
หน้าที่รองเลขาธิการคุรุสภาและรองเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการฯ ตามพระราชบัญญัตินี้ไปก่อน
จนกว่าจะมีการแต่งตั้งเลขาธิการ (มาตรา 79) ให้เจ้าหน้าที่และพนักงานของคุรุสภาตามพระราชบัญญัติครู
พ.ศ.2488 เป็นเจ้าหน้าที่และพนักงานของคุรุสภา และของสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมสวัสดิการฯ ตาม
พระราชบัญญัตินี้แล้วแต่กรณี โดยให้ดาเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน
ให้มีการปรับปรุงการบริหารจัดการขององค์การค้าของคุรุสภาให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงและมี
ประสิทธิภาพสามารถแข่งขันอย่างเสรีได้
ผู้ใดเป็นครูซึ่งเป็นสมาชิกคุรุสภาตามพระราชบัญญัติครู พ.ศ.2488 อยู่แล้วก่อนพระราชบัญญัตินี้ใช้
บังคับ มีสิทธิได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ หลักเกณฑ์และวิธีการออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูให้
เป็นไปตามข้อบังคับของคุรุสภา (มาตรา 81)
ในวาระเริ่มแรกให้คุรุสภาออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูแก่ผู้ประกอบวิชาชีพที่ดารงตาแหน่งครู
ผู้บริหารการศึกษา และบุคลากรทางการศึกษาอื่น และภายใน 3 ปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับให้มี
การออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพผู้บริหารการศึกษาตามข้อบังคับของคุรุสภา ทั้งนี้ให้ผู้ปฏิบัติงานในตาแหน่ง
ดังกล่าว มีสิทธิได้รับใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ (มาตรา 82)
ให้วุฒิปริญญาทางการศึกษา หรือปริญญาอื่นที่ ก.ค. กาหนดให้เป็นคุณวุฒิที่ใช้ในการบรรจุและ
แต่งตั้ งเป็ น ข้าราชการครู ก่อนวั น ที่พระราชบัญ ญัตินี้ใช้ บังคับ เป็นคุ ณวุฒิ ในการขอรั บใบอนุ ญาตตาม
พระราชบัญญัตินี้ ทั้งนี้ไม่เกิน 3 ปี นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ (มาตรา 85)
ให้สมาชิกคุรุสภาตามพระราชบัญญัติครู พ.ศ.2488 ที่ได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการต่างๆ อยู่ก่อน
พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ คงมีสิทธิได้รับสิทธิประโยชน์และสวัสดิการนั้นๆ ต่อไป (มาตรา 86)
75
ด้านคุณธรรม จริยธรรม
1) แสดงออกซึ่งพฤติกรรมด้านคุณธรรมจริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพครู มีคุณธรรมที่
เสริมสร้างการพัฒนาที่ยั่งยืน มีความกล้าหาญทางจริยธรรม มีความเข้าใจผู้อื่น เข้าใจโลก มีจิตสาธารณะ
เสียสละ และเป็นแบบอย่างที่ดี
2) สามารถจัดการและคิดแก้ปัญหาทางคุณธรรมจริยธรรม จรรยาบรรณวิชาชีพครูเชิงสัมพัทธ์โดย
ใช้ดุลยพินิจทางค่านิยม ความรู้สึกของผู้อื่น และประโยชน์ของสังคมส่วนรวม
ด้านความรู้
1) มีความรอบรู้ในด้านความรู้ทั่วไป วิชาชีพครู และวิชาที่จะสอน อย่างกว้า งขวางลึกซึ้ง และเป็น
ระบบ
2) มีความตระหนักรู้หลักการและทฤษฎีในองค์ความรู้ที่เกี่ยวข้องอย่างบูรณาการ ทั้งการบูรณา
การข้ามศาสตร์ และการบูรณาการกับโลกแห่งความเป็นจริง
3) มีความเข้าใจความก้าวหน้าของความรู้เฉพาะด้านในสาขาวิชาที่จะสอนอย่างลึกซึ้ง ตระหนัก
ถึงความสาคัญของงานวิจัยและการวิจัยในการต่อยอดความรู้
4) มีความสามารถในการคิดวิเคราะห์ สังเคราะห์ และประเมินค่าองค์ความรู้ และสามารถนาไป
ประยุกต์ใช้ในการปฏิบัติงานวิชาชีพครูอย่างมีประสิทธิภาพ
ด้านทักษะทางปัญญา
1) สามารถคิดค้นหาข้อเท็จจริง ทาความเข้าใจ และประเมินข้อมูลสารสนเทศและแนวคิดจาก
แหล่งข้อมูลที่หลากหลาย เพื่อใช้ในการปฏิบัติงาน การวินิจฉัย แก้ปัญหา และทาการวิจัยเพื่อพัฒนางานและ
พัฒนาองค์ความรู้ได้ด้วยตนเอง
2) สามารถคิดแก้ปัญหาที่มีความสลับซับซ้อน เสนอทางออก และนาไปสู่การแก้ไขได้อย่าง
สร้างสรรค์ โดยคานึงถึงความรู้ทางภาคทฤษฎี ประสบการณ์ภาคปฏิบัติ และผลกระทบจากการตัดสินใจ
3) มีความเป็นผู้นาทางปัญญาในการคิดพัฒนางานอย่างสร้างสรรค์ มีวิสัยทัศน์ และการพัฒนาศาสตร์
ทางครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ รวมทั้งการพัฒนาทางวิชาชีพอย่างมีนวัตกรรม
ด้านทักษะความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลและความรับผิดชอบ
1) มีความไวในการรับรู้ความรู้สึกของผู้อื่น เข้าใจผู้อื่น มีมุมมองเชิงบวก มีวุฒิภาวะทางอารมณ์
และทางสังคม
2) มีความเอาใจใส่ช่วยเหลือและเอื้อต่อการแก้ปัญหาในกลุ่มและระหว่างกลุ่มได้อย่างสร้างสรรค์
3) มีภาวะผู้นาและผู้ตามที่ดี มีความสัมพั นธ์ที่ดีกับผู้เรียน และมีความรับผิดชอบต่อส่วนรวมทั้ง
ด้านเศรษฐกิจ สังคม และสิ่งแวดล้อม
ด้านทักษะการวิเคราะห์เชิงตัวเลข การสื่อสาร และการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ
1) มีความไวในการวิเคราะห์ข้อมูลข่าวสารทั้งที่เป็นตัวเลขเชิงสถิติ หรือคณิตศาสตร์ ภาษาพูด
และภาษาเขียน อันมีผลให้สามารถเข้าใจองค์ความรู้ หรือประเด็นปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
80
6. มาตรฐานวิชาชีพครู
ครูเป็นวิชาชีพที่มีความสาคัญต่อการพัฒนาการศึกษาของชาติ จึงมีความจาเป็นที่จะต้องมีมาตรฐาน
วิชาชีพครู เพื่อควบคุม ดูแลการประกอบวิชาชีพครูให้ดารงไว้ซึ่งความถูกต้อง มีเกียรติและศักดิ์ศรีของวิชาชีพ
และเพื่อเป็นผู้สามารถนาพาประชาชนของชาติไปสู่การพัฒนาตามกระแสโลกาภิวัตน์ได้อย่างยั่งยืน มั่นคง และ
ปลอดภัย (นารีรัตน์ เจริญเดช, ออนไลน์) โดยคุรุสภาได้มีประกาศบังคับข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐาน
วิชาชีพ พ.ศ.2556 และยังได้มีการประกาศการรับรองปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษาเพื่อการ
ประกอบอาชีพ พ.ศ.2557 ดังนี้
6.1 มาตรฐานวิชาชีพครู
สานักงานเลขาธิการคุรุสภาได้ประกาศข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ.2556 กาหนดว่า
“วิชาชีพ” หมายความว่า วิชาชีพทางการศึกษาที่ ทาหน้าที่หลักทางด้านการเรียนการสอนและการส่งเสริม
การเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการต่างๆ รวมถึงการรับผิดชอบสถานศึกษาในสถานศึกษาปฐมวัย การศึกษา
ขั้นพื้นฐาน และอุดมศึกษาที่ต่ากว่าปริญญาตรีทั้งในรัฐและเอกชน และการบริหารการศึกษานอกสถานศึกษา
ในระดับเขตพื้นที่การศึกษา การสนับสนุนการศึกษา ให้บริการหรือปฏิบัติงานเกี่ยวกับการจัดกระบวนการ
เรียนการสอน การนิเทศ และการบริหารการศึกษาในหน่วยงานการศึกษาต่างๆ ส่วน “ครู” หมายความว่า
บุคคลซึ่งประกอบวิชาชีพหลักทางด้านการเรียนการสอนและการส่งเสริมการเรียนรู้ของผู้เรียนด้วยวิธีการต่างๆ
ในสถานศึกษาปฐมวัย ขั้นพื้นฐาน และอุดมศึกษาที่ต่ากว่าปริญญาทั้งของรัฐและเอกชน (คุรุสภา, ออนไลน์ )
สาหรับมาตรฐานวิชาชีพตามข้อบังคับข้างต้น แบ่งออกเป็น 3 ด้าน คือ 1) มาตรฐานความรู้และประสบการณ์
วิชาชีพ 2) มาตรฐานด้านการปฏิบัติงาน และ 3) มาตรฐานการปฏิบัติตน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
1) มาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ เป็นข้อกาหนดเกี่ยวกับความรู้และประสบการณ์จัดการ
เรี ย นการสอนหรื อ การจั ด การศึ ก ษา ซึ่ ง ผู้ ที่ ต้ อ งการประกอบวิ ช าชี พ ทางการศึ ก ษาจะต้ อ งมี ค วามรู้ แ ละ
ประสบการณ์ที่จะสามารถประกอบอาชีพได้ คือ (คุรุสภา, ออนไลน์ และนารีรัตน์ เจริญเดช, ออนไลน์)
81
2. หน่วยการใช้ครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
หน่ ว ยงานที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ การใช้ ค รู ส่ ว นมากเป็ น สถานศึ ก ษาในสั ง กั ด ต่ า งๆ ทั้ ง ที่ สั ง กั ด
กระทรวงศึกษาธิการ เทศบาล กรุงเทพมหานคร และโรงเรียนเอกชนในควบคุมของกระทรวงศึกษาธิการ
ตลอดจนหน่วยงานที่จัดตั้งเพื่อให้ความรู้และการศึกษาในรูปแบบต่างๆ ในสั งกัดกระทรวง ทบวงอื่นๆ ได้แก่
โรงเรียน สถาบัน ซึ่งมีความแตกต่างกันในแต่ละสังกัด
91
2.1 สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
สานักงานคณะกรรมการศึกษาขั้นพื้นฐานดาเนินงานร่วมกับหน่วยงานต่างๆ คือ กระทรวงศึกษาธิการ
สานักงานปลัดกระทรวง สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
ส านั กงานเลขาธิการสภาการศึกษาและส านักงานเลขาธิการคณะรัฐ มนตรี ซึ่งจะทางานประสานร่ว มกั น
หากแต่หน่วยงานหลักที่ใช้ครูคือ โรงเรียนและสถานศึกษาต่างๆ โดยมีจานวนโรงเรียนที่สังกัด สพฐ. ทั้งสิ้น
31,345 โรง แบ่งเป็น สปช. 28,911 โรง สามัญ 2,352 โรง พิเศษ 35 โรง สงเคราะห์ 38 โรง และสพฐ.ใหม่ 9
โรง และหน่ ว ยงานในพื้ น ที่ ที่ มีบ ทบาทโดยตรงในเรื่ อ งการใช้ ค รู ได้ แก่ ส านั กงานเขตพื้น ที่ ก ารศึ กษาทั้ ง
ระดับประถม (สพป.) ซึ่งมีทั้งสิ้น 183 แห่ง และสานักงานเขตพื้นที่การศึกษาระดับมัธยม (สพม.) มีจานวน
ทัง้ สิ้น 42 แห่ง กระจายไปทุกจังหวัดทั่วประเทศ
สานักงานเขตพื้นที่ทางการศึกษามีอานาจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ แก้ไขเพิ่มเติม
(ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 และระเบียบพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิการ (ฉบับที่ 2)
พ.ศ. 2553 และพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553 ที่ได้
ประกาศในราชกิจจานุเบกษาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2553 กาหนดให้มีเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษาและ
เขตพื้นที่การศึกษามัธยมศึกษา โดยอยู่ภายใต้การกากับดูแลของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
มีอานาจหน้าที่ตามมาตรา 34 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการกระทรวงศึกษาธิ การ พ.ศ.2546
กฎกระทรวงกาหนดหลักเกณฑ์การแบ่งส่วนราชการภายในสานักงานเขตพื้นที่การศึกษา พ.ศ.2546 กาหนด
อานาจหน้าที่ของสารักงานเขตมัธยมศึกษา พ.ศ.2553 ดังนี้
(1) จั ดทานโยบาย แผนพัฒ นา และมาตรฐานการศึกษาของเขตพื้นที่การศึกษาให้ ส อดคล้ องกั บ
นโยบาย มาตรฐานการศึกษา แผนการศึกษา แผนพัฒนาการศึกษาขั้นพื้นฐานและความต้องการของท้องถิ่น
(2) วิเคราะห์ การจัดตั้งงบประมาณเงินอุดหนุนทั่ว ไปของสถานศึกษา และหน่วยงานในเขตพื้นที่
การศึกษาและแจ้งการจัดสรรงบประมาณที่ได้รับให้หน่วยงานข้างต้นรับทราบ รวมทั้งกากับ ตรวจสอบติดตาม
การใช้จ่ายงบประมาณของหน่วยงานดังกล่าว
(3) ประสาน ส่งเสริม สนับสนุน และพัฒนาหลักสูตรร่วมกับสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา
(4) กากับ ดูแล ติดตาม และประเมินผลสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน และในเขตพื้นที่การศึกษา
(5) ศึกษา วิเคราะห์ วิจัย และรวบรวมข้อมูลสารสนเทศด้านการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา
(6) ประสานการระดมทรัพยากรด้านต่างๆ รวมทั้งทรัพยากรบุคคล เพื่อส่งเสริม สนับสนุนการจัดและ
พัฒนาการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา
(7) จัดระบบการประกันคุณภาพการศึกษา และประเมินผลสถานศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา
(8) ประสาน ส่งเสริม สนับสนุน การจัดการศึกษาของสถานศึกษาเอกชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
รวมทั้งบุคคล องค์กรชุมชน องค์กรวิชาชีพ สถาบันศาสนา สถานประกอบการ และสถาบันอื่นที่จัดรูปแบบที่
หลากหลายในเขตพื้นที่การศึกษา
(9) ดาเนินการและประสาน ส่งเสริม สนับสนุนการวิจัยและพัฒนาการศึกษาในเขตพื้นที่การศึกษา
92
2.4 สานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน
เมื่อปีการศึกษา 2556 สารวจพบว่ามีโรงเรียนเอกชนทั่วประเทศ 4,355 โรง แบ่งเป็นโรงเรียนในเขต
กรุงเทพมหานคร 881 โรง และส่วนภูมิภาค 3,474 โรง เพื่อรองรับนักเรียนรวม 2,548,147 คน และครู
จ านวน 160,494 คน โดยแต่ ล ะจั ง หวั ด จะมี ส านั ก งานการศึ กษาเอกชน มี ห น้ า ที่ส นั บ สนุ นการใช้ ค รู
โดยประสานงานกับหน่วยงานการศึกษาอื่นในพื้นที่ ทั้ง สพฐ. และอาชีวศึกษา นอกจากนี้ ยังมีหน่วยงานที่ดูแล
สวัสดิการของครูโดยเฉพาะ คือ กองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบ มีบทบาทหน้าที่และภารกิจภายใต้การกากับ
ดูแลของกลุ่มงานกองทุนและสวัสดิการ สานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน มีหน้าที่รับผิดชอบ
ในการ 1) งานกู้ยืมเงินกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบและยืมเงินสาหรับโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลามที่
เปิ ดสอนวิช าศาสนาควบคู่วิช าสามั ญในจั งหวัด ภาคใต้ 2) งานตามบัน ทึกข้อตกลงของกระทรวงการคลั ง
3) งานการเงินและบัญชีกองทุนส่งเสริมโรงเรียนในระบบ 4) งานแผนและงบประมาณ 5) งานอนุกรรมการเงิน
กู้ยืม/เงินยืม 6) งานสารสนเทศ และ 7) งานธุรการ
97
2.5 สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
การแบ่งส่วนราชการของงานอาชีวศึกษา เป็นดังนี้
เลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผน รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานอาชีวศึกษาช่างอุตสาหกรรม รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานอาชีวศึกษาธุรกิจและบริการ รองเลขาธิการคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
ที่ปรึกษาด้านมาตรฐานอาชีวศึกษาเกษตรกรรมและประมง
หน่วยตรวจสอบภายใน
ผู้ช่วยเลขาธิการคณะกรรมการ
กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร
หน่วยศึกษานิเทศก์
จะเห็นได้ว่าหน่วยงานของการอาชีวศึกษาที่ต้องทางานประสานงานไปพร้อมกัน มีดังนี้
- สานักความร่วมมือ
- สานักอานวยการ
- สานักติดตามและประเมินผลการอาชีวศึกษา
- สานักนโยบายและแผนการอาชีวศึกษา
- สานักพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรอาชีวศึกษา
- สานักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ
- สานักวิจัยและพัฒนาการอาชีวศึกษา
- หน่วยตรวจสอบภายใน
- กลุ่มพัฒนาระบบบริหาร
- ศูนย์พัฒนาการศึกษาเขตพัฒนาพิเศษเฉพาะกิจจังหวัดชายแดนภาคใต้
- ศูนย์พัฒนา ส่งเสริม ประสานงานกิจการนักศึกษาและกิจการพิเศษ
- ศูนย์เทคโนโลยีสารสนเทศและกาลังคนอาชีวศึกษา
- หน่วยศึกษานิเทศก์
- ศูนย์อาชีวศึกษาทวิภาคี
- ศูนย์ประสานงานอาชีวศึกษาระหว่างประเทศ
- โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดาริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สนองพระราชดาริโดย
สอศ.
2.6 กรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
การจั ดการศึกษาของกรุงเทพมหานครนั้น หน่ว ยงานที่มีบทบาทหน้าที่หลั ก คือ ส านักการศึกษา
มีอานาจหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับงานด้ านการจัดการศึกษาของกรุงเทพมหานคร โดยแบ่งส่วนราชการ
ดังนี้ (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น, ออนไลน์)
1) สานักงานเลขานุการ มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับงานด้านสารบรรณและธุรการทั่วไปของ
ส านั ก การศึ ก ษา งานช่ ว ยอ านวยการและเลขานุ ก าร การบริ ห ารงานบุ ค คลและงานด้ า นสวั สดิ ก ารของ
ข้าราชการกรุงเทพมหานครสามัญและลูกจ้าง งานนิติกรรมสัญญา งานสิทธินักเรียน งานบริหารศูนย์สิทธิเด็ก
นักเรียน ศูนย์รับเรื่องราวร้องทุกข์ การประชาสัมพันธ์ ศูนย์ข้อมูลข่าวสาร การบริหารงานก่อสร้าง การบริหาร
สิ น ทรั พย์ ส่ ว นกลางของส านั กงานกิ จ กรรมพิ เ ศษและงานที่ มิ ได้ กาหนดให้ เป็ น หน้ าที่ ของส่ ว นราชการใด
โดยเฉพาะ และปฏิบัติหน้าที่อื่นที่เกี่ยวข้อง
2) กองการเจ้าหน้าที่มีหน้าที่ความรับผิดชอบเกี่ยวกับงานด้านบรรจุ แต่งตั้งผู้สอบแข่งขันได้ การโอน
ย้าย การขอกลับบรรจุ การเลื่อนตาแหน่งและระดับเงินเดือนการวางแผนกาลังคน การปรับ ปรุงส่วนราชการ
การจัดทาแผนอัตรากาลัง การกาหนดกรอบอัตรากาลัง ข้าราชการครูกรุงเทพฯ สายงานนิเทศการศึกษาและ
สายงานการสอนให้ดารงตาแหน่งสูงขึ้น การประเมินบุคคล และผลงานทางวิชาการ ของข้าราชการกรุงเทพฯ
99
3. หน่วยงานพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
หน่ ว ยงานที่ เ กี่ ย วข้ อ งกั บ การพั ฒ นาครู ก ารศึ ก ษาขั้ น พื้ น ฐานในประเทศไทย ได้ แ ก่ (ส านั ก งาน
เลขาธิการสภาการศึกษา,2553: 31-32)
1) สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา (สคบศ.) เป็นหน่วยงานที่จัดตั้งขึ้นเพื่อ
พัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา ตามนโยบายของกระทรวงศึกษาธิการ
2) สานักงานข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.คศ.) มีอานาจหน้าที่พัฒนาครูเพื่อเตรียมเข้า
สู่ตาแหน่งการมีหรือเลื่อนวิทยฐานะ การดารงรักษาสภาพวิทยาฐานะ และการพัฒนาด้านอื่นๆ
3) คุรุสภา มีอานาจหน้าที่พัฒนาครูเพื่อการควบคุม กากับ ออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ มาตรฐาน
วิชาชีพ จรรยาบรรณวิชาชีพ และการดารงรักษาสถานภาพของผู้มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู ผู้บริหาร
สถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และศึกษานิเทศก์
101
ตอนที่ 6 การประมาณความต้องการในอนาคต
ขั้นตอนการประเมินความต้องการจาเป็น ประกอบด้วย 3 ขั้นตอนดังนี้ (สุวิมล ว่องวาณิช, 2548)
1) การระบุความต้องการจาเป็น (Needs Identification)
2) การวิเคราะห์ความต้องการจาเป็นเพื่อวิเคราะห์หาสาเหตุ (Needs Analysis)
3) การกาหนดทางเลือกในการแก้ปัญหาความต้องการจาเป็น (Needs Solution)
กระบวนการประเมินความต้องการจาเป็น มีขั้นตอนดังนี้
1) การกาหนดจุดมุ่งหมายและคาถามที่ใช้ในการวิจัย
2) การกาหนดกรอบการวิจัย
3) การกาหนดกลุ่มผู้ที่เกี่ยวข้อง
4) การกาหนดเทคนิคหรือวิธีการประเมินความต้องการจาเป็น
5) การเก็บรวบรวมข้อมูล
6) การกาหนดวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล
7) การจัดทารายงาน
8) การใช้ผลการประเมิน
103
ตอนที่ 7 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง
ในตอนที่ 7 งานวิ จั ย ที่เ กี่ ย วข้อ งกับ การผลิ ต การใช้ และการพั ฒ นาครู การศึก ษาขั้ นพื้ นฐาน
แบ่งออกเป็น 4 หัวข้อดังนี้
7.1 บริบทสังคมในอนาคต
ปี พ.ศ. 2542 อภิชัย พันธเสนและคณะ ได้วิจัยประเมินผลแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ฉบับที่ 8
(พ.ศ. 2540-2544) ระยะครึ่ งแผน พบว่าปัญหาคุณภาพของครูมีผ ลกระทบต่อการจัดการศึกษาของชาติ
กล่าวคือ (อภิชัย พันธเสน, ออนไลน์)
1. คุณภาพการเรียนการสอน แม้ผลการประเมินยังไม่ปรากฏชัด แต่ก็อยู่ในระดับที่ไม่น่าพอใจ เพราะ
เมื่ อ วั ด จากอั ต ราร้ อ ยละของนั ก เรี ย นระดั บ มั ธ ยมศึ ก ษาตอนต้ น และตอนปลายที่ ส อบผ่ า นเกณฑ์ ใ นวิ ช า
คณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ยังอยู่ในระดับต่า และมีแนวโน้มลดลง เพราะคุณภาพครูยังไม่ดีพอ คุณภาพครู
น่าจะมีบทบาทในการพัฒนากระบวนการเรียนการสอนและปรับปรุงหลักสูตรท้องถิ่นเป็นอย่างมาก คุณภาพ
ของการศึกษาดังกล่าวส่งผลทาให้คุณภาพของการแข่งขันทางวิชาการของเด็กไทยต่า
2. การพัฒนาการผลิตและอบรมครูประจาการ ยังอยู่ ในระดับไม่น่าพอใจ อันเป็นผลเนื่องจากวิกฤต
เศรษฐกิ จ ที่ ท าให้ ง บประมาณการพั ฒ นาครู ป ระจ าการถู ก ตั ด อย่ า งมาก ส่ ง ผลกระทบต่ อ การพั ฒ นาครู
ประจาการ เฉพาะอย่างยิ่งครูที่ไม่ได้รับการพัฒนาความรู้มากกว่า 5 ปี
3. ด้านคุณภาพครูที่ผลิตออกมาก็ยังมีคุณภาพในระดับต่า ควรเร่งรัดการพัฒนาครูทางด้านการสอน
คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ที่นักเรียนระดับมัธยมศึกษาตอนต้นและตอนปลายอ่อนมาก และมี
ผลสัมฤทธิ์ไม่ดีเพราะขาดแคลนครูเฉพาะทางที่มีความรู้ ความสามารถในการสอนวิชาดังกล่าวในส่วนของการ
สอนของครูพบว่า ชั่วโทงการสอนของครูต่อสัปดาห์อยู่ในระดับสูง โดยชั่วโมงการสอนของครูระดับมัธยมศึกษา
สูงกว่าชั่ว โมงการสอนของครู ร ะดับ ประถมศึกษา นอกจากนี้ คณะวิจัยยังเสนอข้อคิดเห็ นเพิ่มเติมอีกว่า
ปัญหาของครูมีหลากหลายมากกว่าจะแก้ปัญหาด้วยการได้รับการศึกษาอย่างสม่าเสมอแต่เพียงอย่างเดียว
มนตรี จุฬาวัฒนทล (2543) ศึกษาผลกระทบจากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542
ข้อ ตกลงของรั ฐ บาลกั บ ธนาคารพั ฒ นาเอเชี ย นโยบายปฏิ รู ป ระบบราชการ และการเปลี่ ย นแปลงทาง
โครงสร้างประชากรทั้งประเทศ ที่มีต่อการศึกษา และบทบาทของคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ ในการปฏิรูป
การเรียนรู้และปฏิรูปวิชาชีพครู มีข้อสรุปที่สาคัญ คือ
1. การเปลี่ยนแปลงในสังคมอันเนื่องมาจากพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ นโยบายข้อตกลงและ
การจัดองค์กรจะมีผลกระทบต่อครูในอนาคตและครุศาสตร์ /ศึกษาศาสตร์ ผลกระทบเหล่านี้จะช่วยเร่งรัดการ
ปรับปรุงหลักสูตรและกระบวนการผลิตครูและการพัฒนาครู หลายประการ โดยรวมผลกระทบทั้งหมดจะมุ่งสู่
105
7.2 การผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ประยูร ศรี ประสาธน์ (2543) ได้ศึกษาอนาคตการศึกษาและแนวทางการผลิตและพัฒนาครู
คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ในแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติ ระยะที่ 9 (พ.ศ. 2546-2549) และ
ระยะที่ 10 (พ.ศ. 2550-2554) มีข้อเสนอแนะว่า การผลิตครูใหม่ให้มีคุณภาพนั้น จาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง
ปฏิรูปหลักสูตร และกระบวนการเรียนการสอนในสถาบันการฝึกหัดครูต่างๆ กล่าวคือ
1. ปฏิรูประบบการคัดเลือกบุคคลเข้าเป็นอาจารย์ในสถาบันฝึกหัดครู อาจารย์สถาบันฝึกหัดครูจะ
เป็นต้นแบบสาคัญที่ครูจ ะยึดถือและใช้เป็ นผลการสอนของตน ฉะนั้น การคัดเลือกบุคคลเข้าเป็นอาจารย์
สถาบันฝึกหัดครู นอกจากจะคานึงถึงวุฒิการศึกษาแล้วยังต้องเป็นผู้ที่ มีผลงานและประสบการณ์การสอนใน
ระดับการศึกษาต่างๆ อันได้รับการยอมรับและรับรองมาแล้วเพื่อที่จะนาความรู้และประสบการณ์มาถ่ายทอด
กับนักศึกษา พร้อมกันนั้นก็ควรพิจารณาให้มีมาตรฐานส่งเสริมการแลกเปลี่ยนหรือเปิดโอกาสให้อาจารย์ใน
สถาบันฝึกหัดครูได้นาวิธีสอนที่ตนพัฒนาขึ้นมาใหม่ไปทดลองสอนในโรงเรียน หรือจัดให้มีโครงการให้อาจารย์
ในสถาบันฝึกหัดครูได้เข้าไปสอนในโรงเรียนชั่วระยะเวลาหนึ่ง เพื่อที่จะได้ประสบการณ์จริงและนามาสอน
นักศึกษา
2. การกาหนดโยบายและมาตรการพัฒนาคณาจารย์ในสถาบันฝึกหัด ครูอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ
โดยเฉพาะอย่ า งยิ่ ง การเข้า รั บ การศึ ก ษาอบรมเพิ่ ม เติ ม โดยอาจพิ จ ารณาน าผลการศึ กษาอบรมเพิ่ มเติ ม
ดังกล่าวมาเป็นส่วนหนึ่งของการพิจารณาความดีความชอบหรือการปรับอัตราเงินเดือน
3. จัดตั้งกองทุนเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการวิจัยเพื่อพัฒนาระบบการฝึกหัดครู ระบบการเรียนการ
สอน และระบบบริหารสถานศึกษาขึ้นในสถาบันฝึกหัดครูและมีมาตรการกระตุ้นคณาจารย์ในสถาบันฝึกหัดครู
ให้ทาการวิจัยโดยให้ผลประโยชน์ตอบแทนในรูปแบบและลักษณะต่ างๆ แก่ผู้ทาวิจัย และผลงานวิจั ยที่ดีเด่น
หรือมีการนาไปปฏิบัติจริงในสถานศึกษา
4. ปรับหลักสูตรและกระบวนการเรียนการสอนในสถาบันฝึ กหัดครู โดยให้มีความรู้ในเนื้อหาที่ตน
เลือกเรียนอย่างแท้จริงและให้มีความรู้ และทักษะในวิชาการศึกษา เฉพาะอย่างยิ่งวิธีสอนซึ่งจะต้องมีการ
ทดลองสอนจริงในสถานศึกษาภายใต้การกากับดูแลของอาจารย์นิเทศด้วย หลักสูตรฝึกหัดดังกล่าวควรจะรับรู้
ผู้ที่จะจบปริญญาตรีในวาเนื้อหา แล้วมาเข้าเรียนวิชาครูต่ออีก 1-2 ปี แล้วให้ได้รับอัตราเงินเดือนเพิ่มสูงกว่าผู้
จบปริ ญ ญาตรี ป กติ ส่ ว นระบบการเรี ย นการสอนในสถาบั น ฝึ ก หั ด ครู นั้ น ควรเน้ น ผู้ เ รี ย นเป็ น ศู น ย์ ก ลาง
เช่นเดียวกับการศึกษาระดับต่างๆ
5. จัดให้มีระบบประกันคุณภาพสถาบันฝึกหัดครู โดยให้มีการประเมินคุณภาพจากองค์กรวิชาชีพ
และองค์กรอิสระที่รับผิดชอบประเมินคุณภาพการศึกษา พร้อมกันนั้นก็สนับสนุนให้สถาบันฝึกหัดครูประเมิน
คุณภาพภายในของตนเองเป็นประจา
6. ปรับระบบคัดเลือกคนเข้าเรียนในสถาบันฝึกหัดครูเพื่อให้ได้คนเก่ง คนดี และมีความต้องการเป็น
ครู เ ข้ า เรี ย นโดยในระยะแรกที่ ยั ง ไม่ มี ก ารปรั บ ปรุ ง อั ต ราเงิ น เดื อ นระบบบริ ห ารงานบุ ค คล และ
กระบวนการพัฒนาวิชาชีพให้เกิดความเชื่อมั่นในวิชาชีพได้ก็ควรจะเน้นการคัดเลือกให้ได้คนที่ต้องการประกอบ
111
อาชีพครู ก่อน ต่อเมื่อมีการปรั บ ปรุ งสิ่ งต่างๆ ดังกล่ าวจนทาให้ เกิดความเชื่อมั่นในวิช าชี พครูแล้ ว จึงเน้น
มาตรการคัดเลือกคนเก่ง คนดี และมีความต้องการประกอบวิชาชีพครูเข้าเรียน
7. จัดสรรทุนการศึกษาเพื่อการเป็นครูในสาขาที่ขาดแคลน เช่น คณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และ
เทคโนโลยี
8. จัดตั้งสถาบันฝึกหัดครูที่ผลิตคนรุ่นใหม่ ที่เป็นทั้งคนเก่ง คนดี มีความรั กในการเป็นครู สถาบัน
ฝึกหัดครูจัดตั้งขึ้นจะจัดให้นักศึกษามาประจาหอพัก เพื่อที่จะอยู่ในบรรยากาศที่หล่อหลอมความเป็ครู และ
พัฒนาความเก่งในวิชาการ และความเอื้อเฟื้อร่วมมือกันพัฒนาวิชาชีพ
9. ปรับปรุงและพัฒนากระบวนการฝึกประสบการณ์วิ ชาชีพครูให้เอื้อต่อการเรียนรู้งาน จากครูที่เป็น
แบบอย่างที่ดีโรงเรียนและชุมชน เรียนรู้สภาพและวิถีชีวิตคนในชุมชน จัดให้มีอาจารย์พี่เลี้ยงในโรงเรียน และ
จัดให้มีอาจารย์นิเทศจากสถาบันฝึกหัดครู
สมหวั ง พิ ธิ ย านุ วั ฒ น์ (2543) ได้ ศึ ก ษาวิ จั ย จั ด ท าข้ อ เสนอนโยบายการปฏิ รู ป วิ ช าชี พ ครู ต าม
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ กาหนดมาตรการผลิตครูเพื่อคุณภาพและความเป็นวิชาชีพชั้นสูงไว้ดังนี้
มาตรการ 1 ให้ได้คนเก่งคนดีมีแววความเป็นครูมาเรียนครู โดยการคัดสรรและให้ ทุนมาเรียนครู
อีกทั้งผลิตครูให้สอดคล้องกับความต้องการโดยประกันให้ผู้สาเร็จการศึกษาทุกคนได้เป็นครู
มาตรการ 2 ให้มีการผลิตครูรุ่นใหม่มีคุณภาพตามมาตรฐานวิชาชีพครู และเหมาะสมกับยุคการปฏิรูป
การศึกษา โดยจัดกลไกสร้างความสัมพันธ์เชื่อมโยงระว่างสถาบันผลิตครู องค์กรวิชาชีพครู องค์กรวิชาชีพครู
และองค์กรกลางการบริหารบุคคล
มาตรการ 3 ให้มีการผลิตครูผู้นาที่มีคุณภาพเพื่อเป็นครูมืออาชีพ ในการยกคุณภาพของวิชาชีพครูให้
เป็นวิชาชีพขั้นสูง โดยหลักสูตรครุศึกษา 6 ปี กล่าวคือใช้เวลา 4 ปีในการศึกษาระดับปริญญาในเนื้อหาวิชาการ
ใช้เวลา 1 ปีสาหรับเรียนวิชาการศึกษา และอีก 1 ปี สาหรับการยกมาตรฐานวิชาชีพครูให้เป็นวิชาชีพขั้นสูง
นับว่าเป็นหลักสูตรครุศึกษาเพื่อประกันคุณภาพครูใหม่อย่างแท้จริง
มาตรการ 4 เพื่อสถาบันผลิตครูมีเอกลักษณ์ด้านความเป็นเลิศในการผลิตครูเห็นสมควรให้คณะครุ
ศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ โดยเน้นหนักการจัดการศึกษาระดับสูงกว่าปริญญาตรีทาง ครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ถ้า
จะจั ดการศึกษาระดับ ปริ ญญาตรี ก็ควรเป็ น หลั กสู ตรปริญญาตรี 5-6 ปี ที่ มุ่งสร้างครูผู้ น าเพื่อการปฏิรู ป
การศึกษา ส่วนสถาบันผลิตครูอื่นให้เน้นการผลิตครูระดับปริญญาตรีเป็นหลักต่อไป
มาตรการ 5 ให้มีมหาวิทยาลัยเฉพาะทาง หรือสถาบันเทคโนโลยีชั้นสูง เพื่อทาการวิจัยค้นความสร้าง
องค์ความรู้ในทางครุศึกษา ทั้งโปรแกรมก่อนประจาการ และโปรแกรมครุศึกษาประจาการ ตลอดจนการผลิต
ครูของครูที่มีคุณภาพเพื่อบ่มเพาะครูเพื่อการปฏิรูปการศึกษา
มาตรการ 6 สนับสนุนให้สภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ สังกัดทบวงมหาวิทยาลัย และ
กระทรวงศึกษาธิการได้จัดทาแผน และดาเนินการปฏิ รูปสถาบันผลิตครูเพื่อคุณภาพครูและความเป็นวิชาชีพ
ชั้นสูงในบริบทใหม่ของวิชาชีพครูไทย
112
ส่วนใหญ่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ผู้เรียนมีความรู้ความชานาญในวิชาเอก มีการจัดการเรียนการสอนโดยคณะวิชา
ของวิชาเอก หรือทางสาขาวิชาจะจัดการเรียนการสอนเอง มีรูปแบบการเรียนการสอนที่มีจุดเน้นหลากหลาย
รวมทั้งการพัฒนาทักษะการวิจัย เน้นการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ และคุณภาพของแหล่งฝึกประสบการณ์ และ
มีหลักสูตรเสริมเพื่อให้นิสิตนักศึกษามีคุณลักษณะที่พึงประสงค์ของผู้ที่จะประกอบวิชาชีพครูและมีคุณลักษณะ
ที่พึงประสงค์ของสถาบัน 3) ด้านผลผลิตพบว่า นิสิตนักศึกษาที่จบการศึกษาเป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถมี
ความสามารถในการถ่ายทอดความรู้ ทั้งในด้านของเทคนิค วิธีการสอน การผลิตสื่อ และการเลือกใช้สื่อการ
สอน มีความเชื่อมั่นในตนเองในการถ่ายทอดความรู้ เพราะได้ผ่านการถ่ายทอดประสบการณ์มาเป็นอย่างดี มี
คุณลักษณะที่พึงประสงค์สาหรับครูหลายประการ ได้แก่ มีความขยัน ใฝุรู้ มีความรับผิดชอบ มีความรักในตัว
ผู้เรีย น มีความอดทน มีความรู้สึ กรั กและศรัทธาในวิชาชีพครูเพิ่มสู งมากกว่าก่อนเข้าศึกษา และ 4) ด้าน
ผลกระทบพบว่า นิสิต/นักศึกษาซึ่งได้รับการพัฒนาและการบ่มเพาะการเป็นครูจากหลักสูตรแล้วนั้น สามารถ
ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อผู้เรียน เป็นผู้ที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมและการเรียนรู้ของนักเรียน มีส่วนร่วมในการ
พัฒนานักเรียน
5. แนวปฏิบัติที่ดีในการผลิตครูโครงการพิเศษของไทย พบว่า มีแนวปฏิบัติที่ดีในด้านต่างๆ คือ
1) ด้านปัจจัย มีเกณฑ์การคัดเลือกคุณสมบัติเบื้องต้น ได้แก่เกรดเฉลี่ยและภูมิลาเนาอยู่ในพื้นที่ที่โครงการ
กาหนด มีสิ่งจูงใจในการเข้ามาศึกษาคือ การให้ทุนการศึกษาเต็มรูปแบบตลอดระยะเวลาของหลักสูตรและมี
งานทาเมื่อจบการศึกษาจะบรรจุเข้าเป็นข้าราชการครูทันที 2) ด้านกระบวนการผลิต เน้นการฝึกสอนเพื่อ
เตรียมความพร้อมสาหรับเป็นครู การหล่อหลอมให้มีคุณลักษณะสาคัญของผู้ที่จะเป็นครู นับตั้งแต่เข้าสู่ความ
ดูแลของสถาบันการผลิตครู มีการจัดกิจกรรมเสริมหลักสูตรต่างๆ ทุกๆ ภาคการศึกษาตั้งแต่เข้าศึ กษาในปีที่
หนึ่ ง จนกว่า จะจบหลั กสู ตร การจั ด กิจ กรรมต่า งๆ ในหลั ก สู ต รไม่ไ ด้มี เพี ยงกิจ กรรมเพื่ อการพัฒ นานิสิ ต
นั ก ศึ ก ษาโดยทั่ ว ไปเท่ า นั้ น แต่ ยั ง มี กิ จ กรรมที่ เ น้ น ให้ มี ค วามสอดคล้ อ งกั บ วิ ถี ชี วิ ต และวิ ถี แ ห่ ง วิ ช าชี พ ครู
3) ด้านผลผลิต พบว่า ครูที่สาเร็จการศึกษาจากโครงการพิเศษจะเป็นผู้ที่มีความสามารถสูง มีความก้าวหน้าใน
วิชาชีพครู และ 4) ด้านผลกระทบพบว่า ครูที่สาเร็จการศึกษาจากโครงการพิเศษยังมีความสามารถในการ
ส่งเสริมสนับสนุนการเรียนรู้ของเยาวชน และสามารถพัฒนานักเรียนให้มีความรู้ความสามารถในระดับชาติ
และนานาชาติได้อีกด้วย
6. ผลการเปรียบเทียบการผลิตครูระหว่างหลักสูตร 4 ปี กับหลักสูตร 5 ปี พบว่า ในด้านปัจจัย
ทั้งสองหลั กสูตรมีนโยบายสอดคล้ องกับพระราชบัญญัติการศึกษาแห่ งชาติ พ.ศ. 2542 ส าหรับโครงสร้าง
หลักสูตร ในหลักสูตร 5 ปี มีการกาหนดสาระความรู้และสมรรถนะชัดเจนกว่าหลักสู ตร 4 ปี อันเนื่องมาจาก
การมีองค์กรวิชาชีพคือ คุรุสภา ได้กาหนดมาตรฐานหลักสูตรปริญญาตรี 5 ปี และเน้นความรู้และทักษะการ
วิจัยในชั้นเรียน ด้านกระบวนการผลิต ทั้งสองหลักสูตรมีรูปแบบการเรียนการสอนที่หลากหลาย มีการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนมีส่วนร่วม แต่หลักสูตร 5 ปี มีระยะเวลาปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา
1 ปี ซึ่งมากกว่าหลักสูตร 4 ปี ที่ใช้เวลาเพียง 1 ภาคการศึกษา ด้านผลผลิต พบว่า ผู้สาเร็จการศึกษาหลักสูตร
5 ปี มีความเชี่ยวชาญในด้านการสอนการเขียนแผนการสอน และการจัดการชั้นเรียนมากกว่าหลักสูตร 4 ปี
จะได้รั บใบประกอบวิชาชีพครูทันทีเมื่อสาเร็จการศึกษา ด้านผลกระทบ พบว่า ครูใหม่ที่สาเร็จการศึกษา
115
ไม่แปรเปลี่ยนด้านรูปแบบและน้าหนักองค์ประกอบระหว่างกลุ่มประชากรครูทั้งสองสังกัด โมเดลความสัมพันธ์
เชิงสาเหตุของประสิทธิภาพการใช้ครูมีความไม่แปรเปลี่ยนด้านรูปแบบและน้าหนักองค์ประกอบระหว่างกลุ่ม
ประชากรครูทั้งสองสังกัด
จากการทบทวนวรรณกรรมจะเห็นได้ว่า การวัดประสิทธิภาพการใช้ครูที่พัฒนาขึ้นสอดคล้อ งกลมกลืน
กับข้อมูลเชิงประจักษ์ โดยองค์ประกอบกระบวนการใช้ครูและผลผลิตที่เกิดขึ้นกับตัวครูอธิบายความแปรปรวน
ของประสิทธิภาพการใช้ครู
7.4 การพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
อัจฉราพร กลิ่นเกษร (2555) ได้ทาการวิจัยเรื่อง การวิเคราะห์ความพร้อมของครูในการจัดการเรียนรู้
เพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียน โดยมีวัตถุประสงค์ในการวิจัย เพื่อวิเคราะห์ความพร้อมในการจัดการเรียนรู้ของ
ครูเพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียนที่เป็นการตอบสนองนโยบายการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนของประเทศในปี พ.ศ.
2558 เพื่อศึกษาคุณลักษณะของนักเรียนที่พึงมีในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนตามการรับรู้ของครู และเพื่อ
ศึกษาปั ญหาและแนวทางในการสร้างความพร้อมในการจัดการเรียนรู้ของครูเพื่อก้าวสู่ ประชาคมอาเซียน
กลุ่ ม ตั ว อย่ า งที่ ใ ช้ ใ นการเก็ บ รวบรวมข้ อ มู ล คื อ ครู สั ง กั ด สานั ก งานคณะกรรมการการศึ ก ษาขั้ น พื้ น ฐาน
ปีการศึกษา 2554 จานวน 771 คน ปรากฏผลการวิจัย ดังนี้
1. ผลการวิเคราะห์ความพร้อมในการจัดการเรียนรู้ของครูเพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียนที่เป็นการ
ตอบสนองนโยบายการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนของประเทศในปี พ.ศ.2558 พบว่า
1.1 ผลการวิเคราะห์ความรู้ของครูเกี่ยวกับประชาคมอาเซียนซึ่งใช้ในการจัดการเรียนรู้เพื่อก้าวสู่
ประชาคมอาเซียนพบว่า ความรู้ของครูที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ ความรู้เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของการก่อตั้ง
ประชาคมอาเซียน รองลงมาได้แก่ความรู้เกี่ยวกับการก่อตั้งประชาคมอาเซียน ความรู้เกี่ยวกับลักษณะการแต่ง
กายของประเทศสมาชิกอาเซียน และมี ค่าเฉลี่ยน้อยที่สุดคือความรู้เกี่ยวกับระบบสาธารณสุขของประเทศ
สมาชิกอาเซียน ส่วนความรู้เกี่ยวกับนโยบายการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนของครูอยู่ที่ระดับดี
1.2 ผลการวิเคราะห์ด้านการจัดการเรียนการสอนของครูที่ตอบสนองนโยบายการก้าวสู่ประชาคม
อาเซี ย น พบว่ า การจั ดการเรี ย นรู้ ของครู ที่ไ ด้ท าเพื่ อสร้า งความพร้ อมในการก้า วสู่ ประชาคมอาเซี ยนนั้ น
มากที่สุ ดคือการสอดแทรกความรู้ เกี่ย วกับ ประชาคมอาเซียนในสาระการเรียนรู้และรายวิช าที่ส อน และ
รองลงมาได้แก่ การแสวงหาความรู้ที่ทันสมัยเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน และนามาสอดแทรกในกระบวนการ
จัดการเรียนรู้ มีการค้นคว้าหาความรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียนที่ทันสมัยและเป็นปัจจุบันเพื่อนามาใช้ในการ
จัดการเรียนรู้แก่นักเรียน ส่งเสริมให้นักเรียนใช้เทคโนโลยีเพื่อศึกษาเกี่ยวกับประชาคมอาเซียน และมีค่าเฉลี่ย
น้อยที่สุดคือทาวิจัยเพื่อแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากการจัดการเรียนรู้เพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
1.3 ผลการวิเคราะห์ ด้านการจัดกิจกรรมเสริมนอกห้ องเรียนที่ตอบสนองนโยบายการก้าวสู่
ประชาคมอาเซียนของโรงเรียน โดยครูมีส่วนร่วมในการปฏิบัติ ในด้านการจัดกิจกรรมเสริมนอกห้องเรียนที่
ตอบสนองนโยบายการก้าวสู่ประชาคมอาเซียนของโรงเรียน โดยครูมีส่วนร่วมในการปฏิบัติหน้าที่ต่างๆนั้น
พบว่าเมื่อแบ่งกิจกรรมออกเป็น 6 ด้าน ด้านที่มีค่าเฉลี่ยมากที่สุดคือ จัดกิจกรรมโดยการสร้างแหล่งเรียนรู้
ภายในโรงเรียน รองลงมาคือ การจัดกิจ กรรมที่ให้ความรู้และสร้างความรู้สึกในการเป็นสมาชิกประชาคม
117
อาเซียนแก่นักเรียน การวัดและประเมินผลกิจกรรมและการจัดกิจกรรมที่ส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์กับสังคม
และชุมชนภายนอกมีค่าเฉลี่ยเท่ากัน และการจัดกิจกรรมบูรณาการ ส่วนการสร้างเครือข่ายการเรียนรู้ภายใน
กลุ่มโรงเรียน หรือกลุ่มประเทศอาเซียนมีค่าเฉลี่ยน้อยที่สุด โดยทั้ง 6 ด้านมีค่าเฉลี่ยอยู่ในระดับค่อนข้างต่า
1.4 ผลการวิเคราะห์ด้านการบริหารจัดการของโรงเรียนที่ก่อให้เกิดการจัดการเรียนรู้เพื่อก้าวสู่
ประชาคมอาเซียน พบว่าระดับในด้านการบริหารจัดการของโรงเรียนที่ก่อให้เกิดการจัดการเรียนรู้เพื่อก้าวสู่
ประชาคมอาเซียนส่วนใหญ่อยู่ในระดับปานกลาง มีเพียง 2 ข้อที่อยู่ในระดับพอใช้ ได้แก่ โรงเรียนมีการนิเทศ
ติดตามการดาเนินงานการจัดการเรียนรู้สู่ประชาคมอาเซียน ในรูปของคณะกรรมการดาเนินงาน และชุมชน
เข้ามามีส่วนร่วมกับโรงเรียนในการจัดทาหลักสูตรและพัฒนาการศึกษาในการก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
1.5 ผลการวิเคราะห์ด้านการส่งเสริมและดาเนินนโยบายของส่วนกลางที่ก่อให้เกิดการจัดการเรียนรู้
เพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียน พบว่าจากความเห็นของครูการส่งเสริมและดาเนินนโยบายของส่วนกลางที่
ก่อให้เกิดการจัดการเรียนรู้เพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียนนั้นอยู่ในระดับปานกลาง
1.6 ตัวแปรที่ส่งผลความพร้อมของครูในการจัดการเรียนรู้เพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียน
1) ด้านความรู้ของ ครู พบว่า ครูที่มีวุฒิการศึกษาระดับปริญญาโทมีความรู้มากกว่าครูที่จบ
ปริญญาตรี ครูที่มีอายุน้อยมีความพร้อมในด้านความรู้เกี่ยวกับประชาคมอาเซียนมากกว่าครูที่มีอายุมาก ครูที่
มีประสบการณ์ในการปฏิบัติการสอน ต่ากว่า 10 ปี มีความรู้มากกว่าครูที่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติการสอน
ระหว่าง 21-30 ปี ครูที่ปฏิบัติการสอนชั้นประถมศึกษามีความรู้มากที่สุด รองลงมาคือครูที่ปฏิบัติการสอน
มัธยมศึกษาตอนปลาย และมีความรู้น้อยที่สุดคือครูที่ ปฏิบัติการสอนมัธยมศึกษาตอนต้น ครูที่ปฏิบัติการสอน
ในสาระสังคมศึกษามีความรู้มากที่สุด รองลงมาคือสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ น้อยที่สุดคือสาระการ
เรียนรู้สาระการเรียนรู้วิทยาศาสตร์และสาระการเรียนรู้คณิตศาสตร์ ครูที่ปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาขนาด
กลางมีความรู้มากที่สุด รองลงมาคือขนาดใหญ่และขนาดใหญ่พิเศษตามลาดับ และสถานศึกษาที่มีความรู้น้อย
ที่สุดคือ สถานศึกษาขนาดเล็ก ครูที่ปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาในภาคเหนือมีความรู้มากที่สุด รองลงมาคือ
ภาคตะวันตก ภาคตะวันออก ภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนภาคที่ครูยังมีความรู้ ในการจัด
การศึกษาเกี่ยวกับอาเซียนน้อยที่สุดคือภาคใต้ และครูที่ปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาที่ได้รับเลือกเป็นโรงเรียน
ต้นแบบเกี่ยวกับอาเซียนมีความรู้มากกว่าโรงเรียนปกติ
2) ด้านการจัดการเรียนรู้ของครูเพื่อก้าวสู้ประชาคมอาเซียน พบว่า ครูที่มีวุฒิการศึกษาระดับ
ปริญญาโทมีความพร้อมในการจัดการเรียนรู้มากกว่าครูที่จบปริญญาตรี ครูที่มีอายุน้อยมีความพร้อมในการ
จัดการเรียนรู้มากกว่าครูที่มีอายุมาก ครูที่มีประสบการณ์ในการปฏิบัติการสอน ต่ากว่า 10 ปี มีความพร้อมใน
การจัดการเรียนรู้ของครูเพื่อก้าวสู่ประชาคมอาเซียนมากที่สุ ด ครูที่ปฏิบัติการสอนชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายมี
ความพร้อมในการจัดการเรียนรู้มากที่สุด รองลงมาคือครูที่ปฏิบัติการสอนชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น และมีความ
พร้อมในการจัดการเรียนรู้น้อยที่สุดคือครูที่ปฏิบัติการสอนชั้นประถมศึกษา ครูที่ปฏิบัติการสอนในสาระสังคม
ศึกษามีความพร้อมในการจัดการเรียนรู้มากที่สุด รองลงมาคือสาระการเรียนรู้ภาษาต่างประเทศ น้อยที่สุดคือ
สาระการเรี ย นรู้ ส าระการเรี ย นรู้ วิ ท ยาศาสตร์ แ ละสาระการเรี ย นรู้ ค ณิ ต ศาสตร์ ครู ที่ ป ฏิ บั ติ ก ารสอนใน
สถานศึกษาขนาดใหญ่ความพร้อมในการจัดการเรียนรู้มากที่สุด รองลงมาคือขนาดกลางและขนาดใหญ่พิเศษ
118
(PNI modified) = (I – D)
D
เมื่อ (PNI modified) แทน ดัชนีเรียงลาดับความสาคัญของความต้องการจาเป็น
I แทน ค่าเฉลี่ย (X) ของบทบาทที่คาดหวัง
D แทน ค่าเฉลี่ย (X) ของบทบาทที่เป็นจริง
7) สถาบันอุดมศึกษาที่มีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์
8) สถานศึกษาขั้นพื้นฐาน 6 สังกัด ได้แก่ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ส านั ก งานส่ ง เสริ ม การศึ ก ษานอกระบบและการศึ ก ษาตามอั ธ ยาศั ย ส านั ก งาน
คณะกรรมการการอุ ดมศึ กษา ส านักงานคณะกรรมการส่ งเสริม การศึกษาเอกชน
สานั กงานคณะกรรมการการอาชีว ศึกษา สานักงานกรุงเทพมหานคร และองค์กร
ปกครองส่วนท้องถิ่น
2.4.2 เครื่องมือที่ใช้ ได้แก่ แผนภาพการทาวงล้ออนาคต ดังตัวอย่างในภาคผนวก ค
2.4.3 วิเคราะห์ข้อมูลด้วยการวิเคราะห์เนื้อหา (Content Analysis)
การศึกษาเกี่ยวกับการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐานครั้งนี้เป็นการศึกษาตามมาตรฐานวิชาชีพครู 3 ด้าน
คือ ด้านมาตรฐานหลักสูตร มาตรฐานการผลิต และมาตรฐานบัณฑิต ของสถาบันอุดมศึกษาของรัฐและเอกชนที่
เปิดสอนคณะครุศาสตร์และคณะศึกษาศาสตร์ สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สานักงานเลขาธิการคุรุสภา
สถานศึกษาสาหรับปฏิบัติการสอน โดยใช้วิธีการศึกษาเอกสาร การทาวงล้ออนาคต และการประชุมสนทนากลุ่ม
สาหรับผลการวิจัย แบ่งออกเป็น 3 ตอน คือ
4.1 สภาพและปัญหาการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
4.2 ความต้องการในการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
4.3 ข้อเสนอแนะในการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
4.1 สภาพและปัญหาการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
การผลิตครูไทยมีพัฒนาการมายาวนานตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และมี การ
จัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูแห่งแรกในปี พ.ศ. 2435 จนกระทั่งมีการเปลี่ยนสถานะเป็นวิทยาลัยครู และสถาบันราชภัฏ
ในปี พ.ศ. 2518 และ 2535 ตามลาดับจนกระทั่งได้ยกฐานะเป็น มหาวิทยาลัยราชภัฏใน พ.ศ. 2547 ตามนัยของ
พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 นอกจากนี้ยังมีการตั้งคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ในมหาวิทยาลัย
หลายแห่ ง ทั้ ง มหาวิ ท ยาลั ย ของรั ฐ มหาวิ ท ยาลั ย ไม่ จ ากั ด รั บ สถานศึ ก ษานอกสั ง กั ด กระทรวงศึ ก ษาธิ ก าร
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล รวมทั้งเริ่มมีหลักสูตรด้านครุศาสตร์ /ศึกษาศาสตร์ในมหาวิทยาลัยเอกชน แต่ที่
ผ่านมาการผลิตครูไทยมีสภาพปัญหาที่ส่งผลไปยังอนาคต โดยปัญหาสาคัญ 3 ประการ คือ 1) นโยบายการผลิตครู
ของรัฐ 2) สถาบันการผลิตครูยังมีคนเก่งเข้าเรียนครูจานวนน้อย และ 3) กระบวนการผลิตครูของสถาบันผลิตครู
แต่ละแห่งคุณภาพไม่เท่ากัน ซึง่ ในส่วนที่เกี่ยวกับนโยบายสรุปได้ว่านโยบายการผลิตครูของรัฐที่ผ่านมายังไม่มีความ
แน่นอน มีการเปลี่ยนแปลงไปตามวาระการบริหารประเทศของคณะรัฐบาลแต่ละชุด การกาหนดนโยบายในการ
ผลิตครูเพื่อส่งเสริมให้คนเก่งเข้ามาเรียนครูขาดความต่อเนื่อง จึงส่งผลให้การเปลี่ยนแปลงสภาพสังคม เศรษฐกิจ
และการเมืองการปกครองของประเทศไทย ส่งผลกระทบต่อการผลิตครูไทยอย่างต่อเนื่อง โดยสามารถแบ่งเป็นยุค
ของสภาพปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้นออกได้เป็น 4 ยุคดังนี้ (สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา, 2557:
13-16 และวิชุดา กิจธรธรรมและคณะ, 2554)
1) ยุคก่อนการปฏิรูปการฝึกหัดครู ในระยะแผนพัฒนาการศึกษาแห่งชาติฉบับที่ 1-5 (พ.ศ.2510-2529)
เป็นยุคการเพิ่มจานวนประชากรทาให้รัฐต้องเร่งผลิตครู ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงจุดเริ่มต้นของปัญหาที่ส่งผลต่อการ
ผลิตครูไทย คือ การเพิ่มส่งผลให้ไม่สามารถควบคุมปริมาณและคุณภาพการผลิตในระยะต่อมาได้ ก่อให้เกิดปัญหา
126
4.1.1 มาตรฐานหลักสูตร
จากการศึกษาค้น คว้า สรุ ป ได้ ว่า หลั ก สู ตรการผลิ ต ครูในระยะแรกเป็นการเปิด สอนเพื่ อผลิ ตครูระดั บ
ประกาศนียบัตร ต่อมาสถาบันผลิตครูได้มีการเปิดสอนระดับปริญญาตรี 4 ปี ปริญญาโท 2 ปี และปริญญาเอก 3
ปี โดยที่มีโครงสร้างและสาระของหลักสูตรแตกต่างกันโดยเฉพาะคณะครุศาสตร์ ศึกษาศาสตร์ในมหาวิทยาลัย
ต่อมาหลักสูตรปริญญาตรีได้ปรั บเป็นหลักสูตร 5 ปี และกระทรวงศึกษาธิการได้ดาเนินโครงการผลิตครูการศึกษา
ขั้นพื้นฐานระดับ ปริ ญญาตรี (หลักสูตร 5 ปี) ในแผนปฏิรูปครูและบุคลากรทางการศึกษา (พ.ศ. 2547-2549)
ร่วมกับสถาบันการผลิตครูและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยหวังว่าจะสามารถสร้างครูที่มีความลึกซึ้งทางวิชาการ มี
ความเชี่ยวชาญในทางปฏิบัติและมีจิตวิญญาณในการเป็นครู สามารถจัดกระบวนการเรียนรู้ พัฒนาผู้เรียนได้เต็ม
ตามศักยภาพ ตามแนวทางที่ยึดผู้เรียนเป็นสาคัญ
ในด้านมาตรฐานวิชาชีพ ภายหลังการตราพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ.2546
หมวด 1 สภาครู และบุ คลากรทางการศึกษา ได้มีการกาหนดให้ วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพควบคุม ส่ ว นมาตรา 7
กาหนดให้มีสภาครูและบุคลากรทางการศึกษาที่เรียกว่า คุรุสภา และมาตรา 9 กาหนดให้คุรุสภามีอานาจหน้าที่
หลายประการ และหนึ่งในนั้นคือ การกาหนดมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณวิชาชีพ และส่วนที่ 5 การประกอบ
วิชาชีพควบคุม นอกจากนี้มาตรา 49 ยังกาหนดให้มีข้อบังคับว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ ประกอบด้วย 1) มาตรฐาน
ความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ 2) มาตรฐานการปฏิบัติงาน และ 3) มาตรฐานการปฏิบัติตน โดยการกาหนด
ระดับคุณภาพของมาตรฐานในใบประกอบวิชาชีพตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามข้อบังคับคุรุสภา ทั้งนี้ต้องจัดให้มีการ
ประเมินคุณภาพของผู้รับใบอนุญาตอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ดารงไว้ซึ่งความรู้ ความสามารถ และความชานาญการ
ตามระดับคุณภาพของมาตรฐานใบประกอบวิชาชีพตามเกณฑ์ และวิธีการที่คุรุสภากาหนด (สานักงานเลขาธิการ
คุรุสภา, 2554: 31) หลังจากนั้นได้มีการประกาศข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของ
วิชาชีพ พ.ศ. 2548 กาหนดมาตรฐานความรู้ ให้ครูมีคุณวุฒิไม่ต่ากว่าปริญญาตรีทางการศึกษาหรือเทียบเท่า หรือ
คุณวุฒิอื่นที่คุรุสภารับรอง โดยมีความรู้ 9 ด้าน คือ
(1) ภาษาและเทคโนโลยีสาหรับครู
(2) การพัฒนาหลักสูตร
(3) การจัดการเรียนรู้
(4) จิตวิทยาสาหรับครู
(5) การวัดและประเมินผลการศึกษา
(6) การบริหารจัดการในห้องเรียน
(7) การวิจัยทางการศึกษา
(8) นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา
(9) ความเป็นครู
129
ส่วนมาตรฐานประสบการณ์วิชาชีพกาหนดให้ผ่านการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาตามหลักสูตรปริญญา
ทางการศึกษา เป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี และผ่านเกณฑ์การประเมินปฏิบัติการสอนตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และ
เงือ่ นไขที่คณะกรรมการคุรุสภากาหนด คือ (1) การฝึกปฏิบัติวิชาชีพระหว่างเรียน และ (2) การปฏิบัติการสอนใน
สถานศึกษาในสาขาวิชาเฉพาะ
นอกจากนี้ ยังมีประกาศคุรุ สภา เรื่อง การรับรองปริญญาและประกาศนียบัตรทางการศึกษาเพื่อการ
ประกอบวิ ช าชีพ เมื่อ พ.ศ. 2548 กาหนดองค์ ประกอบของมาตรฐานและเกณฑ์ก ารรับ รองปริญ ญาตรี ทาง
การศึกษา (หลักสูตร 5 ปี) โดยระบุว่าเกณฑ์การรับรองปริญญาหรือประกาศนียบัตร ประกอบด้วยมาตรฐานสาม
ด้าน คือ มาตรฐานหลักสูตร มาตรฐานการผลิต และมาตรฐานบัณฑิตหรือมาตรฐานผู้สาเร็จการศึกษา
- มาตรฐานหลักสูตร มีองค์ประกอบคือ (1) โครงสร้างหลักสูตรให้มีจานวนหน่วยกิตรวมไม่น้อยกว่า
160 หน่วยกิต ประกอบด้วยหมวดวิชาศึกษาทั่วไปไม่น้อยกว่า 30 หน่วยกิต หมวดวิชาชีพครูไม่น้อย
กว่า 50 หน่วยกิต ประกอบด้วยมาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ 9 ด้านข้างต้น หมวดวิชา
เฉพาะด้านไม่น้ อยกว่า 74 หน่ว ยกิต และหมวดวิช าเลื อกเสรี ไม่น้อยกว่า 6 หน่ว ยกิต (2)
กระบวนการพัฒนาหลักสูตร ประกอบด้วยกระบวนการร่างหลักสูตร คุณสมบัติของคณะกรรมการ
ร่างหลักสูตร และการพัฒนาหรือการปรับปรุงหลักสูตร
- มาตรฐานการผลิต มีองค์ประกอบคือ (1) กระบวนการคัดเลือกนิสิตนักศึกษา ที่ให้แต่ละสถาบันผลิต
ครูกาหนดเกณฑ์และเงื่อนไขการคัดเลือกนิสิต นักศึกษาของแต่ละสถาบัน มีการสอบคัดเลือกอย่าง
เป็นระบบ มีการสอบวัดแววความเป็นครู และสอบสัมภาษณ์เพื่อประเมินคุณลักษณะความเป็นครู (2)
คุณสมบัติของบุคคลที่รับผิดชอบ ในส่วนของอาจารย์ที่ปรึกษา อาจารย์ผู้สอนวิชาชีพครู อาจารย์
นิเทศ (อาจารย์ของสถาบันผลิตครู) กับครูพี่เลี้ยง (ครูผู้สอนของสถานศึกษาที่นิสิตนักศึกษาปฏิบัติการ
สอน) (3) ทรัพยากร ประกอบด้วยความพร้อมด้านห้องเรียน ห้องปฏิบัติการ แหล่งทรัพยากรการ
เรี ย นรู้ (4) ระบบการจั ด การเรี ยนรู้ และการบริห ารจั ดการ มีองค์ป ระกอบเกี่ย วกับ การบริ ห าร
หลักสูตร กระบวนการจัดการเรียนรู้ การจัดการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษา การจัดกิจกรรมเสริม
ความเป็นครู และ (5) การประกันคุณภาพการศึกษา
- มาตรฐานบัณฑิตหรือมาตรฐานผู้สาเร็จการศึกษา มีองค์ประกอบด้าน (1) ความรู้ คือ เรียนครบตาม
หลักสูตรที่ได้รับการรับรองจากคุรุสภาและผ่านเกณฑ์การประเมินของสถาบันการผลิตครู (2) มีการ
ปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาที่มีคุณสมบัติตามที่คณะกรรมการคุรุสภากาหนดเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 1
ปี และมีรายงานผลการผ่ านเกณฑ์การประเมินการปฏิบัติการสอนในสถานศึกษาตามมาตรฐาน
ประสบการณ์วิชาชีพครูที่คุรุสภากาหนด (3) มีการปฏิบัติตนที่เหมาะสมกับความเป็นครูโดยมีผลการ
รับรองความประพฤติจากสถาบันการผลิตครู (4) ได้รับการพัฒนาคุณลักษณะความเป็นครู เข้าร่วม
130
สายอาชีวศึกษา โดยจะมีการปรับปรุงหลักสูตรและกระบวนการสอนคณะครุศาสตรอุตสาหกรรมในรูปแบบการมี
ส่วนร่วมกับภาคอุตสาหกรรม ที่เน้นปฏิบัติและมีกรอบของวิชาชี พครูตมข้อเสนอแนะของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี
ราชมงคลเกี่ยวกับรูปแบบการผลิตและพัฒนาครูอาชีวศึกษาและครูฝึกในสถานประกอบการ (ประเสริฐ ปิ่นปฐมรัฐ,
ม.ป.ป.) นอกจากนี้ยังจะมีการเสนอให้สานักงานเลขาธิ การคุรุสภามีหลักสูตร 4+1 โดยให้ผู้ที่สาเร็จการศึกษา
หลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และคหกรรมศาสตร์ มาเรียนต่อยอดวิชาชีพครู 1 ปีหรือ 1
ภาคการศึ ก ษา โดยการปรั บ ปรุ ง หลั ก สู ต รดั ง กล่ า วคาดว่ า จะเริ่ ม ใช้ ใ นปี ก ารศึ ก ษา 2558 โดยในระยะแรก
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 4 แห่งที่มีการเปิดคณะครุศาสตรอุตสาหกรรมไปก่อน แต่หากคุรุสภาเห็นชอบ
หลักสูตร 4+1 จะจัดการเรียนการสอนในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลครบทั้งเก้าแห่ง
เมื่ อ ศึ ก ษาเอกสารและท าการประชุ ม สนทนากลุ่ ม เพิ่ ม เติ ม เมื่ อ วั น ที่ 11 และ 24 กุ ม ภาพั น ธ์ 2557
มีประเด็นที่น่าสนใจ คือ
โครงสร้างหลักสูตร พบว่าหลักสูตรของสถาบันผลิตครูแต่ละสถาบันมีโครงสร้างหลักสูตรจานวนหน่วย
กิตรวมและจานวนหน่ว ยกิต ในหมวดวิชาต่างๆ ไม่ต่ากว่าที่คุรุสภากาหนด เมื่อวิเคราะห์เปรียบเทียบในแต่ล ะ
สถาบันพบว่า จานวนหน่วยกิตในหลักสูตรมีอยู่ระหว่าง 100-174 หน่วยกิต มีความแตกต่างกัน 10 หน่วยกิต เมื่อ
พิจารณาสาเหตุความแตกต่างพบว่า มีค วามแตกต่างมากที่สุดในหมวดวิชาเอก บางสถาบันมี 69 หน่วยกิต บาง
สถาบันมี 85 หน่วยกิต มีความแตกต่างกัน 17 หน่วยกิต นอกจากนั้นยังมีความแตกต่างกันในหมวดวิชาชีพครู ซึ่ง
ประกอบด้วย 3 กลุ่มวิชา คือ 1) วิชาพื้นฐานวิชาชีพครู 2) วิชาชีพครู และ 3) ประสบการณ์วิชาชีพ จะพบว่า กลุ่ม
วิชาประสบการณ์วิชาชีพจะมีจานวนหน่วยกิต ต่าสุดคือ 12 หน่วยกิต และมากที่สุดคือ 25 หน่วยกิต ผลการ
วิเคราะห์สะท้อนให้เห็นว่า โครงสร้างหลักสูตรของสถาบันการผลิตครูที่เป็นแนวปฏิบัติที่ดี ยังมีความแตกต่างกันอยู่
มากในจานวนหน่วยกิตของหมวดวิชาพื้นฐาน หมวดวิชาชีพ และหมวดวิชาเอก แสดงให้เห็นว่า ความแตกต่างของ
โครงสร้างหลักสูตรดังกล่าวอาจจะไม่ส่งผลให้มีความแตกต่างในเรื่องของคุณภาพครูที่เป็น ผลผลิต ดังแสดงใน
ตารางที่ 4.1 (วิชุดา กิจธรธรรมและคณะ, 2554: 148-149)
134
วิทยาเขตสมุทรสาคร
คุรุสภา
บ้านสมเด็จพระยา
ศรีนครินทรวิโรฒ
สงขลานครินทร์
เกษตรศาสตร์
มทร.ธัญญบุรี
พิบูลสงคราม
สุราษฎร์ธานี
จันทรเกษม
มจธ.ธนบุรี
ขอนแก่น
สวนดุสิต
บูรพา
จุฬาฯ
ธนบุรี
จานวนหน่วยกิต 160 171 169 168 171 163 160 170 168 178 169 170 173 160 16 174
5
1. หมวดวิชาศึกษาทั่วไป 30 30 30 30 30 32 30 30 33 30 31 31 30 30 31 36
2. หมวดวิชาครู 50 55 58 58 60 50 50 54 60 50 58 50 52 50 50 50
- พื้นฐานวิชาชีพครู 9 20
30 44 33 33 36 38 45 50 38 33 40 25 38
- วิชาชีพครู 36 16
1 ปี
- ประสบการณ์วิชาชีพครู 25 14 25 15 17 14 16 15 12 20 17 12 25 12 14
3. หมวดวิชาเอก 74 80 75 74 75 75 74 76 69 30 74 84 85 74 78 82
4. หมวดวิชาเลือกเสรี 6 6 6 6 6 6 6 10 6 6 6 6 6 6 6 6
ข้อบังคับคุรุสภาว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพมีบางองค์ประกอบที่ไม่สามารถทาให้เกิดขึ้นจริงทั้งที่ใช้กรอบ
มาตรฐานดังกล่าวมาเป็นเวลานานแล้ว เช่น ความเป็นครู การประกันคุณภาพการศึกษา คุณธรรม
จริยธรรม และจรรยาบรรณ เป็นต้น ขณะเดียวกันก็ขาดองค์ประกอบที่เป็นสากล เ ช่ น ก า ร ใ ห้
ความสาคัญกับประเด็นเรื่องการพัฒนาที่ยั่งยืน ทั้งนี้ ผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่ มเห็นว่ามาตรฐานหลักสูตร
ต้องเน้นการปลูกฝังความเป็นครู และความสามารถในการทางานกับผู้อื่น ส่วนกรอบมาตรฐานคุณวุฒิ
ที่กาหนดโดยสานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ที่ประชุมเห็นตรงกันว่ากรอบมาตรฐานคุณวุฒิ
ระดั บ อุ ด มศึ ก ษาแห่ ง ชาติ มี ข้ อ ก าหนดมากเกิ น ไป และไม่ ยื ด หยุ่ น ส่ ว นกรอบมาตรฐานคุ ณ วุ ฒิ
ครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ควรกาหนดในหลักการกลางไม่ควรมีการกาหนดกรอบมาตรฐานในระดับ
สาขาวิชาหรือวิชาเอก ควรปล่อยให้สถาบันการผลิตแต่ละแห่งสามารถกาหนดมาตรฐานได้ตามสภาพ
และความต้องการจริง อย่างไรก็ตาม มคอ.1 จะต้องมีเหมือนกันหมดทุกประเทศเพราะจะทาให้การ
ผลิตครูมีมาตรฐานระดับหนึ่ง และเป็นตัวเทียบโอนอย่างหนึ่งในอาเซียน กล่าวโดยสรุป หลักสูตร
สาขาวิช าครุ ศาสตร์/ ศึกษาศาสตร์มีกรอบมาตรฐานกากับมากเกินไปทั้งมาตรฐานจากส านักงาน
เลขาธิการคุรุสภาและกรอบมาตรฐานคุณวุฒิระดับอุดมศึกษาแห่งชาติ (TQF) สาขาครุศาสตร์/
ศึกษาศาสตร์จากสานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา ซึ่งกฎเกณฑ์ดังกล่าวข้างต้นเป็นการเพิ่ม
ภาระให้กับสถาบันการศึกษา ต้องใช้เวลาในการจัดทาเอกสารค่อนข้างมาก และมีบางมาตรฐานที่เป็น
องค์ประกอบสาคัญแต่ยังไม่สามารถดาเนินการให้บรรลุผลได้โดยเฉพาะการสร้างความเป็นครูและการ
พัฒนาคุณธรรม จริยธรรม และจรรยาบรรณวิชาชีพ
4.1.2 มาตรฐานการผลิต
ระบบการรับบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษาได้มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จากเดิมที่มหาวิทยาลัย
แต่ละแห่งจัดสอบเอง มาเป็นระบบที่ใช้การสอบคัดเลื อกซึ่งจัดการสอบโดยทบวงมหาวิทยาลัยหรือสานักงาน
คณะกรรมการการอุดมศึกษาในปัจจุบัน แล้วมาเปลี่ยนอีกครั้งเป็นระบบกลาง (Admissions) ระบบคัดเลือกระบบ
นี้เป็นระบบใหม่ โดยเน้นไปที่การพิจารณาผลการเรียนในระดับมัธยมศึกษา และผลการสอบวัดความรู้ พื้นฐาน และ
วัดความรู้ขั้นสูง ปัจจุบันในเรื่องของกระบวนการคัดเลือกนักศึกษา สถาบันผลิตครูทุกสถาบันมีการกาหนดวิธีการ
รับเข้าศึกษา 3 วิธี คือ 1) การรับแบบโควตา 2) การรับสมัครผ่านมหาวิทยาลัยโดยตรง และ 3) การรับสมัครผ่าน
ระบบกลางการคัดเลือกบุคคลเข้าศึกษาในสถาบันอุดมศึกษา (Central University Admissions System: CUAS)
หรือระบบแอดมิสชั่นกลาง (วิชุดา กิจธรธรรมและคณะ, 2554: 149)
การคัดเลือกจะดาเนินการเป็นระบบกลาง คือมีหน่วยงานกลางรับผิดชอบ ทั้งการจัดการสอบ การจัดการ
คัดเลือก ในระยะเริ่มต้น สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา จะเป็นผู้รับผิดชอบ และสถาบันทดสอบทาง
การศึกษาแห่งชาติ หรือ สทศ. เป็นผู้รับผิดชอบการจัดการทดสอบวัดความรู้พื้นฐาน ผู้ที่สนใจสมัครเข้าศึกษาต่อใน
สถาบันผลิตครูในระบบนี้จึงได้รับการพิจารณาจากผลการเรียนเฉลี่ยสะสม (GPAX) ผลการทดสอบทางการศึกษา
136
น่าจะเป็นวิชาชีพชั้นสูงวิชาชีพเดียวที่ไม่มีการควบคุมปริมาณการผลิตทาให้ผลิตบัณฑิตครูเกินเป็นจานวนมาก
ซึ่งย่อมส่งผลต่อคุณภาพของบัณฑิตครูและผู้เข้าสู่วงวิชาชีพครูด้วย
เมื่อพิจารณาจานวนนักศึกษาใหม่จาแนกตามประเภทสถาบันกล่าวได้ว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏเป็นสถาบัน
การผลิตครูที่รับนักศึกษาจานวนมากที่สุดถึงจานวน 39,217 คนในปีการศึกษา 2556 รองลงมา คือ สถานศึกษา
นอกสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ มหาวิทยาลัยของรัฐ และมหาวิทยาลัยไม่จากัดรับตามลาดับ แต่ก็มีจานวนรับ
นักศึกษาน้อยกว่ามหาวิทยาลัยราชภัฏมาก กล่าวคือ ในปีการศึกษา 2556 มหาวิทยาลัยของรัฐรับนักศึกษา 5,031
คน มหาวิทยาลัยไม่จากัดรับ 4,742 คน สถานศึกษานอกสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ 6,495 คน ที่น่าสนใจ คือ
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลซึ่งรับผิดชอบการผลิตครูอาชีวศึกษาเป็นหลักมีจานวนการรับนักศึกษาน้อยมาก
เพียง 1,877 คน เมื่อพิจารณาการรับนักศึกษาใหม่โดยเทียบปีการศึกษา 2551 กับปีการศึกษา 2556 เป็นราย
ประเภทสถาบั น พบว่า มหาวิทยาลั ยเอกชนรับนักศึกษาใหม่เพิ่มขึ้นเกือบ 10 เท่า จาก 100 คนเป็น 969 คน
มหาวิทยาลัยราชภัฏรับนักศึกษาใหม่เพิ่มขึ้น 3 เท่าจาก 13,779 คน เป็น 39,217 คน ในขณะที่มหาวิทยาลัยของ
รัฐรับนักศึกษาเพิ่มขึ้นจาก 4,623 คนประมาณ 1,000 คนเป็น 5,031 คน มหาวิทยาลัยไม่จากัดรับ มีจานวนรับ
นักศึกษาใหม่เพิ่มขึ้นประมาณสองเท่าจาก 2,064 คนเป็น 4,742 คน สถานศึกษานอกสังกัดกระทรวงศึกษาธิการ
รับนักศึกษาใหม่เพิ่มขึ้นสองเท่าจาก 3,179 คนเป็น 6,495 คน แต่น่าสังเกตว่า มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล
ไม่ได้เพิ่มจานวนรับนักศึกษาใหม่มากนักโดยเพิ่มจาก 1,588 คน เป็น 1,877 คน
สาหรับข้อมูลจานวนการรับนักศึกษาใหม่ของสถาบันการศึกษาในแต่ละประเภทปรากฏดังตารางที่ 4.3
ตารางที่ 4.3 จ านวนนั ก ศึก ษาเข้ าใหม่ ระดับ ปริญ ญาตรี สาขาด้ านครุ ศาสตร์ /ศึ กษาศาสตร์ ปี การศึ กษา
2551-2556 จาแนกตามสถาบันในแต่ละประเภท
หน่วย : คน
ปีการศึกษา
ที่ ประเภทสถาบัน 2551 2552 2553 2554 2555 2556
รวมทั้งหมด 25,333 36,601 52,336 61,472 54,679 50,131
มหาวิทยาลัยรัฐ 4,623 5,726 6,856 6,690 6,112 5,831
1 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 414 593 759 434 498 409
2 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 164 230 237 275 224 234
3 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกาแพงแสน 168 155 174 165 159 205
4 มหาวิทยาลัยขอนแก่น 428 513 514 543 469 562
5 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 318 299 443 366 300 235
6 มหาวิทยาลัยทักษิณ 694 646 752 585 595 458
7 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 313 341 261 266 210 351
8 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าพระนครเหนือ - - 62 69 68 63
9 มหาวิทยาลัยนครพนม - 126 482 979 784 495
138
ครูส่วนหนึ่งไม่เคยเป็นครูจึงไม่ได้ประสบการณ์ของความเป็นครูมาสอนนักศึกษาส่งผลให้ไม่สามารถ
พัฒนานิสิตนักศึกษาครูได้อย่างเต็มศักยภาพ ส่วนผู้ที่สอนวิชาบริหารการศึกษาส่วนหนึ่งแต่ไม่เคย
บริห ารสถานศึกษา ไม่เคยนิ เทศการศึกษา ทาให้ ค วามรู้ที่นักศึกษาได้รับเป็นทฤษฎี เสี ยส่ วนใหญ่
สาหรับการปฏิบัติงานของอาจารย์นิเทศ (อาจารย์ของสถาบันผลิตครู) กับครูพี่เลี้ยง (ครูผู้สอนของ
สถานศึกษาที่นิสิตนักศึกษาปฏิบัติการสอน) นั้น ที่ประชุมเห็นว่า การประเมินและนิเทศการสอนยัง
ไม่ได้ทาอย่างเป็นระบบ นักศึกษาไม่สามารถทาได้จริง ไม่สามารถแก้ไขสถานการณ์หรือประยุกต์สิ่งที่
เรี ย นมาในการทางานได้จ ริ ง นอกจากนี้ยังมีประเด็นว่า บุคคลที่รับผิ ดชอบหลั กสู ตรปริญญาทาง
การศึกษา ไม่เป็นไปตามประกาศคุรุสภาและสานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา เช่น จานวน
คณาจารย์ประจาหลักสูตร คุณสมบัติอาจารย์ประเภทต่างๆ และ/หรือครูพี่เลี้ยง
- ระบบการเรียนรู้ เห็นว่ากระบวนการเรียนการสอนไม่ได้เน้นความเป็นครู ทาให้ส่วนหนึ่งยังขาดจิต
วิญญาณของความเป็นครู และยังมีปัญหาด้านการถ่ายทอดเทคนิควิธีการสอนส่งผลให้นิสิตนักศึกษา
สาเร็จการศึกษาออกไปเป็นครูที่ขาดเรื่องทักษะ วิธีการสอน รวมทั้งยังเห็นว่าการจัดกิจกรรมพัฒนา
คุณลักษณะความเป็นครูไม่เหมาะสม ทั้งนี้ มีข้อเสนอที่น่าสนใจโดยผู้ทรงคุณวุฒิเห็นว่าสถาบันผลิตครู
ควรเป็นสถาบันเฉพาะทางแบบวิทยาลัยครูเดิมซึ่งเน้นการพัฒนาความเป็นครู
- การประกันคุณภาพ เห็นว่ายังไม่สามารถวัดคุณภาพมาตรฐานได้จริง เนื่องจากเน้นการประเมินด้วย
เอกสารมากเกินไปและมีตัวชี้วัดจานวนมากทาให้สถาบันการศึกษาต้องใช้เวลามากเกินไปในเรื่องนี้
4.1.3 มาตรฐานบัณฑิต
ในด้านจ านวนผู้ สาเร็จ การศึกษา พบว่าระหว่างปีการศึกษา 2551-2555 มีจานวนผู้ส าเร็จการศึกษา
ไม่มากนัก กล่าวคือ ในปีการศึกษา 2555 มีจานวนรวมทั้งสิ้น 19,059 คน เพิ่มจากปีการศึกษา 2551 ที่มีผู้สาเร็จ
การศึ ก ษา 10,764 คน ในจ านวนนี้ เ ป็ น ผู้ ที่ส าเร็ จ การศึ ก ษาจากมหาวิ ทยาลั ย ราชภั ฏ มากที่ สุ ด 11,744 คน
รองลงมามหาวิทยาลัยของรัฐ 4,386 คน และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 937 คน ในปีการศึกษา 2554
มีผู้สาเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏจานวนมากที่สุดเช่นกัน
169
ส่วนสาขาวิชาที่คาดว่านักศึกษาคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์จะสาเร็จการศึกษา 20 อันดับสูงสุดแสดงใน
ภาพที่ 4.2 ซึ่งจะเห็นว่าห้าอันดับแรก คือ การศึกษาปฐมวัย พลศึกษา ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาสตร์
172
สาหรับผลการวิเคราะห์แนวโน้มความต้องการครูและการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐานในอนาคต โดยใช้
การวิเคราะห์แนวโน้มและความต้องการในอนาคต (Trend Analysis) ซึ่งเป็นการคานวณข้อมูลระหว่างปี พ.ศ.
2546-2557 เพื่อวิเคราะห์แนวโน้มจานวนความต้องการครู ในแต่ละสาขาวิชาเพื่อทดแทนอัตราการเกษียณอายุ
ราชการของครูทั้งประเทศระหว่างปี 2558-2567 เมื่อจาแนกตามสาขาวิชา พบว่า สาขาวิชาที่มีแนวโน้มต้องการ
ครูมากที่สุดในปี 2567 คือ สาขาวิชาภาษาไทย จานวน 5,244 คน รองลงมาคือ สาขาวิชาคณิตศาสตร์ สังคมรวม
มนุษยศาสตร์และจิตวิทยา และประถมศึกษา (4,504 3,819 และ 3,743 คน ตามลาดับ) เมื่อพิจารณาระหว่าง
ความต้องการครูและการผลิตครู พบว่า สถาบันการศึกษาผลิตครูในสาขาวิชาส่วนใหญ่ไม่เพียงพอต่อความต้องการ
โดยสาขาวิชาที่มีแนวโน้มขาดแคลนครูมากที่สุดในปี 2567 คือ สาขาวิชาประถมศึกษา ผลิตขาดจานวน 3,365
คน รองลงมาคือ สาขาวิชาภาษาไทย สังคมศึกษารวมมนุษยศาสตร์และจิตวิทยา การงานและพื้นฐานอาชีพ และ
ภาษาอังกฤษ (ผลิตขาดจานวน 3,530 1,710 1,554 และ 1,231 คน ตามลาดับ ) สาหรับสาขาวิชาที่
สถาบันการศึกษาผลิตครูมากกว่าความต้องการมี 3 สาขาวิชา คือ สาขาวิชาปฐมวัย สุขศึกษา/พลศึกษา และ
วิทยาศาสตร์ (ผลิตเกิน 1,467 1,002 และ 692 คน ตามลาดับ) รายละเอียดดังตารางที่ 4.10
176
ความ
233 306 436 540 660 821 938 950 979 968 966 971 968 968 963
ต้องการ
การ
การศึกษาปฐมวัย 1,442 1,419 1,607 2,223 3,663 2,140 2,206 2,279 2,347 2,536 2,387 2,423 2,449 2,420 2,430
ผลิต
-ขาด/
1,209 1,113 1,171 1,683 3,003 1,319 1,268 1,329 1,368 1,568 1,421 1,452 1,481 1,452 1,467
เกิน
ความ
901 1,182 1,683 2,983 2,549 3,171 3,627 3,672 3,783 3,737 3,731 3,750 3,739 3,740 3,743
ต้องการ
การ
การประถมศึกษา 157 157 158 246 455 322 366 375 362 390 376 376 381 378 378
ผลิต
-ขาด/ - - - - - - - - - - - - - -
744
เกิน 1,025 1,525 2,737 2,094 2,849 3,261 3,297 3,421 3,347 3,350 3,374 3,358 3,362 3,365
ความ
1,263 1,655 2,359 2,919 3,572 4,442 5,081 5,144 5,301 5,236 5,227 5,255 5,239 5,240 5,244
ต้องการ
การ
ภาษาไทย 891 809 958 1,452 3,148 1,457 1,571 1,644 1,722 1,731 1,699 1,717 1,716 1,711 1,714
ผลิต
-ขาด/ - - - - - - - - - - -
-372 -846 -424 -3529
เกิน 1,401 1,467 2,986 3,510 3,500 3,579 3,505 3,528 3,538 3,523 3,530
ความ
คณิตศาสตร์รวมวัดผล 1,085 1,422 2,026 2,506 3,067 3,815 4,363 4,417 4,553 4,496 4,489 4,513 4,499 4,500 4,504
ต้องการ
177
ปี พ.ศ.
สาขาวิชา
2553 2554 2555 2556 2557 2558 2559 2560 2561 2562 2563 2564 2565 2566 2567
การ
1,109 1,011 1,281 1,759 3,133 3,457 3,705 3,890 4,069 4,091 4,017 4,059 4,056 4,044 4,053
ผลิต
ความ
วิทยาศาสตร์ 283 372 529 656 803 997 1,141 1,155 1,191 1,176 1,174 1,180 1,177 1,177 1,178
ต้องการ
การ
834 826 1,032 1,482 2,487 1,681 1,740 1,823 1,847 1,901 1,857 1,868 1,875 1,867 1,870
ผลิต
-ขาด/
551 454 503 826 1,684 684 599 668 656 725 638 688 698 690 692
เกิน
ความ
เคมี 233 306 436 540 660 821 938 951 979 968 966 971 968 968 969
ต้องการ
การ
110 105 118 222 344 288 294 299 317 318 311 315 315 314 314
ผลิต
-ขาด/
-123 -201 -318 -318 -316 -533 -644 -652 -662 -650 -655 -656 -653 -654 -655
เกิน
ความ
ชีววิทยา 238 312 445 550 643 837 958 969 999 986 985 990 987 987 988
ต้องการ
การ
117 91 207 264 581 324 337 361 372 379 371 374 375 373 374
ผลิต
-ขาด/
-121 -221 -238 -286 -62 -513 -621 -608 -627 -607 -614 -616 -612 -614 -614
เกิน
ฟิสิกส์ ความ 219 288 410 508 621 776 886 895 922 910 909 914 911 911 912
178
ปี พ.ศ.
สาขาวิชา
2553 2554 2555 2556 2557 2558 2559 2560 2561 2562 2563 2564 2565 2566 2567
ต้องการ
การ
65 78 99 169 311 294 302 310 318 320 316 318 318 317 317
ผลิต
-ขาด/
-154 -210 -311 -339 -310 -482 -584 -585 -604 -590 -593 -596 -593 -594 -595
เกิน
สังคมศึกษา รวม ความ
919 1,205 1,718 2,126 2,601 3,236 3,700 3,746 3,860 3,813 3,806 3,826 3,815 3,816 3,819
มนุษยศาสตร์และจิตวิทยา ต้องการ
การ
1,101 1,161 1,357 1,671 2,535 2,005 2,063 2,056 2,141 2,104 2,100 2,115 2,106 2,107 2,109
ผลิต
-ขาด/ - - - - - - - - - -
182 -44 -361 -455 -66
เกิน 1,231 1,637 1,690 1,719 1,709 1,706 1,711 1,709 1,709 1,710
สุขศึกษา/ ความ
490 642 914 1,132 1,385 1,722 1,969 1,994 2,055 2,029 2,026 2,037 2,031 2,031 2,033
พลศึกษา ต้องการ
การ
1,388 1,594 1,822 2,674 4,357 2,881 2,822 2,981 3,031 3,054 3,022 3,036 3,037 3,032 3,035
ผลิต
-ขาด/
898 952 908 1,542 2,972 1,159 853 987 976 1,025 996 999 1,006 1001 1,002
เกิน
ความ
ศิลปศึกษา 513 672 958 1,185 1,449 1,803 2,062 2,087 2,151 2,124 2,121 2,132 2,126 2,126 2,128
ต้องการ
การ
410 512 470 627 874 644 661 671 687 672 677 679 676 677 677
ผลิต
179
ปี พ.ศ.
สาขาวิชา
2553 2554 2555 2556 2557 2558 2559 2560 2561 2562 2563 2564 2565 2566 2567
-ขาด/ - - - - - - - - - -
-103 -160 -488 -558 -575
เกิน 1,159 1,401 1,416 1,464 1,452 1,444 1,453 1,450 1,449 1,451
การงานพื้นฐานอาชีพ/เทคโนโลยีรวม ความ
819 1,073 1,531 1,894 2,315 2,881 3,295 3,336 3,438 3,396 3,390 3,408 3,398 3,399 3,401
เทคโนโลยีการศึกษา ต้องการ
การ
335 846 1,266 1,454 2,572 1,673 1,788 1,852 1,889 1,818 1,853 1,853 1,841 1,849 1,847
ผลิต
-ขาด/ - - - - - - -
-484 -227 -265 -440 -257 -1507 -1484 1,578
เกิน 1,208 1,549 1,537 1,555 1,557 1,550 1,554
ความ
ภาษาต่างประเทศ 901 1,182 1,683 2,083 2,549 3,171 3,626 3,672 3,783 3,737 3,731 3,750 3,739 3,740 3,743
ต้องการ
การ
1,340 1,499 1,614 2,292 3,567 2,306 2,396 2,449 2,506 2,537 2,497 2,513 2,516 2,509 2,512
ผลิต
-ขาด/ - - - - - - - - -
439 317 -69 209 1,018 -865
เกิน 1,230 1,223 1,277 1,200 1,234 1,237 1,223 1,231 1,231
ความ
การศึกษาพิเศษ 137 179 256 317 388 483 553 559 576 569 568 571 569 569 569
ต้องการ
การ
250 170 102 157 260 282 266 262 260 335 286 294 305 295 298
ผลิต
-ขาด/
113 -9 -154 -160 -128 -201 -287 -297 -316 -234 -282 -277 -264 -274 -271
เกิน
180
ที่มาของข้อมูลที่ใช้ในการวิเคราะห์ความต้องการครูในแต่ละสาขาวิชาเพื่อทดแทนอัตราการเกษียณอายุราชการของครูทั้งประเทศ จาก
สมหวัง พิธิยานุวัฒน์และคณะ (2556). การวิจัยพัฒนาเพื่อส่งเสริมสถาบันผลิตครูสู่ความเป็นเลิศทางวิชาการ:กรอบการจัดกลุ่มสถาบันผลิตครูสาหรับประเทศ
ไทย, สานักเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการ, ห.จ.ก.วีทูรซูริ.คอมมิวนิเคชั่น. กรุงเทพ.
181
4.3 ข้อเสนอแนะในการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ผลการสนทนากลุ่มผู้ทรงคุณวุฒิ เมื่อวันที่ 6 มีนาคม 2558 ได้ข้อเสนอแนะเกี่ยวกับการผลิตครูการศึกษา
ขั้นพื้นฐานที่สาคัญ คือ
4.3.1 มาตรฐานหลักสูตรและมาตรฐานวิชาชีพ มีการตั้งประเด็นให้ทบทวนคุณภาพหลักสูตร 5 ปีเพื่อ
ประเมินว่าสามารถผลิตผู้สาเร็จการศึกษาที่มีคุณลักษณะตามประสงค์ได้หรือไม่ แต่ยังไม่มีข้อตกลงในที่ประชุม
ทั้งนี้ผู้ทรงคุณวุฒิส่วนหนึ่งเห็นว่าหลักสูตร 4 ปีก็อาจผลิตบัณฑิตที่พึงประสงค์ได้ ขึ้นกับการจัดแนวทางการให้
ความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ ในต่างประเทศที่ประสบความสาเร็จในการผลิตครูที่มีคุณภาพก็ไม่ได้เปิดหลักสูตร
ครุศาสตร์ศึกษาศาสตร์ 5 ปี เช่น ประเทศฟินแลนด์ให้ศึกษาระดับปริญญาตรีเพียงสี่ปีต่อด้วยปริญญาโทอีกสองปี
แต่ ก ารจั ด กระบวนการเรี ย นการสอนเน้ น การวิ จั ย และพั ฒ นาทั ก ษะความเป็ น ครู ในด้ า นมาตรฐานวิ ช าชี พ
มีข้อเสนอให้ทบทวนกรอบมาตรฐานคุณวุฒิครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ (มคอ.) หลักสูตรปริญญาตรี 5 ปี ที่ประกาศใช้
เมื่อพ.ศ. 2554 ให้มีความยืดหยุ่น ไม่ควรใช้เกณฑ์มาตรฐานในระดับสาขาวิชาแบบเดียวกันทุกสถาบันเนื่องจากแต่
ละแห่งจะมีลักษณะเฉพาะ แต่ยังคงใช้กรอบมาตรฐาน มคอ. 1 เพื่อรักษาคุณภาพมาตรฐานไว้
4.3.2 มาตรฐานการผลิต มีข้อเสนอเกี่ยวกับระบบการคัดเลือกนิสิตนักศึกษาสามแนวทาง แนวทางที่
หนึ่ง เสนอให้รับนักศึกษาแบบระบบปิด จากัดจานวนรับโดยให้สถาบันผลิตครูแต่ละแห่งระบุสาขาวิชาที่ตนมีความ
เชี่ยวชาญและความพร้อมที่จะรับนักศึกษา ให้สถาบันผลิตครูไปจัดสรรจานวนการผลิตให้ตรงตามความต้องการ ให้
มีการกาหนดจานวนสัดส่วนและแต่ละที่ควรนาไปผลิตตามที่กาหนดไว้ อย่างไรก็ตาม การรับนักศึกษาในระบบปิด
เช่น นี้มี เงื่อนไข คือ สถาบั นผลิ ตครูต้องสามารถระบุ ส าขาวิช าที่มีความเชี่ยวชาญซึ่งจะเป็นสาขาวิช าที่เปิดรับ
นักศึกษา และจะต้องมี ฐานข้อมูล ความต้องการและการผลิตต้องแม่นยา ต้องมีการเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวเพื่อ
ประโยชน์ในการวางแผนจานวนและสาขาวิชาที่จะรับนักศึกษา อีกทั้งกระทรวงศึกษาธิการ และสถาบันผลิตครู
จะต้องร่วมมือกับท้องถิ่นเพื่อกาหนดโควตารับเข้า แนวทางที่สอง คงการรับนักศึกษาแบบเปิดตามที่ดาเนินอยู่ใน
ปัจจุบัน ซึ่งหากสถาบันผลิตครูไม่ลดจานวนการผลิต ก็จะต้องมีระบบการสอบคุณภาพผู้สาเร็จการศึกษาที่เรียกว่า
exit exam เพื่อใช้ในการรับรองคุณวุฒิและการออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ แนวทางที่สาม เป็นการ
ผสมผสานสองแนวทางข้างต้นโดยให้คงระบบการรับแบบเปิดไว้ แต่เริ่มรับแบบระบบปิดในบางสาขาวิชา ทั้งนี้
185
ได้รับคาอธิบายเพิ่มเติม (สุรวาท ทองบุ, ประชุมสนทนากลุ่ม วันที่ 6 มีนาคม 2558) ว่า “ระบบปิด หมายถึงการ
รับบุคคลเข้าศึกษาชั้นปีที่ 1 ตามหลักสูตรการผลิตครู 5 ปีหรือหลักสูตรอื่นๆ ที่คุรุสภาให้การรับรอง ตามจานวน
ความต้องการใช้ครูของสถานศึกษาภาครัฐ เมื่อสาเร็จการศึกษาจะมีอัตราข้าราชการครูรองรับและจะได้รับการ
บรรจุทันที ในระหว่างศึกษาอาจได้รับเงินทุนการศึกษา เป็ นค่าธรรมเนียมการศึกษาที่สถาบันการผลิตเรียกเก็บ
ค่าอุปกรณ์การศึกษาและค่าใช้จ่ายส่วนตัวอื่นๆ ทั้งนี้ สถานศึกษาเอกชนอาจทาความตกลงร่วมมือกับสถาบันฝ่าย
ผลิตดาเนินการเช่นเดียวกับภาครัฐได้ ส่วนระบบเปิด หมายถึง การรับบุคคลเข้าศึกษาชั้นปีที่ 1 ตามหลักสูตรการ
ผลิตครู 5 ปีหรือหลักสูตรอื่นๆ ที่คุรุสภาให้การรับรอง ตามศักยภาพของสถาบันและความต้องการของผู้เรียน
เมื่อสาเร็จการศึกษาแล้วผู้เรียนจะต้องไปหางานทาหรือสอบบรรจุเข้าประกอบวิชาชีพครู ในสถานศึกษาของภาครัฐ
ที่มีความต้องการครูเพิ่มเติมหรือเอกชน หรือประกอบวิชาชีพที่เกี่ยวข้องเอง โดยให้ถือว่าเป็นความรับผิดชอบต่อ
การมีงานทาของผู้เรียนและสถาบันการผลิต ” นอกจากนี้ที่ประชุมยังเห็นว่าควรให้ความสาคัญกับวิธีการคัดเลือก
และเครื่องมือวัดความเป็นครูที่มีประสิทธิภาพ อีกทั้งเมื่อเข้ามาศึกษาแล้วต้องเน้นการพัฒนาจิตวิญาณของความ
เป็นครูด้วย โดยมีผู้เสนอให้พิจารณาแนวคิดและแนวทางของวิทยาลัยครูเดิมที่รับนักศึกษาจากัดจานวน คัดเลือก
คนเก่งมาเรียนครูแบบอยู่ประจาโดยใช้ระบบหอพัก ระหว่างการศึกษาก็อาจมีเงินเดือน มีการรับประกันงานเมื่อ
สาเร็จการศึกษา เมื่อเริ่มประกอบวิชาชีพในสถานศึกษาก็จัดระบบพี่เลี้ยงดูแลจนเกิดความชานาญ หากดาเนินการ
ในแนวทางนี้ก็น่าที่จะแก้ปัญหาการที่ผู้สมัครไม่มีความต้อ งการในการเป็นครูอย่างแท้จริง ไม่ได้คนเก่ง คนดี คน
อยากเป็นครู มาเรียนครู และหากมีการรับนักศึกษาในโครงการรับพิเศษ เช่น โครงการในลักษณะโครงการคุรุ
ทายาทต้ องมีม าตรการรั บ บรรจุ ให้ ร วดเร็ ว กว่ าบั ณฑิ ตที่ ไม่ ร่ว มโครงการ เพราะปัจ จุบั นปรากฏว่า หน่ ว ยงาน
ดาเนินการบรรจุล่าช้ามาก
ที่ประชุมยังได้สนทนาเกี่ยวกับการผลิตครูผู้สอนในระดับและประเภทของสถานศึกษาโดยเห็นว่าการผลิต
ครูแยกครูระดับปฐมวัย ประถมศึกษา และมัธยมศึกษา ซึ่งมีประเด็นปัญหาต่างกัน ส่วนครูในสถานศึกษาประเภท
อาชีวศึกษาก็มีปัญหาที่เป็นลักษณะเฉพาะ นอกจากนี้ยังเห็นว่าครูส่วนหนึ่งมักจะไม่ คงอยู่ในสายการสอนแต่มักจะ
ศึกษาต่อเพื่อเพิ่มคุณวุฒิแล้วย้ายไปเป็นผู้บริหารสถานศึกษาซึ่งทาให้เกิดความสูญเปล่า ประเด็นน่าสนใจที่ได้จาก
การประชุมสนทนากลุ่มมีดังนี้
- การผลิ ตครู ป ฐมวัย ครู ที่ ส อนสถานศึ ก ษาในระดั บ ปฐมวั ย ปั จจุ บั น ส่ ว นหนึ่ ง สอนไม่ ต รงวุ ฒิ บาง
สถานศึกษาใช้ผู้ที่ไม่มีคุณวุฒิไปเป็นครูพี่เลี้ยงปฐมวัยจึงจะเป็นการทาที่ผิดวิธีเพราะเด็ กต้องได้รับการ
พัฒนาในแต่ละด้าน ผู้สอนในระดับนี้ต้องมีคุณวุฒิตรงสาขาวิชาเพื่อวางรากฐานของชีวิตให้กับผู้เรียน
- การผลิตครูประถมศึกษา มีปัญหาครูสอนไม่ตรงวุฒิ สถาบันผลิตครูต้องปรับหลักสูตรให้สอนได้ทุก
รายวิชาทั้งในรายวิชาและการฝึกประสบการณ์วิชาชีพ อีกทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการบรรจุควร
ปรับหลักเกณฑ์คุณสมบัติผู้มีสิทธิสมัครสอบใหม่ให้สอดคล้องกัน เพราะการสอนระดับประถมศึกษา
ต้องสอนได้ทุกวิชาไม่ว่าจะสาเร็จการศึกษาวิชาเอกใด
186
การใช้ครูอย่างมีประสิทธิภาพถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่จะส่งผลต่อการพัฒนาคุณภาพการศึกษา โดยเฉพาะ
การใช้ครู ให้ ป ฏิบั ติภ ารกิจ ที่เหมาะสม เพื่อส่ งผลถึงการวางแผนการผลิ ตและการพัฒ นาครูอย่างต่อเนื่อง
นโยบายที่เกี่ยวข้องกับการใช้ครูมีขั้นตอนกระบวนการที่เชื่อมโยงสัมพันธ์กันตั้งแต่ การสรรหา บรรจุ แต่งตั้ง
การปฏิบัติงาน การสร้างขวัญกาลังใจ และการติดตามประเมินผลการปฏิบัติงาน ในผลการศึกษาการใช้ครู
การศึกษาขั้นพื้นฐานนี้ จึงประกอบด้วยเนื้อหาที่แบ่งหัวข้อเป็นดังนี้
5.1 การศึกษาสภาพและปัญหาการใช้ครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
5.2 การศึกษาความต้องการในการใช้ครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
5.3 ข้อเสนอเชิงนโยบายด้านการใช้ครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
การใช้ครูอย่างมีประสิทธิภาพมีความสาคัญเพราะเป็นกระบวนการที่ส่งผลต่อผู้เรียนอย่างรวดเร็ว และ
ยั ง ส่ ง ผลถึ ง การวางแผนการผลิ ต ครู และการพัฒ นาครู ต่อ ไปอี กด้ ว ย การใช้ ค รูใ ห้ เ กิ ด ประสิ ท ธิภ าพและ
ประสิทธิผลนั้น เริ่มต้นตั้งแต่การสรรหา บรรจุ แต่งตั้ง การปฏิบัติงาน การสร้างขวัญกาลังใจ และการติดตาม
ประเมินผลการปฏิบัติงาน ซึ่งมีรายละเอียดดังนี้
ส าหรั บ ข้า ราชการครู ใ นสั ง กั ดส านัก งานคณะกรรมการการศึก ษาขั้ น พื้น ฐาน ส านั กงานส่ ง เสริ ม
การศึ ก ษานอกระบบและการศึ ก ษาตามอั ธ ยาศั ย ส านั ก งานคณะกรรมการการอาชี ว ศึ ก ษา และ
กรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น มีหลักเกณฑ์และวิธีการคัดเลือกบุคคลเพื่อบรรจุและแต่งตั้ง
เข้ารับราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาในแต่ละสังกัด ซึ่งอาจรวมถึงการบรรจุ แต่งตั้ง โอน หรือย้าย
หน่วยงานที่มีบทบาทหน้าที่หลักคือ สานักงานข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา (ก.ค.ศ.) โดยอาศัย
มาตรา 47 แห่งพระราชบัญญัติร ะเบีย บข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 กาหนดให้
อ.ก.ค.ศ.เขตพื้ น ที่การศึกษา เป็ น ผู้ ดาเนิ น การสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็น
ข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สาหรับหลักสูตร วิธีการสอบแข่งขัน และวิธีดาเนินการที่เกี่ยวกับการ
สอบแข่งขันได้ในบั ญชีหนึ่งไปขึ้นบัญชีเป็นผู้สอบแข่งขันได้ในบัญชีอื่น และยกเลิกบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ให้
เป็นไปตามที่ ก.ค.ศ. กาหนด
ก.ค.ศ.ก าหนดหลั ก เกณฑ์ แ ละวิ ธี ก ารสอบแข่ ง ขั น เพื่ อ บรรจุ แ ละแต่ ง ตั้ ง บุ ค คลเข้ า รั บ ราชการ
เป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา โดยผู้เข้าสอบแข่งขันจะต้องเข้ารับการสอบ 3 ภาค กล่าวคือ
ภาค ก ความรอบรู้ ความสามารถทั่วไป และความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับความประพฤติและ
การปฏิบั ติของวิช าชีพครู ด้ว ยวิธีการสอบข้อเขียนแบบปรนัย โดยคานึงถึงระดับความรู้ ความสามารถที่
ต้องการของตาแหน่งตามที่กาหนดไว้ในมาตรฐานตาแหน่ง คะแนนเต็ม 150 คะแนน โดยต้องได้คะแนนไม่ต่า
กว่าร้อยละ 60 จึงจะมีสิทธิสอบภาค ข
188
หน่ ว ยงานที่ มี บ ทบาทหน้ า ที่ ใ นเรื่ อ งสวั ส ดิ ก ารครู แ ละบุ ค ลากรทางการศึ ก ษา คื อ ส านั ก งาน
คณะกรรมการการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุ คลากรทางการศึกษา (สกสค.) มีวิสัยทัศน์ในการ
เป็นองค์กรชั้นนาในการจัดสวัสดิการ สวัสดิภาพอย่างทั่วถึง เพื่อคุณภาพชีวิตของครูและบุคลากรทางการ
ศึกษา โดยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน มียุทธศาสตร์ในการดาเนินงาน ได้แก่ 1) พัฒนารูปแบบการจัด
สวัสดิการ สวัสดิภาพ และสิทธิประโยชน์เกื้อกูลอื่นอย่างมีประสิทธิภาพและทั่วถึง 2)เสริมสร้างความมั่นคงและ
คุณภาพชีวิต 3) ส่งเสริมและสร้างความสามัคคี ผดุงเกียรติครูและบุคลากรทางการศึกษา และการดารงตนอยู่
ในสังคมได้อย่างมีความสุข 4) ส่งเสริมและสนับสนุนการศึกษาวิจัยที่สามารถนาไปใช้ในการพัฒนาคุ ณภาพ
การจัดสวัสดิการ สวัสดิภาพและสิทธิประโยชน์เกื้อกูลอื่น 5) ผลิต พัฒนาสื่อทางการศึกษาที่มีคุณภาพ ได้
มาตรฐาน และสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีเพื่อการศึกษา และ 6) พัฒนาคุณภาพระบบบริหารจัดการเพื่อเพิ่ม
ประสิทธิภาพในการทางานขององค์กร โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ว่ าจะเป็น การฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วย
เพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา (ช.พ.ค.) การฌาปนกิจสงเคราะห์ช่วยเพื่อนครูและบุคลากรทางการศึกษา
ในกรณีคู่สมรสถึงแก่กรรม (ช.พ.ส.) กองทุนและมูลนิธิต่างๆ รวมทั้งโครงการสนับสนุนอื่น อาทิ การอุปสมบท
การศึกษาต่อ เป็นต้น (สานักงานคณะกรรมการการส่งเสริมสวัสดิการและสวัสดิภาพครูและบุคลากรทางการ
ศึกษา: ออนไลน์)
จากการศึกษาเอกสาร การสัมภาษณ์ การประชุมสนทนากลุ่ม และการทาวงล้ออนาคต สามารถสรุป
ผลการวิจัยในเรื่องการใช้ครู มีรายละเอียดดังนี้
5.1 การศึกษาสภาพและปัญหาการใช้ครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
เมื่อวัน ที่ 31 ธันวาคม 2557 คุรุสภาได้ทาการส ารวจจานวนใบประกอบวิชาชีพทางการศึกษา
ประกอบด้วยครู ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา และศึกษานิเทศก์ รวมทั้งสิ้น 874,177 ใบ แบ่งเป็น
สังกัด สพฐ.จานวน 419,387 ใบ สังกัด สอศ. 21,841 ใบ สังกัด กศน. 10,272 ใบ สังกัด สช. 58,860 ใบ
สังกัด สกอ. 1,498 ใบ สังกัด อปท. 30,579 ใบ สังกัด กทม. 13,270 ใบ สังกัดอื่นๆ และผู้ได้รับใบประกอบ
วิชาชีพแต่ยังมิได้สังกัดหน่วยงานใด อีก 298,470 ใบ ทั้งนี้ จานวนที่กล่าวมาคือจานวนใบอนุญาตที่คุรุสภาได้
อนุมัติให้กับบุคคลที่มีคุณสมบัติตามแต่ละประเภทครบถ้วน ซึ่งบางคนอาจมีใบอนุญาตทางการศึกษามากกว่า
1 ใบ
นอกจากนี้ ยังสามารถแสดงผู้รับใบประกอบวิชาชีพครูมีจานวนทั้งสิ้น 769,145 คน แบ่งตามแต่ละ
สังกัด ดังนี้ สังกัด สพฐ. 360,204 คน สังกัด สอศ. 19,530 คน สังกัด กศน. 8,900 คน สังกัด สช. 54,171 คน
สังกัด สกอ. 1,467 คน สังกัด อปท. 26,172 คน สั งกัด กทม. 11,266 คน สังกัดอื่นๆและผู้ได้รับใบประกอบ
วิชาชีพแต่ยังมิได้สังกัดหน่วยงานใด 287,546 คน นอกจากนี้ ยังมีสถิติจานวนผู้ประกอบวิชาชีพทางการศึกษา
ตามเอกสารสถิติการศึกษาฉบับย่อ 2556 (สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, 2557) ดังนี้
192
มัธยมศึกษา
ก่อนประถม ประถม มัธยมศึกษาตอนปลาย
สังกัด รวมทั้งสิ้น มัธยมศึกษา
ศึกษา ศึกษา สามัญ อาชีวศึกษา
ตอนต้น
ศึกษา /อื่นๆ
แห่งชาติ
15. องค์กรในกากับขึ้นตรง 24,012 5,916 16,053 670 256 -
นายกรัฐมนตรี : สานักงานตารวจ
แห่งชาติ
15.1 กองบัญชาการ ตารวจ 22,895 5,916 16,053 670 256
ตระเวนชายแดน
15.2 โรงเรียนนายร้อยตารวจ 1,117 - - - -
ภาพรวมระดับประเทศ (ในระบบ 15,290,911 1,749,196 5,096,611 3,014,083 2,279,108 735,335
และนอกระบบ)
ภาพรวมระดับ 14,166,416 1,547,680 4,575,845 2,775,992 2,176,121 723,185
กระทรวงศึกษาธิการ (ในและนอก
ระบบ)
สานักงานส่งเสริมการศึกษานอก 1,684,168 - 191,151 622,293 838,710 31,614
ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
(กศน.)*
หมายเหตุ : * จานวนผู้เรียนนับรวม 2 ภาคเรียนแบบนับซ้า
ที่มา: สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ, 2557
1) ส่านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ในปีการศึกษา พ.ศ. 2556 ได้สารวจจานวนห้องเรียนและนักเรียนของหน่วยงานที่สังกัดไว้
ดังนี้
198
ทุกรูปแบบ จานวน 13,021 อัตรา โดย พบว่ามีการใช้ครู กศน. ตาบลที่เพิ่มขึ้น โดยข้อมูลเมื่อปี 2556 มีครู
กศน. ตาบล จานวน 8,445 อัตรา และในปี 2557 มีครู กศน. ตาบล จานวน 8,710 อัตรา ในขณะที่ความดูแล
ก็เพิ่มสูงขึ้นด้วย ทั้งนี้ พบว่า ในกลุ่มของประชาชนทั่วไปได้รับการบริการด้านการศึกษาอย่างครอบคลุมทั่วถึง
คิดเป็นร้อยละ 93.21 ของเป้าหมายตามแผนที่ได้กาหนดไว้แต่ในขณะที่ประชาชนผู้ด้อยโอกาสนั้นยังได้รับการ
บริการที่ไม่ครอบคลุมเพียงพอคิดเข้าร่วมกิจกรรมเพียงร้อยละ73.07ของเป้าหมายตามแผนที่กาหนดไว้ เมื่อ
พิจารณารายกิจกรรม/รายประเภทของกิจกรรมการศึกษา พบว่า การศึกษา/การเรีย นรู้ที่บริการครอบคลุม
และทั่วถึงประชาชนทั้งหมดมากที่สุดคือ การศึกษาเพื่อพัฒนาอาชีพ คิดเป็นร้อยละ 97.24 ซึ่งสอดคล้องกับ
จุดมุ่งหมายของหลักสูตรการศึกษานอกระบบ ระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ที่ระบุว่า การ
พัฒนาผู้เรียนให้มีความสามารถในการประกอบสัมมาอาชีพ ให้สอดคล้องกับความสนใจ ความถนัด และตาม
ทันความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง (กระทรวงศึกษาธิการ, 2551) รองลงมาคือ การศึกษา
ขั้นพื้นฐาน คิดเป็นร้อยละ 96.22 การศึกษาเพื่อพัฒนาสังคมและชุมชน คิดเป็นร้อยละ 93.92 การศึกษาเพื่อ
พัฒนาทักษะชีวิต คิดเป็นร้อยละ 78.83 การส่งเสริมการรู้หนังสือ คิดเป็นร้อยละ 71.65 และการศึกษา/การ
เรียนรู้ที่บริการครอบคลุมและทั่วถึงประชาชนทั้งหมดน้อยที่สุด ได้แก่ การจัดกระบวนการเรียนรู้ตามแนว
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง คิดเป็นร้อยละ 62.72 นอกจากนั้นยังจัดการศึกษาให้แก่ชาวไทยภูเขาในศูนย์ การ
เรียนชุมชนชาวไทยภูเขา “แม่ฟ้าหลวง” (ศศช.) อีกจานวน 1,190 แห่ง ทั้งในพื้นที่ทรงงานและพื้นที่ปกติ
ดังนั้นจะเห็นได้ว่าสานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย มีหน่วยงานในสังกัดที่
จัดการเรียนรู้ให้แก่ประชาชนมาถึง 10,895 แห่ง (สานักงานส่งเสริม การศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม
อัธยาศัย, 2554) นอกจากนี้ ในปี พ.ศ. 2556 ได้มีการสารวจข้อมูลเกี่ยวกับครูและนักเรียนของการศึกษานอก
ระบบโรงเรียนไว้ ดังนี้
200
4) ส่านักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน
สาหรั บ การศึกษาเอกชน ในปี พ.ศ. 2555 พบว่ามีสถานศึกษาเอกชนในสั งกัดสานักงาน
คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนทั้งสิ้นจานวน 11,971 โรง/แห่ง นักเรียน 3,591,155 คน ครู 160,307
คน จ าแนกเป็ น 1) โรงเรี ย นในระบบ จ านวน 4,270 โรง นั ก เรี ย น 2,554,072 คน ครู 129,679 คน
ประกอบด้วยโรงเรียนประเภทสามัญศึกษา จานวน 458 โรง นักเรียน 346,142 คน ครู 16,318 คน และ
ประเภทนานาชาติ จ านวน 138 โรง นั ก เรี ย น 35,436 คน ครู 5,956 คน และ2) โรงเรี ย นนอกระบบ
ประกอบด้วยหลักสูตรระยะสั้น จานวน 5,221 โรง นักเรียน 782,517 คน ครู 21,482 คน สถาบันศึกษา
ปอเนาะ จานวน 420 แห่ง นักเรียน 38,612 คน ครู 1,319 คน และศูนย์การศึกษาอิสลามประจามัสยิด (ตาดี
กา) จานวน 2,060 แห่ง นักเรียน 215,954 คน ครู 7,827 คน มีรายละเอียดดังนี้
202
5) ส่านักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
สาหรับการจัดการศึกษาระดับอาชีวศึกษานั้น มีภาวะขาดแคลนครูผู้สอนเช่นกัน โดยส่งผล
อย่ างมากต่อการพัฒนาประเทศ เนื่องจากอาชีว ศึกษาเป็นการจัดการศึกษาเพื่อตอบสนองความต้องการ
กาลังคนและแรงงานตามนโยบายของรัฐบาล ใน 2 ทางคือ 1) ตอบสนองความต้องการของสถานประกอบการ
ใน 13 กลุ่มอุตสาหกรรมเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันของประเทศ 2) ตอบสนองความต้องการของ
ชุมชนในการประกอบอาชีพอิสระ ในด้านการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยนั้น เป็นการจัด
การศึกษาให้กับผู้ที่พลาดโอกาสในการศึกษาแบบปกติและผู้ที่มีความสนใจเรียนรู้ตามความต้องการและความ
จาเป็น ก็ได้รับผลกระทบเช่นกันโดยเฉพาะในศูนย์บริการการศึกษานอกโรงเรียนอาเภอ (ศบอ.) หรือแม้กระทั่ง
การศึกษาเอกชน ซึ่งรัฐบาลสนับสนุนเงินอุดหนุนและการพัฒนาครูเอกชน ได้ประสบปัญหาการขาดแคลนครู
ในหลายสาขาด้วยกัน
สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) มีสถานศึกษาในสังกั ด 421 แห่งทั่วประเทศ
เพื่อผลิตและพัฒนากาลังคนด้านวิชาชีพระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง
(ปวส.) และปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ โดยจัดการเรียนการสอน 9 ประเภทวิชา มีสาขาวิชา
ให้เลือกเรียนมากกว่า 350 สาขาวิชา ทั้งนี้ ด้านการบริหารจัดการมีศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีวศึกษาประจา
203
ประเภทวิชาที่เปิดสอน
1. ประเภทวิชาอุตสาหกรรม
2. ประเภทวิชาพาณิชยกรรม/บริหารธุรกิจ
3. ประเภทวิชาศิลปกรรม
4. ประเภทวิชาคหกรรม
5. ประเภทวิชาเกษตรกรรม
6. ประเภทวิชาประมง
7. ประเภทวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
8. ประเภทวิชาอุตสาหกรรมสิ่งทอ
9. ประเภทวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
ประเภทวิชาที่เปิดสอนระดับปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ
1. ประเภทวิชาอุตสาหกรรม
2. ประเภทวิชาเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร
3. ประเภทวิชาบริหารธุรกิจ
4. ประเภทวิชาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว
5. ประเภทวิชาศิลปกรรม
6. ประเภทวิชาคหกรรม
7. ประเภทวิชาเกษตรกรรม
8. ประเภทวิชาประมง
ระดับหลักสูตรที่เปิดสอน
1. หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) เป็นหลักสู ตรที่รับผู้ส าเร็จการศึกษาระดับ
มัธยมศึกษาตอนต้น เพื่อผลิตและพัฒนากาลังคนระดับฝีมือให้มีความชานาญเฉพาะด้าน
2. หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) เป็ นหลักสูตรที่รับผู้สาเร็จการศึกษาระดับ
หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) หรือระดับมัธยมศึกษาตอนปลายสายสามัญ เพื่อผลิตและพัฒนา
กาลังคนระดับผู้ชานาญการเฉพาะสาขาอาชีพ
3. หลักสูตรประกาศนียบัตรครูเทคนิคชั้นสูง (ปทส.) เป็นหลักสูตรเทียบเท่าปริญญาตรีที่รับ
ผู้สาเร็จการศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) เป็นหลักสูตรที่มุ่งผลิตครูวิชาชีพ
4. หลั กสู ตรปริ ญญาตรีส ายเทคโนโลยีห รือสายปฏิบัติการ เป็นหลั กสู ตรที่รับผู้ ส าเร็จ
การศึกษาระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) เข้าศึกษาต่อเนื่อง และจบการศึกษาภายใน 2 ปี
5. หลักสูตรพัฒนาอาชีพเฉพาะทาง เป็นหลักสูตรจัดรองรับผู้มีพื้นความรู้ทุกระดับการศึกษา
มีระยะเวลาในการเรี ยน 6-225 ชั่วโมง และหลักสู ตร 108 อาชีพ เปิดการสอนตามวาระโอกาสต่างๆ
มีระยะเวลาในการเรียน 1-4 ชั่วโมง
205
รวมทั้งสิ้น (คน)
หลักสูตร/ประเภทวิชา/สังกัดชั้น
รวม ชาย หญิง
2. สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 147,137 29,341 117,796
ค. ศิลปหัตถกรรม/ศิลปกรรม 13,862 8,378 5,484
1. สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สานักงานคณะกรรมการ 3,276 2,312 964
ส่งเสริมการศึกษาเอกชน) 10,586 6,066 4,520
2. สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
ง. คหกรรม 14,720 4,322 10,398
1. สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สานักงานคณะกรรมการ 446 185 261
ส่งเสริมการศึกษาเอกชน)
1.1 ประเภทอาชีวศึกษาทั่วไป 388 162 226
1.2 ประเภทอาชีวศึกษากุศล 58 23 35
2. สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 14,274 4,137 10,137
จ. เกษตรกรรม 14,880 10,012 4,868
1. สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สานักงานคณะกรรมการ 51 49 2
ส่งเสริมการศึกษาเอกชน)
1.1 ประเภทอาชีวศึกษาทั่วไป 42 41 1
1.2 ประเภทอาชีวศึกษากุศล 9 8 1
2. สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 14,829 9,963 4,866
ฉ. ประมง 544 402 142
1. สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 544 402 142
ช. เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร 569 453 116
1. สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สานักงานคณะกรรมการ - - -
ส่งเสริมการศึกษาเอกชน) - - -
1.1 ประเภทอาชีวศึกษาทั่วไป - - -
1.2 ประเภทอาชีวศึกษากุศล - - -
2. สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 569 453 116
ซ. อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว 20,997 5,188
1. สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สานักงานคณะกรรมการ
ส่งเสริมการศึกษาเอกชน) 6,914 1,858
2. สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 14,093 3,330
ฌ. อุตสาหกรรมสิ่งทอ 184 - 184
1. สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ (สานักงานคณะกรรมการ - - -
207
รวมทั้งสิ้น (คน)
หลักสูตร/ประเภทวิชา/สังกัดชั้น
รวม ชาย หญิง
ส่งเสริมการศึกษาเอกชน)
2. สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา 184 - 184
ญ. ส่านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน 4,090 1,610 2,480
ฎ. ส่านักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา 6,555 4,224 2,331
1. General Programmes - - -
2. การศึกษา - - -
3. มนุษยศาสตร์และศิลปะ - - -
4. สังคมศาสตร์ บริหารธุรกิจ และกฎหมาย 1,241 499 742
5. วิทยาศาสตร์ 1,830 1,522 308
6. วิศวกรรม - - -
7. เกษตรศาสตร์ - - -
8. สุขภาพและสวัสดิการ - - -
9. บริการ - - -
10. มาระบุกลุ่มสาขาวิชา 3,484 2,203 1,281
หมายเหตุ: ข้อมูลของสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานในระดับ ปวช. ไม่สามารถจาแนกข้อมูล
ออกเป็นหลักสูตร/ประเภทวิชา
บุคลากร ในสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษาประกอบด้ วย ข้าราชการพลเรือนใน
ส่วนกลาง ข้าราชการพลเรือนในสถานศึกษา (บุคลากรทางการศึกษา) และข้าราชการครู ข้อมูล ณ วันที่ 26
กันยายน 2555 รายละเอียดดังนี้
2.1 ข้าราชการพลเรือนในส่วนกลาง จานวน 348 คน
2.2 ข้าราชการพลเรือนในสถานศึกษา (บุคลากรทางการศึกษา) จานวน 279 คน
2.3 ข้าราชการครู (คศ.) จานวน 16,828 คน
จานวนบุคลากรในสังกัดสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา จานวน 17,455 คน
208
6) กรุงเทพมหานครและองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น
ในปี พ.ศ. 2556 กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย ได้จัดทารายงานการ
วิเคราะห์ผลการประเมินคุณภาพการศึกษาภายในสถานศึกษาสังกัดองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ปีการศึกษา
2556 (กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น , 2557) พบว่า องค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การบริหารส่วนตาบล
เทศบาล และเมืองพัทยาที่มีกองการศึกษา และมีสถานศึกษาในสังกัดทั้งสิ้น 673 แห่ง แบ่งเป็นองค์การบริหาร
ส่วนจังหวัด 54 แห่ง องค์การบริหารส่วนตาบล 118 แห่ง เทศบาลนคร 29 แห่ง เทศบาลเมือง 135 แห่ง
210
5.2 การศึกษาความต้องการในการใช้ครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ในแต่ละสังกัดมีการสารวจความต้องการของครูในระยะสั้ นและระยะยาวไว้ อาทิ ก.ค.ศ. ยังเห็นถึง
ความสาคัญในการเตรียมครูรุ่นใหม่เพื่อทดแทนครูที่ขาดแคลนจนถึงปี พ.ศ.2570 ซึ่งได้มีการสารวจไว้ว่า จะมี
จานวนข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา สายงานการสอนที่ครบเกษียณอายุราชการใน 15 ปี ระหว่าง
ปีพ.ศ. 2556-2570 จะมีครูเกษียณทั้งสิ้น 288,233 คน ดังนี้
5.3 ข้อเสนอเชิงนโยบายด้านการใช้ครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน
การศึกษาวิจัยครั้งนี้ นอกเหนือจากผลในเชิงปริมาณแล้วยังมีผลการศึกษาจากการประชุมสนทนากลุ่ม
ผู้ ท รงคุ ณ วุ ฒิ เ รื่ อ งการศึ ก ษาสภาพปั ญ หาของการใช้ ค รู ซึ่ ง จะน ามาวิ เ คราะห์ เ ป็ น ข้ อ เสนอเชิ ง นโยบาย
การประชุมสนทนากลุ่มดังกล่าว ประกอบด้ว ยบุคคลจากหลายหน่ว ยงาน ผู้แทนจากหน่ว ยงานการศึกษา
ภายในกระทรวงศึกษาธิการ และโดยมากเป็นผู้อานวยการโรงเรียนทั้ง 6 สังกัด สภาพปัญหาการใช้ครูมีด้วยกัน
หลายประการ จาเป็นที่จะต้องได้รับการแก้ไขทั้งในระยะสั้นและระยะยาว กลุ่มผู้ร่วมประชุมสนทนาแต่ละ
สังกัดมีข้อเสนอเพื่อให้ดาเนินการแก้ไข ดังนี้
1) ความคิดเห็นของครูในสังกัดส่านักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ปัญหาของการใช้นั้น สืบเนื่องมาจากกระบวนการผลิตที่ความเข้มข้นน้อยมาก โดยเฉพาะในเชิงจิต
วิญญาณความเป็นครู รวมทั้งการทางานร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะครูรุ่นเก่าที่มีทักษะในการสอนมากกว่า ส่งผล
ให้ผู้ที่ได้รับการคัดเลือกมาขาดคุณภาพ จรรยาบรรณความเป็นครู ระยะเวลาในการบรรจุแต่งตั้ง การเกษียณ
และการโอนย้ายไม่สอดคล้องกับภาคการศึกษา ทาให้โรงเรียนขาดครูในบางช่วงเวลา ควรมีการติดตามพัฒนา
บัณฑิต ดังเช่นมหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ที่ติดตามการทางานของบัณฑิตที่จบแล้วของตนเอง ทั้งในแง่การ
ดูแล การศึกษาวิจัย การลงดูการสอนจริงในโรงเรียน แตกต่างจาก สพฐ. ไม่มีแผนการพัฒนาที่ชัดเจนว่าในแต่
ละปีครูต้องได้รับการพัฒนาหรือเข้าร่วมอบรมเรื่องใดบ้าง ครูบางส่วนไม่ได้รับการพัฒนาอย่างเหมาะสม และ
บางครั้งจัดอบรมในช่วงเวลาเปิดภาคเรียน หรือการขอความร่วมมือจากสถานศึกษาให้ครูไปดาเนินงานการ
สนั บ สนุ น ชุ ม ชนต่ า งๆ ท าให้ เ กิ ด ปั ญ หาห้ อ งเรี ย นว่ า ง อุ ป สรรคอี ก ประการส าหรั บ การท างาน คื อ แต่ ล ะ
หน่วยงานภายนอกโรงเรียนไม่ประสานการทางานร่วมกัน
ปัญหาดังกล่าว ควรได้รับการแก้ไขอย่างรวดเร็ว อาทิ การกาหนดให้การเกษียณอายุราชการของครู
หรือการบรรจุ โอน ย้าย เป็นวันที่ 31 มีนาคม ของทุกปีพร้อมทั้งมีการวางแผนอัตรากาลังที่ต้องการล่วงหน้า
อย่างชัดเจน เพื่อให้สอดคล้องกับภาคการศึกษา ให้โรงเรียนมีโอกาสเลือกครูตามความต้องการ โดยครูในบาง
สาขาอาจมีการสอบแบบพิเศษ เช่นครูระดับปฐมวัย ควรมีการสัมภาษณ์เพื่อตรวจสอบทัศนคติมากกว่าการวัด
จากคะแนนการสอน และควรปรับปรุงหลักการของการขอวิทยฐานะ เพราะบางวิชาอาจมีผลงานในลักษณะ
อื่นนอกเหนือจากงานวิจัย
2) ครูในสังกัดส่านักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย
เนื่องด้วยการจัดการศึกษาของการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยมีลักษณะเฉพาะที่มิได้
เป็ น การเรี ย นรู้ จ ากเอกสาร ปั ญหาใหญ่คือ การประเมิน ผลจากหน่ว ยงานภายนอก เนื่ องจากมัก เป็นการ
216
สร้างแรงจูงใจในการปฏิบัติงานของครู โดย
- จัดระบบเงินเดือน และค่าตอบแทนในการปฏิบัติงานของครูอย่างเหมาะสมกับสภาวะ
ทางเศรษฐกิจ และสภาพพื้นที่ เพื่อลดปัญหาจากการโยกย้าย และโอนข้ามสังกัด
- กาหนดเส้นทางความก้าวหน้าทางวิชาชีพของครูอย่างชัดเจน
- ปรับปรุงระบบการได้รับวิทยฐานะและเงินวิทยพัฒน์ให้มีความเชื่อมโยงกับมาตรฐาน
วิชาชีพและคุณภาพของนักเรียน
- จัดระบบสวัสดิการให้มีประสิทธิภาพ เสริมสร้างวินัยทางการเงินให้ครูสามารถดารงตนอยู่
ได้อย่างมีศักดิ์ศรี
สรุปได้ว่า ในด้านขวัญและกาลังใจนี้ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีหน้าที่ ดูแลครูทุกขั้นตอนตั้งแต่การบรรจุ
แต่งตั้ง การให้วิทยฐานะ รวมทั้งการดูแลหลังจากเกษียณอายุราชการ ในประเด็นดังกล่าวเชื่อมโยงไปยังส่วน
อื่นๆที่เกี่ยวกับครู สาหรับข้าราชการจะมีระบบการให้วิทยฐานะและเลื่อนขั้นเงินเดือนเป็นระบบที่ชัดเจนแล้ว
แต่สาหรับโรงเรียนเอกชนนั้น มิได้มีระบบสวัสดิการที่ดีเช่นเดียวกับข้าราชการ โรงเรียนส่วนมากจึงมีการให้
ค่าตอบแทนพิเศษ (โบนัส) และจัดตั้งกองทุนครูเพื่อดูแลครูที่ยังทางานและเมื่อหลังเกษียณ
คณะผู้ วิ จั ย เห็ น ว่ า จ าเป็ น ต้ อ งมี ม าตรการที่ ต อบสนองความต้ อ งการของครู ที่ แ ท้ จ ริ ง เช่ น ให้ มี
สวัสดิการทั้งขณะทางานและหลังเกษียณอายุราชการเพื่อเป็นการจูงใจไม่ให้ครูลาออกหรือโอนย้าย ในทานอง
เดีย วกัน ครู ส ถานศึกษาเอกชนอาจได้รับ สวัส ดิการขณะทางานหากทางานได้ดี แต่ไม่ได้ รับสวัสดิการหลั ง
เกษียณอายุการทางานจึงไม่จูงใจครูให้ทางานในสถานศึกษาเอกชนและมักจะลาออกมาบรรจุเข้ารับราชการ
ความก้าวหน้าในวิชาชีพ เสนอให้พิจารณาทบทวนระบบการประเมินผลงานเพื่อเลื่อนตาแหน่ง วิทยฐานะ
เนื่องจากเห็นว่าไม่ควรเหมือนกันหมดสาหรับครูทุกสังกัด ควรให้มีก ารประเมินที่แตกต่างกันตามลักษณะงาน
รวมทั้งเห็ นว่าครู สพฐ. ส่วนมากมีปัญหาการเขียนผลงานวิชาการที่เพราะไม่มีความถนัดในการทาผลงาน
รูปแบบของงานวิจัยและพัฒนาแต่ถนัดที่จะทางานในพื้นที่ปฏิบัติงานได้แก่ โรงเรียนและเขตพื้นที่มากกว่า
การปฏิบัติงานในเรื่องการปฏิบัติงานนี้จะเริ่มตั้งแต่บรรจุแต่งตั้งเข้าทางาน รวมถึงการส่งเสริมให้ครูมี
โอกาสทางานได้อย่างเต็มที่ มีรายละเอียดดังนี้
1. การพัฒนาระบบการฝึกปฏิบัติงานของครู
- จัดให้มีครูพี่เลี้ยงที่มีความสามารถในการสอน สาหรับแนะนา ช่วยเหลือครูบรรจุใหม่
เพื่อให้ครูบรรจุใหม่สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมของสถานศึกษา ตลอดจนมีตัว
แบบดีๆ ในเรื่องจิตวิญญาณความเป็นครู
- ปรับระบบการประเมิน การทดลองการปฏิบัติการสอนของครูให้มีความเที่ยงตรง เชื่อมั่น
เกณฑ์การประเมินต้องสอดคล้องกับมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณครู
2. ส่งเสริมให้ครูสามารถปฏิบัติงานสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
221
การติดตามประเมินผลการปฏิบัติงาน
เป้ า หมายของการติ ด ตามประเมิ น ผลการปฏิ บั ติ ง านคื อ การน าไปสู่ ก ารพั ฒ นาครู ต่ อ ไป ฉะนั้ น
การพัฒนาระบบการติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานของครูจึงมีความสาคัญ คณะผู้วิจัยมีความเห็นว่าควรมี
แนวทางดังนี้
- กาหนดภาพความสาเร็จ ตัวชี้วัด และเกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติงานของครูให้ชัดเจน
222
- ติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานของครูอย่างต่อเนื่อง
- นาผลการติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานของครู มาใช้ประโยชน์ในการพัฒนาการ
เรียนการสอนและเชื่อมโยงกับระบบการสร้างแรงจูงใจ
ความสาคัญของการติดตามประเมินผลการปฏิบัติงานนี้ นอกจากเป็นการประเมินผลการปฏิบัติงาน
ของครู เพื่อผลต่อการพัฒนาครูทั้งในแต่ละสังกัดและในภาพรวมอีกด้วย การติดตามควรทาอย่างเป็นระบบโดย
กาหนดเป้าหมายของความสาเร็จร่วมกันเพื่อแสวงหาแนวทางการพัฒนาที่จะสามารถปฏิบัติให้เกิดผลขึ้นได้จริง
ต่อไป
บทที่ 6
ผลการศึกษาการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
6.1 ผลการศึกษาสภาพและปัญหาการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
สภาพการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการพัฒนาหลายหน่วยงาน ดังนี้
1) สถาบันพัฒนาครู คณาจารย์และบุคลากรทางการศึกษา สานักงานปลัดกระทรวง
ศึกษาธิการ
สถาบันพัฒนาและส่งเสริมครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา (สคบศ.) เป็นหน่วยงาน
กลาง ทาหน้าที่บริหารการพัฒนาและส่งเสริม โดยประสานการดาเนินงานกับสถาบันที่ทาหน้าที่ผลิตและ
พัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา เพื่อส่งเสริมสนับสนุนและดาเนินการให้ครู คณาจารย์ และ
บุคลากรทางการศึกษาได้รับการพัฒนา ส่งเสริม และยกย่องเชิดชูเกียรติในวิชาชีพอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ
รวมทั้ ง เป็ น การเสริ ม สร้ า งประสิ ท ธิ ภ าพในการใช้ ง บประมาณเพื่ อ การพั ฒ นาทรั พ ยากรมนุ ษ ย์ อ ย่ า งมี
ประสิทธิภาพ โดยมีวัตถุประสงค์ ดังนี้
ก. เพื่อสร้างเอกภาพและส่งเสริมมาตรฐานในการพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการ
ศึกษา
ข. เพื่อเป็นศูนย์กลางประสานงานกับองค์กรที่เกี่ยวข้องและสถาบันทรัพยากรมนุษย์ด้าน
ต่างๆ ในการพัฒนาและส่งเสริมครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา
ค. เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีและสื่ อการฝึ กอบรมครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา
ผู้บริหารสถานศึกษา ผู้บริหารการศึกษา สถาบันการศึกษาที่ผลิตครู และบุคลากรทางการศึกษา
ง. เพื่ อ ยกย่ อ งเชิ ด ชู เ กี ย รติ ค รู คณาจารย์ และบุ ค ลากรทางการศึ ก ษา ค้ น คว้ า วิ จั ย
การสร้างสรรค์นวัตกรรมและผลงานต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการเรียนการสอนและวงการวิชาชีพ
จ. เพื่อรับผิดชอบในการระดมทรัพยากรและการบริหารกองทุนพัฒนาและกองทุนส่งเสริมครู
คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา
สคบศ. สรุปสภาพปัญหาการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาไว้ดังนี้
(1) การพัฒนาไม่ทั่วถึง
(2) การพัฒนาไม่ตรงความต้องการของครู
(3) การพัฒนาไม่ส่งผลถึงผู้เรียน
(4) การพัฒนาครูทาให้ครูต้องละทิ้งห้องเรียน
(5) การพัฒนาไม่เชื่อมโยงกับการเลื่อนวิทยฐานะและการพิจารณาความดีความชอบและการ
ปฏิบัติงานครู
224
ฉ. ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนับสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่
ได้รับมอบหมาย
ที่ผ่านมาสานักพัฒนาครูและบุคลากรการศึกษาขั้ นพื้นฐานได้จัดหลักสูตรและกิจกรรมเพื่อ
พั ฒ นาครู แ ละบุ ค ลากรการศึ ก ษาขั้ น พื้ น ฐาน เช่ น (ส านั ก พั ฒ นาครู แ ละบุ ค ลากรการศึ ก ษาขั้ น พื้ น ฐาน,
ออนไลน์)
- หลักสูตรการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาก่อนแต่งตั้งให้มีและเลื่อนเป็น
วิทยฐานะผู้อานวยการและรองผู้อานวยการชานาญการพิเศษ
- หลักสูตรการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาก่ อนแต่งตั้งให้มีและเลื่อนเป็น
วิทยฐานะครูชานาญการพิเศษ
- หลักสูตรการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาก่อนแต่งตั้งให้มีและเลื่อนเป็น
วิทยฐานะศึกษานิเทศก์เชี่ยวชาญ
- หลักสูตรการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาก่อนแต่งตั้งให้มีและเลื่อนเป็น
วิทยฐานะศึกษานิเทศก์ชานาญการพิเศษ
- หลักสูตรการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาก่อนแต่งตั้งให้มีและเลื่อนเป็น
วิทยฐานะผู้อานวยการและรองผู้อานวยการเชี่ยวชาญ
- หลักสูตรการพัฒนาข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษาก่อนแต่งตั้งให้มีและเลื่อนเป็น
วิทยฐานะครูเชี่ยวชาญ
- การพัฒนาครูประจาปี 2556 ตามโครงการพัฒนาครูโดยใช้กระบวนการสร้างระบบพี่เลี้ยง
coaching mentoring
- โครงการพัฒนาครูดีครูเก่ง (Master teacher) ประจาปี 2556
- โครงการสัมมนาผู้นาทางการศึกษาแห่งประเทศไทย พ.ศ.2557
- โครงการพัฒนาบุคลากรทางการศึกษาโดยใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ เป็นต้น
ทั้งนี้ ในบางกิจกรรมได้มีการรายงานจานวนผู้เข้าร่ว มการอบรม อาทิ การพัฒ นาครูและ
บุคลากรทางการศึกษา ด้านการวัดผลทางการศึกษา ระหว่างวันที่ 15 สิงหาคม-28 กันยายน 2557 ดังนี้
(สานักพัฒนาครูและบุคลากรการศึกษาขั้นพื้นฐาน, ออนไลน์)
227
รวมทั้งหมด 92 18,000
ภาคเหนือ 18 3,182
เชียงใหม่ 11 1,734
พิษณุโลก 7 1,448
ภาคกลาง 26 5,090
กรุงเทพมหานคร 26 5,090
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 31 6,768
นครราชสีมา 7 1,580
อุดรธานี 6 870
ขอนแก่น 7 1,423
นครพนม 4 953
อุบลราชธานี 7 1,762
ภาคใต้ 17 2,960
สงขลา 7 1,340
ภูเก็ต 3 526
นครศรีธรรมราช 7 1,094
ที่มา: สานักพัฒนาครูและบุคลากรการศึกษาขั้นพื้นฐาน, ออนไลน์
4) สานักพัฒนาสมรรถนะครูบุคลากรอาชีวศึกษา
สานั กพัฒนาสมรรถนะครูบุคลากรอาชีวศึกษา สานักงานคณะกรรมการการอาชีว ศึกษา
มีอานาจหน้าที่ดังนี้ (สานักพัฒนาสมรรถนะครูบุคลากรอาชีวศึกษา, ออนไลน์)
ก. จั ดทาและประเมิน มาตรฐานครูและบุคลากรการอาชีว ศึกษา พร้อมทั้งจัดทาข้อเสนอ
แผนการพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรการอาชีวศึกษา
ข. ติดตามและประเมินผลการพัฒนาสมรรถนะครูและบุคลากรการอาชีวศึกษา
ค. ดาเนิ น การฝึ กอบรมและพัฒ นาครูและบุ คลากรทางการศึกษา รวมทั้ งประสานความ
ร่วมมือกับภาครัฐและเอกชน ในการฝึกอบรมและพัฒนาครู บุคลากรการอาชีวศึกษา และครูฝึกในสถาน
ประกอบการด้านอาชีพ
228
ง. วิจัยและพัฒนาสื่อและเทคโนโลยีการอาชีวศึกษาและฝึกอบรมวิชาชีพ ผลิตและบริการ
เครื่ อ งจั ก รกลและเทคโนโลยี พั ฒ นาระบบเทคโนโลยี ส ารสนเทศเพื่ อ การเรี ยนการสอน เพื่อ เพิ่ม ขี ด
ความสามารถของ ครูและบุคลากรการอาชีวศึกษา
จ. สร้างและพัฒนารูป แบบการฝึกสมรรถนะของครูและบุคลากรทางการศึกษาและสร้าง
เครือข่ายการฝึกอบรมวิชาชีพให้กับครูและบุคลากรการอาชีวศึกษา
ฉ. ปฏิบัติงานร่วมกับหรือสนั บสนุนการปฏิบัติงานของหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องหรือที่ได้รับ
มอบหมาย
ที่ผ่านมาสานักพัฒนาสมรรถนะครูบุคลากรอาชีวศึกษา ได้จัดหลักสูตรและกิจกรรมเพื่อพัฒนาครูและ
บุคลากรการอาชีวศึกษา เช่น (สานักพัฒนาสมรรถนะครูบุคลากรอาชีวศึกษา, ออนไลน์)
- การพัฒนาหลักสูตรวิทยฐานะเชี่ยวชาญสาหรับผู้บริหารสถานศึกษา
- การประชุมสัมมนาผู้บ ริห ารสถานศึกษาสังกัดส านักงานคณะกรรมการการอาชีว ศึกษา
ครั้งที่ 2 ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2558 เป็นต้น
5) สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐานได้มอบหมายให้คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย ดาเนินโครงการพัฒนาครูกลุ่มสาระการเรียนรู้ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา การศึกษา
ปฐมวัย การศึกษาพิเศษ บรรณารั กษ์ และแนะแนว สังกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ปีงบประมาณ 2555 พบว่า ในปีงบประมาณ 2555 ได้จัดอบรมเชิงปฏิบัติการหลักสูตรสมรรถนะระดับต้น 9
กลุ่มวิชา 11 หลักสูตร เป็นเวลา 3 วัน มีครูเข้าอบรม 53,061 คน ผู้เข้ารับการอบรมส่วนใหญ่มีผลสัมฤทธิ์อยู่
ในระดับปานกลาง ผู้เข้ารับการอบรมมีความพึงพอใจต่อหลักสูตร การบริหารจัดการวิทยากรเห็นว่าได้รับ
ความรู้และประโยชน์อยู่ในระดับมาก
สานั กงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้ดาเนินโครงการพัฒ นาครูทั้งระบบเพื่อ
ยกระดับคุณภาพครู และผู้บริห ารสถานศึกษาระหว่างปีงบประมาณ 2553-2555 กิจกรรมการพัฒนาครู
ประกอบด้วย การฝึกอบรมครูและผู้บริหารสถานศึกษาโดยกลุ่มเครือข่ายสถาบันอุดมศึกษา การจัดทุนให้ครู
ระดับสูงได้ศึกษาต่อระดับปริญญาโทภาคนอกเวลาราชการในสาขาวิชาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ สังคมศึกษา
ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ และแนะแนวการศึกษา กิจกรรมต่อมาคือ การยกระดับคุณภาพผู้บริหารสถานศึกษา
ครู และบุคลากรทางการศึกษา ให้ความรู้เสริมด้วยระบบ e-training และกิจกรรมการพัฒนาผู้บริหารและครู
ทุกคนโดยการแลกเปลี่ยนเรียนรู้ในกลุ่มเครือข่ายส่งเสริมประสิทธิภาพการจัดการศึกษาระดับจังหวัดและศูนย์
พัฒนากลุ่มสาระการเรียนรู้เพื่อทราบประสิทธิผลของโครงการพัฒนาครูทั้งระบบในปีงบประมาณ 2555 สพฐ.
ได้มอบหมายให้มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชเป็นผู้ดาเนินการประเมิน ซึ่งผลปรากฏว่ามีประสิทธิผลพอใช้
(คะแนน 3.50) มีประสิทธิภาพในการดาเนินงานอยู่ในระดับดี (คะแนน 4.00) คุณภาพการพัฒนาครูอยู่ใน
ระดับดี (คะแนน 4.00) และการพัฒนาองค์กรอยู่ในระดับดี (คะแนน 4.00) ผู้ประเมินเสนอแนะว่า ควรพัฒนา
229
ครูตามภาระงาน/ตามความสนใจโดยการฝึกปฏิบัติจริง จัดอบรมโยงแบ่งตามเขตพื้นที่การศึกษาและอบรม
ระบบ e-training
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ได้มอบหมายให้สถาบันวิจัยและพัฒนาคุณภาพ
(สวพ.) ส านั ก มาตรฐานและประเมิน คุ ณภาพการศึ กษา (องค์ กรมหาชน) ดาเนิ นการศึก ษาแนวทางการ
ดาเนิ น งานโครงการผลวิเคราะห์ และประมวลผลการดาเนินงานจากรายงานการประเมินผลสั มฤทธิ์ของ
สถาบันอุดมศึกษา ทุกหน่วยที่พัฒนาหลักสูตรและฝึกอบรมผู้บ ริหารสถานศึกษาและครูพบว่า ในภาพรวมการ
ฝึกอบรมครูโดยกลุ่มเครือข่ายคณะครุศาสตร์และ สพฐ. รับผิดชอบมีความก้าวหน้าไปตามแผนงาน ส่วนที่ยังไม่
ก้าวหน้ามากนักคือ การพัฒนาครูแกนนาในสาขาวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ และวิชาอื่นๆ ที่กลุ่มเครือข่ายคณะ
วิทยาศาสตร์รับผิดชอบดาเนินการซึ่ง สพฐ. ต้องเร่งประสานงานต่อไป ส่วนในการพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษา
ทุกคนโดยมีคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นผู้จัดทาหลักสูตรพัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาจัดอบรม
วิทยากรในระดับภูมิภาคและรับผิดชอบอบรมในภาคกลาง
ปัญหาการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานมีปัญหาเชิงระบบที่สาคัญ คือ การพัฒนาครูไม่ยึดสมรรถนะ
เน้นทฤษฎีมากกว่าปฏิบัติ ขาดนวัตกรรมการพัฒนาที่ส่งผลต่อการพัฒนาสู่มืออาชีพ ไม่มีระบบการพัฒนาครู
ใหม่โดยเฉพาะครูผู้ช่วย ขาดระบบเชื่อมโยงระหว่างสานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา คุรุสภา สานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สานักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและต้นสังกัดอื่น อีกทั้งปัญหาของ
การพัฒนาครูสืบเนื่องมาจากการผลิครูไม่ตรงกับความต้องการทั้งปริมาณและคุณภาพ การใช้ครูไม่ได้แยกครู
รายวิชาและครูประจาชั้น ที่สาคัญยิ่งสถานศึกษาไม่มีความเป็นนิติบุคคลที่แท้จริงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย
กล่ าวคือ สถานศึกษาไม่มีบ ทบาทอานานหน้าที่ในการคัดครู รายละเอียดของสภาพปัญหาการพัฒ นาครู
การศึกษาขั้นพื้นฐานแสดงในแผนภูมิที่ 6.1
6) สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ
สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการทาการวิจัยเพื่อศึกษาระบบการพัฒนาวิชาชีพครูของ
ต่างประเทศและได้นาเสนอข้อมูลต่อ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ (นายจาตุรนต์ ฉายแสง) ในการ
ประชุมเชิงปฏิบัติการปฏิรูประบบการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษาเมื่อวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน
2556 สรุปสาระสาคัญของการพัฒนาครูของประเทศต่างๆ เช่น (ไทยรัฐ, ออนไลน์, 25 พฤศจิกายน 2556)
- รับสมัครผู้มีคุณภาพสูง โดยจะต้องมีห ลั กประกันเงินเดือนสู ง มีเงินอุดหนุนส าหรับ
ฝึกอบรม รวมทั้งมีการออกแบบหลักสูตรและเตรียมความพร้อมเพื่อพัฒนาคุณภาพครู
สามัญในรูปแบบเดียวกัน: ประเทศฟินแลนด์ สิงคโปร์
- ผสานภาคทฤษฎีกับภาคปฏิบัติ โดยการกาหนดงานประจาหลักสูตรและบูรณาการแบบ
คลินิก คือ วินิจฉัยและแก้ไขข้อผิดพลาด รวมทั้งมีการสร้างแบบจาลองใหม่ๆ : ประเทศ
ฟินแลนด์ เนเธอร์แลนด์ บางแห่งในสหรัฐอเมริกา
230
ดาเนินการอย่างเป็นรูปธรรมโดยด่วน นอกจากนี้สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษายังมีบทบาทในการติดตาม
และประเมินผลการจัดการศึกษาตามนโยบายการจัดการศึกษาของรัฐซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลิต การใช้
และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน เช่นในปี 2556 พบว่าครูและผู้บริหารเห็นด้วยการใช้คูปองการพัฒนา
ครูเพื่อพัฒนาครูให้สอดคล้องกับความต้องการครูและสถานศึกษา
สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการได้วิจัยและพัฒนารูปแบบการพัฒนา
ครูแบะผู้บริหารสถานศึกษาเพื่อปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งโรงเรียน ซึ่งพบว่ามี 3 รูปแบบ คือ (1) รูปแบบการพัฒนา
ครูและผู้บริหารสถานศึกษาโดยใช้กระบวนการจัดการความรู้ โดยเน้นการพัฒนาครูและผู้บริหารสถานศึกษาที่
สถานศึกษา (School-based Training) 2) รูปแบบการพัฒนาครูโดยการพัฒนาที่สถานศึกษาเป็นหลักผูกกับ
การพัฒนาและปฏิบัติงาน ประกอบกับการใช้การวิจัยในการปฏิบัติ งานแบบต่อเนื่อง และ (3) รูปแบบการ
พัฒนาผู้บริหารสถานศึกษาที่สถานศึกษาโดยการพัฒนาการปฏิบัติงาน ส่งเสริมให้ใช้การวิจัยปฏิบัติการอย่าง
ต่อเนื่องและใช้วงจร PDCA ในการปฏิบัติงานทุกด้านของโรงเรียนเพื่อปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งโรงเรียน เน้นการ
บริ ห ารแบบมีส่ ว นร่ ว มจากทุ ก ภาคส่ ว น ให้ มีก ารสั ม มนา การศึก ษาดูง าน อบรมปฏิ บัติ การ และประชุ ม
แลกเปลี่ยนเรียนรู้การปฏิรูปการเรียนรู้ทั้งโรงเรียนของผู้บริหารสถานศึกษาที่ตรงกับความต้องการจาเป็นใน
การปฏิรูปการเรียนรู้ของโรงเรียน
9) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.)
สถาบั น ส่ งเสริ มการสอนวิ ทยาศาสตร์แ ละเทคโนโลยี (สสวท.) ได้ด าเนินการผลิ ตครูที่ มี
ความสามารถพิเศษด้านวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ (สควค.) ตั้งปี พ.ศ.2539 จนถึงปัจจุบัน มีผู้สาเร็จและ
บรรจุเข้ารับราชการครูในสังกัดต่างๆ เป็นจานวนมาก และด้วยเห็นถึงความสาคัญที่จะพัฒนาเพิ่มพู นทักษะ
ความสามารถของครู สควค. สสวท.ได้จัดทาโครงการยกระดับคุณภาพการศึกษาด้วยการพัฒนาเสริมสร้าง
ความเป็นครูผู้นาการเปลี่ยนแปลงเพื่อเป็นผู้นาทางการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์สาหรับครุ สควค. ซึ่ง
เป็นโครงการ 5 ปี (2553-2557) โดยหวังผลผลิต ได้แก่ ผู้เชี่ยวชาญ 120 คน ครูที่เข้าร่วมโครงการ 950 คน
ประกอบด้วยครูพี่เลี้ยงวิชาการวิทยาศาสตร์ 150 คน ครูพี่เลี้ยงวิชาการคณิตศาสตร์ 100 คน ครูผู้นา
คณิตศาสตร์ 250 คน เป็นครู สควค. จานวน 150 คน ครูผู้นาวิทยาศาสตร์ 450 คน เป็นครู สควค. จานวน
180 คน หลักสูตรพัฒนาครูผู้นาการเปลี่ยนแปลงมี 3 หลักสูตร ได้แก่ หลักสูตรการอบรมเชิงปฏิบัติการจัดการ
เรียนการสอนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ที่เหมาะสมกับเนื้อหาตามมาตรฐานหลักสูตร หลักสูตรการอบรม
ปฏิบัติการจัดการเรียนการสอนวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ตามมาตรฐานและตัวชี้วัดที่มีประสิทธิผลสูงสุด
และหลักสูตรวิจัยในชั้นเรียน หลักสูตรสาหรับพัฒนาครูพี่เลี้ยงวิชาการเพิ่มขึ้นอีก 2 หลักสูตร คือ หลักสูตรการ
เป็นพี่เลี้ยงทางวิชาการขั้นพื้นฐานและขั้นก้าวหน้า นอกจากนี้ยังมีหลักสูตรเตรียมความพร้อมผู้เชี่ยวชาญ อีก
ทั้งมีหลักสูตรผู้บริหารกับความเป็นผู้นาด้านวิชาการในโรงเรียนสาหรับผู้บริหารโรงเรียนร่วมโครงการ
สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ได้มอบหมายให้มูลนิธิสถาบันวิจัยและ
พัฒนาคุณภาพดาเนินการประเมินโครงการพัฒนาศักยภาพครูเพื่อเป็นผู้นาการเปลี่ยนแปลงการเรียนการสอน
วิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ปีงบประมาณ 2554-2556 พบว่าการดาเนินโครงการมีประสิทธิภาพอยู่ใน
234
(3) พัฒนาการจัดการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัยให้เยาวชนและประชาชน
ในท้องถิ่นได้เรียนรู้ตลอดชีวิต สู่ความเป้นเลิศตามอัจฉริยภาพและสามารถนาความเป็นเลิศนั้นไปประกอบ
สัมมาชีพได้
(4) พัฒนาคุณธรรม จริยธรรมให้แก่เด็ก เยาวชน และประชาชนในท้องถิ่น
(5) เสริมสร้างสังคมท้องถิ่นให้มีความสมานฉันท์ อยู่ร่วมกันด้วยความปรองดอง เกิดสันติสุข
อย่างยั่งยืน
(6) ส่งเสริม สนับสนุนการจัดการศึกษาเพื่อรองรับการท่องเที่ยวให้แก่เด็ก เยาวชน และ
ประชาชนในท้องถิ่นที่มีแหล่งท่องเที่ยว
ทั้ ง นี้ การพั ฒ นาครู ที่ ป ฏิ บั ติ ง านในสถานศึ ก ษาสั ง กั ด องค์ ก รปกครองส่ ว นท้ อ งถิ่ น ส่ ว นวิ ช าการ
มาตรฐานการศึกษาท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย จะเป็นผู้จัดการอบรมโดยเน้นการพัฒนาความรู้ทักษะตาม 8
กลุ่มสาระวิชาของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้ นฐาน โดยในการจัดโครงการพัฒนาครู จะพิจารณาเลือกหัวข้อการ
อบรมจากผลการประเมินตนเอง (SAR) ซึ่งเป็นการประกันคุณภาพภายในและพิจารณาผลการประเมิน
ภายนอก (สมศ.) โดยจะเลือกตัวชี้วัดที่มีคะแนนต่าเป็นหลัก ที่ผ่านมามีอาทิ กลุ่ม STEM วิทยาศาสตร์ ไทย
อังกฤษ และคณิตศาสตร์ นอกจากนี้ยังได้จัดอบรมครูตามนโยบายรัฐบาล เช่น ค่านิยม 12 ประการ วิชาหน้าที่
พลเมือง เป็นต้น สาหรับผู้ที่จะเข้ารับการอบรม ทางสถานศึกษาจะเป็นผู้คัดเลือกส่งมาอบรม
ปัญหาการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานจากการศึกษาเอกสารและการสนทนากลุ่มพบว่ามีปัญหาเชิง
ระบบที่สาคัญ คือ การพัฒนาครูไม่ยึดสมรรถนะ เน้นทฤษฎีมากกว่าปฏิบัติ ขาดนวัตกรรมการพัฒนาที่ส่งผล
ต่อการพัฒนาสู่มืออาชีพ ไม่มีระบบการพัฒนาครูใหม่โดยเฉพาะครูผู้ช่วย ขาดระบบเชื่อมโยงระหว่างสานักงาน
คณะกรรมการการอุดมศึกษา ครุสภา สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน สานักงานคณะกรรมการ
ข้าราชการครู และต้น สั งกัดอื่น อีกทั้งปั ญหาของการพัฒ นาครูสื บเนื่องมาจากการผลิ ตครูไม่ตรงกับความ
ต้องการทั้งปริมาณและคุณภาพ การใช้ครูไม่ตรงวุฒิ การใช้ครูไม่ได้แยกครูรายวิชาและครูประจาชั้น ที่สาคัญ
ยิ่ง คือ การที่สถานศึกษาไม่มีความเป็นนิติบุคคลที่แท้จริงตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย กล่าวคือ สถานศึกษา
ไม่มีบทบาทอานาจหน้าที่ในการสรรหาครู รายละเอียดของสภาพปัญหาการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
แสดงในแผนภูมิที่ 6.1
236
วิทยฐานะไม่สอดคล้อง
กับสมรรถนะครู
ปัญหาเชิงระบบ การประเมินวิทยาฐานะ ครูก่อนเกษียณอายุราชการ
การพัฒนาครูไม่ยึดสมรรถนะ ไม่เชื่อมโยงกับผลลัพธ์ของผู้เรียน
เป็นการอบรมเป็นครั้งคราว ขาดความต่อเนื่อง ไม่มีนวัตกรรมใหม่ ยังเน้นทฤษฎีมากกว่า
ไม่มีการเชื่อมโยงระหว่าง สกอ. คุรุสภา สพฐ. กคศ. ครูมืออาชีพ ปฏิบัติ ขาดระบบการนิเทศติดตาม
สมรรถนะครูที่กาหนดไม่ชัดเจน
มีครูเป็นจานวนน้อยที่ได้รับการพัฒนา พัฒนาครูไม่ตรงความต้องการของครู
การผลิตครูไม่สอดคล้องกับ ครูประจา และไม่สอดคล้องกับการพัฒนาการเรียนรู้ของผู้เรียน ดึงครูออกมาจาก
ความต้องการทั้งปริมาณและคุณภาพ
ห้องเรียน ขาดกองทุนเพื่อพัฒนาและส่งเสริมครู
การใช้ครูไม่แยกครูรายวิชาและครูประจาชั้น
ครูผู้ช่วย มีครูผู้ช่วย 2 ปี แต่ไม่มรี ะบบพัฒนาเช้าสู่วิชาชีพ (induction teacher education)
โดยเฉพาะความเป็นครูขาดการแนะนาสอนงาน เน้นการศึกษาต่อแต่ไม่ตรงสาขา
6.2 ความต้องการในการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ผลการสอบถามผู้เข้าร่วมสนทนากลุ่ม จานวน 33 คน เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2558 (ภาคผนวก ข)
พบว่าการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานเป็นเรื่องที่ มีความต้องการจาเป็นเป็นลาดับแรก (ดัชนีความต้องการ
จาเป็น (PNI) = 0.71) รองลงมา คือ ความต้องการจาเป็นในการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน (PNI = 0.60)
และความต้องการจาเป็นในการใช้ครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน (PNI = 0.54)
เมือ่ พิจารณาความต้องการจาเป็นด้านการพัฒนาครูเป็นรายข้อ แสดงในตารางที่ 6.2
6.3 ข้อเสนอแนะในการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
แนวคิดการพัฒนาครูระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานเพื่อตอบสนองความต้องการในอนาคต แสดงในแผนภูมิที่
6.2
สถานภาพครู
- ความรับผิดชอบ - เงินเดือน
- ภาวะเสรี - วิทยฐานะ
- ความรับผิดรับชอบ - เงินตาแหน่ง
- สมรรถนะครูเพื่อศิษย์ - สวัสดิการ
- การวิจัยครู - ผลประโยชน์ตอบแทนอื่น
- ผลงานตีพิมพ์ - เงินบาเหน็จบานาญ
- องค์การวิชาชีพ - การเป็นที่ยกย่องนับถือใน
- การจัดการแบบมีส่วนร่วม สังคม
- หุ้นส่วน
- ความไว้วางใจ
- ภาวะผู้นา
คณะกรรมการส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย สานักงานเลขาธิการคณะกรรมการการ
อาชีวศึกษา สานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน สานักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษา สถาบัน ส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี สภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์
สภาคณบดีคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ (กลุ่ม 16) สานักงานกรุงเทพมหานคร และกรมส่งเสริมการปกครอง
ท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย หลังจากนั้นผู้วิจัยนาข้อเสนอแนะที่ได้จากผู้ทรงคุณวุฒิมาปรับปรุง เป็นข้อเสนอเชิง
นโยบายด้านการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานที่สอดคล้องกับความต้องการในอนาคต
สรุปผลการวิจัย
7.1 สภาพและปัญหาการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
7.1.1 การผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
การปฏิรูปครูทั้งระบบเป็นเปูาหมายสาคัญประการหนึ่งของการปฏิรูปการศึกษา ดังปรากฏในรัฐธรรมนูญ
พุทธศักราช 2540 และ 2550 เมื่อมีการตราพระราชพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 จึงมีการบัญญัติ
เรื่ องครู คณาจารย์ และบุ คลากรทางการศึกษาไว้เป็น หมวดต่างหาก โดยมาตรา 52 กาหนดไว้ชัดเจนว่า ให้
กระทรวงศึกษาธิการส่งเสริมให้มีระบบ กระบวนการผลิต การพัฒนาครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาให้
มีคุณภาพและมาตรฐานที่เหมาะสมกับการเป็นวิชาชีพชั้นสูง โดยการกากับและประสานให้สถาบันที่ทาหน้าที่ผลิต
และพัฒนาครู คณาจารย์ รวมทั้งบุคลากรทางการศึกษาให้มีความพร้อมและมีความเข้มแข็งในการเตรียมบุ คลากร
ใหม่ แ ละการพั ฒ นาบุ ค ลากรประจ าการอย่ า งต่ อ เนื่ อ งรั ฐ พึ ง จั ด สรรงบประมาณและจั ด ตั้ ง กองทุ น พั ฒ นาครู
คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาอย่างเพียงพอ อย่างไรก็ตามจากการศึกษาเอกสารยังพบว่าที่ผ่านมาการผลิต
ครูไทยมีสภาพปัญหาสาคัญที่ส่งผลไปยังอนาคต 3 ประการ คือ 1) นโยบายการผลิตครูของรัฐ ที่ไม่มีความแน่นอน
มีการเปลี่ยนแปลงไปตามวาระการบริหารประเทศของคณะรัฐบาลแต่ละชุ ด 2) สถาบันการผลิตครูยังมีคนเก่งเข้า
เรียนครูจานวนน้อย และ 3) กระบวนการผลิตครูของสถาบันผลิตครูแต่ละแห่งคุณภาพไม่เท่ากัน ดังนี้ (สานักงาน
คณะกรรมการการอุดมศึกษา, 2557: 13-16 และวิชุดา กิจธรธรรมและคณะ, 2554)
สาหรับปัญหาด้านการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐานในด้านมาตรฐานหลักสูตร มาตรฐานการผลิต และ
มาตรฐานบัณฑิต สรุปได้ดังนี้
7.1.1.1 มาตรฐานหลักสูตร พระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ. 2542 ได้ก่อให้เกิดการปฏิรูปการ
ผลิตครู เมื่อมีการตราพระราชบัญญัติสภาครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2546 ซึ่งเป็นกฎหมายที่ออกตามนัย
ของกฎหมายแม่บทดังกล่าวเพื่อบัญญัติความเกี่ยวกับวิชาชีพทางการศึกษา จึงกาหนดให้วิชาชีพทางการศึกษา
ประกอบด้วยวิชาชีพครู วิชาชีพผู้บริ หารสถานศึกษา วิชาชีพผู้บริหารการศึกษา และวิชาชีพควบคุมอื่นตามที่
กาหนดในกฎกระทรวง เป็นวิชาชีพควบคุม โดยผู้ประกอบวิชาชีพดังกล่าวจะต้องได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
และมีมาตรฐานวิชาชีพและจรรยาบรรณของวิชาชีพ หากผู้ใดประกอบวิชาชีพทางการศึกษาโดยไม่มีใ บอนุญาต
248
4) การประกันคุณภาพการศึกษา ผลการวิจัยพบว่ามีความจาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องประเมินคุณภาพ
มาตรฐานของสถาบันผลิตครูเพื่อให้ได้มาตรฐานคุณภาพ แต่ปัจจุบันการตรวจสภาบันการศึกษาเพื่อรับประกัน
คุณภาพยังเน้นเอกสารมากเกินไป โดยเสนอว่าสานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (องค์การ
มหาชน) หรือ สมศ. ควรมีการทบทวนหลักเกณฑ์และวิธีการประกันคุณภาพการศึกษา และให้ใช้การประเมินเชิง
ประจักษ์แทนการประเมินทีเ่ น้นเอกสารซึ่งเป็นภาระของสถาบันผลิตครู รวมทั้งควรทบทวนระยะเวลาการประเมิน
หลักสูตรทีก่ าหนดให้ประเมินทุก 5 ปี แต่ในความเป็นจริง จะได้ประเมินเมื่อผู้เรียนอยู่ปี 4 ซึ่งยังไม่สาเร็จการศึกษา
จึงยังไม่สามารถประเมินหลักสูตรได้
7.1.1.3 มาตรฐานบัณฑิต ในเชิงปริมาณเมื่อพิจารณาจากตารางที่ 4.8 และ 4.9 พบว่าผู้สาเร็จการศึกษา
พบว่าระหว่างปีการศึกษา 2551- 2555 มีจานวนผู้สาเร็จการศึกษาไม่มากนักเมื่อเทียบกับจานวนรับนักศึกษาใหม่
ในแต่ละปีการศึกษา โดยมี ผู้ที่สาเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยราชภัฏมากที่สุด รองลงมามหาวิ ทยาลัยของรัฐ
และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ส่วนสาขาวิชาที่คาดว่านักศึกษาคณะครุศาสตร์ /ศึกษาศาสตร์ จะสาเร็จ
การศึ ก ษา 5 อั น ดั บ สู ง สุ ด จาก 50 กลุ่ ม สาขาวิ ช า ตั้ ง แต่ ปี 2556-2560 คื อ การศึ ก ษาปฐมวั ย พลศึ ก ษา
ภาษาอังกฤษ สังคมศึกษา คณิตศาสตร์ (ภาพที่ 4.2) ในด้านคุณภาพ ส่วนที่เกี่ยวกับความรู้ การปฏิบัติการสอน
การปฏิบัติตน และการพัฒนาคุณลักษณะความเป็นครู ผลการประชุมสนทนากลุ่มเห็นว่าคุณภาพบัณฑิตยังมี
ปัญหาอยู่กระบวนการเรียนการสอนไม่ได้เน้นความเป็นครู และเทคนิควิธีการสอนส่งผลให้นิสิตนักศึกษาสาเร็จ
การศึกษาออกไปเป็นครูที่ขาดเรื่องทักษะ วิธีการ และจิตวิญญาณความเป็นครู กิจกรรมพัฒนาคุณลักษณะความ
เป็ น ครู ไ ม่ เ หมาะสม สถาบั น ผลิ ต ครู ยั ง ไม่ ไ ด้ ท าหน้ า ที่ อ ย่ า งดี ที่ สุ ด ในด้ า นการนิ เ ทศประสบการณ์ วิ ช าชี พ ครู
การคัดเลือกครูพี่เลี้ยงไม่ได้ทาอย่างรัดกุม ส่งผลให้นิสิตนักศึกษาทีเ่ ลือกเข้ามาศึกษาในสถาบันผลิตครูเพราะมีความ
อยากเป็นครูส่วนหนึ่งกลับไม่ประสงค์ที่จะประกอบวิชาชีพครูเมื่อสาเร็จการศึกษา จึงมีการเสนอให้เน้นการพัฒนา
คุณลักษณะความเป็นครู และมีข้อเสนอให้สถาบันผลิตครูปรับบทบาทโดยให้การฝึกประสบการณ์วิชาชีพของนิสิต
นั ก ศึ ก ษาเป็ น การพั ฒ นาทั้ ง สถานศึ ก ษาและสถาบั น ผลิ ต ครู เช่ น การท าโครงการโรงเรี ย นร่ ว มพั ฒ นาหรื อ
Professional Development School (PDS) เป็นต้น
7.1.2 การใช้ครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พ.ศ. 2547 มีหลักการให้กระจายอานาจ
ในการบรรจุ แ ละแต่ ง ตั้ งข้ า ราชการครู แ ละบุ ค ลากรทางการศึ ก ษาไปยัง เขตพื้ น ที่ การศึ ก ษาและสถานศึ ก ษา
โดยหมวดที่ 4 ว่าด้วยการบรรจุและแต่งตั้ง (มาตรา 45-71) กาหนดให้อนุกรรมการข้าราชการครูและบุคลากร
ทางการศึกษาประจาเขตพื้นที่การศึกษาหรือ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา เป็นผู้ดาเนินการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุ
และแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา และ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา
หรือหน่วยงานการศึกษาอาจรับสมัครสอบแข่งขันเฉพาะบุคคลที่มีคุณสมบัติพิเศษในสาขาวิชาใด และผู้อานวยการ
สถานศึกษา โดยอนุมัติ อ.ก.ค.ศ. เขตพื้นที่การศึกษา มีอานาจบรรจุและแต่งตั้งครูผู้ช่วย ครู (ที่ยังไม่ได้รับเลื่อน
255
ตาบลที่เพิ่มขึ้น โดยข้อมูลเมื่อปี 2556 มีครู กศน. ตาบล จานวน 8,445 อัตรา และในปี 2557 มีครู กศน. ตาบล
จานวน 8,710 อัตรา (ตารางที่ 4.13) นอกจากนี้ กคศ. ยังได้สารวจจานวนข้าราชการครูและบุคลากรทางการ
ศึกษาสายงานการสอนที่จะครบเกษียณอายุราชการจนถึงปี 2570 ที่สังกัดสานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ
และการศึกษาตามอัธยาศัยพบว่ามีทั้งสิ้น 919 คน โดย 5 อันดับแรกที่จะเกษียณมากที่สุดเป็นผู้ที่มีวุฒิการบริหาร
การศึกษา การศึกษาผู้ใหญ่ การจัดการทั่วไป สังคมศึกษา และเทคโนโลยีทางการศึกษา (ตารางที่ 4.14) ส่วนผล
การสนทนากลุ่มพบว่าปัญหาสาคัญคือการประเมินผลการปฏิบัติงานจากหน่วยงานภายนอกซึ่งมักใช้การพิจารณา
จากเอกสารหลักฐานที่ไม่สอดคล้องกับการทางานของการจัดการศึกษานอกโรงเรียน โดยเห็นว่าควรใช้การประเมิน
การทางานในเชิงประจักษ์ที่พิจารณาจากผลการเรียนของผู้เรียนเป็นสาคัญ
ครูโรงเรียนสาธิต ซึ่งเป็นสถานศึกษาที่จัดตั้งขึ้นภายใต้การดูแลของคณะศึกษาศาสตร์หรือคณะครุศาสตร์
ของมหาวิ ท ยาลั ย ที่ สั ง กั ด สกอ. มี ค รู / คณาจารย์ / ผู้ ส อนรวมทั้ ง สิ้ น 2,127 คน แบ่ ง เป็ น สถานศึ ก ษาใน
กรุงเทพมหานคร 1,164 คน และส่วนภูมิภาค 963 คน ซึ่งสอนตั้งแต่ระดับก่อนประถมศึกษาจนถึงมัธยมศึกษา
ตอนปลาย ผลการประชุม สนทนากลุ่มพบว่าครู โรงเรียนสาธิต มีปัญหาด้านการประเมินผลการปฏิบัติงานและ
การเสนอผลงานเพื่อขอตาแหน่งทางวิชาการ รวมทั้งการขาดอัตราบรรจุทาให้มีการลาออกเป็นจานวนมากในแต่ละ
ปี
สถานศึกษาเอกชนในสังกัดสานักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชนแบ่งเป็นโรงเรียนในระบบ
(โรงเรียนประเภทสามัญศึกษาและประเภทนานาชาติ ) และโรงเรียนนอกระบบ (หลักสูตรระยะสั้น ศูนย์การศึกษา
อิสลามประจามัสยิด (ตาดีกา) และสถาบันศึกษาปอเนาะ) สาหรับการศึกษาเอกชน ในปี พ.ศ. 2555 พบว่า มี
จานวนทั้งสิ้น11,971 โรง/แห่ง นักเรียน 3,591,155 คน ครู 160,307 คน (ตารางที่ 4.16) จากการประชุมสนทนา
กลุ่ม พบว่าสถานศึกษาเอกชนมีปัญหาด้านการว่าจ้างครูเนื่องจากมีผู้สอบไม่ผ่านจานวนมากซึ่งสะท้อนถึงคุณภาพ
ของการผลิต แต่หากเข้มงวดมากเกินไปก็ไม่มีผู้มาสมัคร นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องการลาออก โอนย้าย เพราะ
โรงเรียนไม่สามารถตอบสนองสวัสดิการได้ดังเช่นครูโรงเรียนรัฐบาล ครูส่วนใหญ่ยังเลือกที่จะสอบบรรจุเป็นครูใน
โรงเรียนสังกัดของรัฐ และการบรรจุข้าราชการครูระหว่างภาคการศึกษาได้ส่งผลกระทบต่อสถานศึกษาเอกชนมาก
ส่ ว นการผลิ ต และการใช้ ค รู อ าชี ว ศึ ก ษามี ลั ก ษณะต่ า งออกไป กล่ า วคื อ ส านั ก งานคณะกรรมการ
การอาชีวศึกษา (สอศ.) มีสถานศึกษาในสังกัด 421 แห่งทั่วประเทศ เปิดสอนหลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพ
(ปวช.) หลักสูตรประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) หลักสูตรประกาศนียบัตรครูเทคนิคชั้นสูง (ปทส.) หลักสูตร
ปริญญาตรีสายเทคโนโลยีหรือสายปฏิบัติการ หลักสูตรพัฒนาอาชีพเฉพาะทาง จัดการเรียนการสอน 9 ประเภท
วิช า มีส าขาวิ ช าให้ เลื อกเรี ย นมากกว่า 350 สาขาวิ ช า บุ คลากรในส านักงานคณะกรรมการการอาชีว ศึกษา
ประกอบด้วย ข้าราชการพลเรือนในส่วนกลาง ข้าราชการพลเรือนในสถานศึกษา (บุคลากรทางการศึกษา) และ
ข้าราชการครู ข้อมูล ณ วันที่ 26 กันยายน 2555 พบว่ามีบุคลากรในสังกัดสานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา
จานวน 17,455 คน เป็นข้าราชการพลเรือนในส่วนกลาง 348 คน ข้าราชการพลเรือนในสถานศึกษา (บุคลากร
257
ในด้านปัญหาการใช้ครูการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ พบว่ามีประเด็นที่มีความสอดคล้องกันระหว่างการประชุม
สนทนากลุ่มและการทาวงล้ออนาคต สรุปได้ดังต่อไปนี้
1) การสรรหา บรรจุ แต่งตั้ง เห็นว่ามีประเด็นจานวนการผลิตครูในสถาบันผลิตครูไม่สอดคล้องกับความ
ต้องการในการใช้ครู การบรรจุครูไม่ตรงความต้องการใช้ครูทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ และบางครั้งมีการเมืองเข้า
มาแทรกแซง จึงต้องมีการวางแผนอัตรากาลังระยะยาวที่มีความชัดเจนและเชื่อมโยงกับฝุายผลิต ทั้งฝุายวิชาการ
และฝุายสนับสนุน นอกจากนี้ยังเห็นว่าช่วงเวลารับสมัครและบรรจุ ครูไม่สอดคล้องกับภาคการศึกษา โดยเห็นว่า
ควรกาหนดช่วงการบรรจุครูที่ไม่ส่งผลต่อการสอนระหว่างภาคการศึกษา จึงควรให้ครูเกษียณอายุราชการในเดือน
มีนาคมไม่ใช่ กันยายนเหมือนข้าราชการทั่วไป เพื่อไม่ให้เกิดปัญหาการขาดครูในสถานศึกษา ส่วนสถานศึกษา
ประเภทอาชีวศึกษามีปัญหาการว่าจ้างครูเนื่องจากต้องการครูผู้สอนที่มีความรู้เฉพาะด้านแต่มักจะไม่มีใบอนุญาต
ประกอบวิชาชีพครู
ทั้งนี้ มีผู้ทรงคุณวุฒิส่วนหนึ่งที่เห็นว่า มีความล่าช้าในการดาเนินการบรรจุ การแต่งตั้ง การโอนย้ายครู
โดยเฉพาะการขอโอนย้ายกลับสู่ถิ่นฐานเดิมของครู ส่วนผู้ทรงคุณวุฒิที่มาจากหน่วยงานใช้ครูอื่นๆ เช่น สถานศึกษา
อาชีวศึกษาให้ความเห็นว่า มีปัญหามากด้านการสรรหาครูเพราะไม่สามารถสรรหาครูที่มีวุฒิตรงกับวิชาที่สอน
ทาให้บางครั้งจาเป็นต้องใช้ผู้มีประสบการณ์มาสอนแทน
2) การปฏิบัติงาน เห็นว่ายังมีปัญหาครูสอนไม่ตรงวุฒิ ไม่ตรงสาขาวิชาที่สาเร็จการศึกษา และครูมีภาระ
งานมากรวมทั้งงานที่ไม่เกี่ยวกับการเรียนการสอน ที่น่าสนใจ คือ ผู้ทรงคุณวุฒิเห็นว่าควรมีการปรับหลักเกณฑ์การ
คานวณอัตรากาลังใหม่โดยคิดคานวณจานวนครูที่ต้องการบรรจุจากภาระงานมิใช่จากจานวนนักเรียน อย่างไรก็
ตามเห็นว่าเมื่อสถานศึกษามีอิสระในการสรรหาครูและบุคลากรทางการศึกษาแล้ว ปัญหาน่าจะน้อยลง และทาให้
สามารถใช้ครูได้เหมาะสมกับบริบทของการศึกษาและสามารถปรับปรุงตนเองได้ ส่วนปัญหาที่เกี่ยวกับภาระงานอื่น
ที่มิใช่การสอนเสนอให้บรรจุเจ้าหน้าที่สายสนับสนุนเพิ่มขึ้น โดยอาจไม่จาเป็นต้องกาหนดให้มีวุฒิปริญญาตรี
260
ทั้งนี้ หากแบ่งเป็นด้านพบว่าข้อที่เป็นความต้องการจาเป็นในด้านการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐานที่ต้อง
ดาเนินการเร่งด่วน (ค่าดัชนีความต้องการจาเป็นไม่ต่ากว่า 0.65) มี 5 ข้อ เรียงตามลาดับ คือ มีระบบการติดตาม
และประเมินผลการผลิตครูที่เป็น มาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ (PNI =1.01) การผลิ ตครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
สอดคล้องกับความต้องการในเชิงคุณภาพ (PNI =0.91) และรัฐบาลมีนโยบายในการผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
อย่างชัดเจน (National Goal) (ข้อ 1) (PNI =0.71) กับการมีระบบการผลิตครูสามารถดึงดูดคนดี คนเก่ง มีใจรัก
วิชาชีพครู มาเป็นครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน (PNI = 0.71) และกระทรวงศึกษาธิการมีนโยบายในการผลิตครู
การศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างชัดเจน (PNI = 0.70) ดังแสดงในตารางที่ 4.12
ด้านการใช้ครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน ข้อที่เป็นความต้องการจาเป็นในด้านการใช้ครูที่ต้องดาเนินการเร่งด่วน
มีจานวน 5 ข้อเรียงลาดับ คือ สถาบันและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีระบบครูพี่เลี้ยงที่ส่งเสริมการปฏิบัติงานของครู
การศึกษาขั้นพื้นฐานที่ปฏิบัติในช่วงแรก (PNI =0.78) สถาบันมอบหมายภาระงานให้กับครูการศึ กษาขั้นพื้นฐาน
อย่างเหมาะสม (PNI = 0.73) มีระบบการติดตามและประเมินผลการปฏิบัติงานครูที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้ง
ประเทศ (PNI = 0.73) หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีระบบจัดสรรครูการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ปฏิบัติหน้าที่ในท้องที่ที่
เหมาะสม เช่น ตรงกับความต้องการของท้องถิ่น และครูเป็นคนในท้องถิ่น เป็นต้น (PNI = 0.70) และสถาบันและ
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีระบบการรับฟังความต้องการและข้อเสนอแนะจากครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน (PNI = 0.67)
ดังแสดงในตารางที่ 5.26
ส่วนด้านการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน พบว่าข้อที่เป็นความต้องการจาเป็นในด้านการใช้ครูที่ต้อง
ดาเนินการเร่งด่วนมีจานวน 7 ข้อเรียงลาดับ คือ มีรูปแบบการพัฒนาครูที่เหมาะสมกับครูที่มีประสบการณ์ทางาน
ในแต่ละช่วง เช่น ช่วงปีแรก ช่วง 5-10 ปี และช่วงหลัง 10 ขึ้นไป (PNI = 0.92) มีระบบการวิเคราะห์ความ
ต้องการจาเป็นในการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน (PNI = 0.89) รัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้กับสถาบันพัฒนา
ครูอย่างเพียงพอ (PNI = 0.81) มีระบบการติดตามและประเมินผลการพัฒนาครูที่เป็นมาตรฐานเดียวกันทั้ง
ประเทศ (PNI = 0.79) มีระบบการพัฒนาที่ตรงกับความต้องการของครู (PNI = 0.77) สถาบันจัดสรรงบประมาณ
เพื่อพัฒนาครูให้กับครูการศึกษาขั้นพื้นฐานอย่างเพียงพอ (PNI = 0.75) และครูได้รับการพัฒนาให้มีทักษะและ
สมรรถนะสาหรับการศึกษาในศตวรรษที่ 21 (PNI = 0.66) ดังแสดงในตารางที่ 6.2
264
เมื่อพิจารณาคุณลักษณะที่พึงประสงค์ข้างต้นจะเห็นว่าส่วนใหญ่เป็นความรู้ความสามารถในการทาวิจัย
การบริหารจัดการความเสี่ยง การสื่อสารด้วยภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ และการให้ครูเป็นผู้นาการจัดการ
เรียนการสอนที่มีประสิทธิผลให้กับครูในโรงเรียนและครูโรงเรียนอื่น
ในด้านปริมาณ จากการวิเคราะห์ Trend Analysis จากข้อมูลจานวนความต้องการครูระหว่างปี 2553-
2567 โดยใช้ฐานข้อมูลครูปี 2553 ของกระทรวงศึกษาธิการ พบว่า สาขาวิชาที่มีแนวโน้มต้องการครูมากที่สุดในปี
2567 คื อ สาขาวิ ช าภาษาไทย จ านวน 5,244 คน รองลงมาคื อ สาขาวิ ช าคณิ ต ศาสตร์ สั ง คมศึ ก ษารวม
มนุษยศาสตร์และจิตวิทยา และประถมศึกษา (4,504 3,819 และ 3,743 คน ตามลาดับ) เมื่อพิจารณาระหว่าง
266
อภิปรายผลวิจัย
การวิจัยครั้งนี้มีสาระสาคัญที่นาไปสู่การอภิปรายผลในประเด็นต่อไปนี้
1) การพัฒนาคุณภาพครูประจาการ ผลการวิจัยจากการคานวณค่าความแตกต่างระหว่างสภาพที่เป็น
จริงในปัจจุบันกับสภาพที่พึงประสงค์ โดยใช้การประเมินความต้องการจาเป็นด้วยค่า PNImonification พบว่าการ
พัฒนาครูค่าความแตกต่างระหว่างสภาพที่เป็นจริงในปัจจุบันกับสภาพที่พึงประสงค์สูงที่สุด (PNI = 0.71)
รองลงมา คือ การผลิตครู (PNI = 0.60) และการใช้ครู (PNI = 0.54) ตามลาดับ การกาหนดนโยบายครูจึงควรให้
ความส าคัญ กับ การพัฒ นาครู ป ระจ าการ ปั จจุบัน มีห น่ ว ยงานที่เกี่ ยวข้องกับ การพั ฒ นาครู จานวนมาก แต่ล ะ
หน่วยงานก็ทาตามหน้าที่และงบประมาณที่มีอยู่ อย่างไรก็ตาม บทบาทองค์กรที่ทาหน้าที่ประสาน คือ สคบศ. มี
ฐานะเป็นกองในสานักปลัดศึกษาธิการทาให้ไม่สามารถทาหน้าที่ตามวัตถุประสงค์ทางกฎหมายการศึกษา ที่ผ่านมา
มีความพยายามเสนอให้เป็นองค์กรมหาชน 2-3 ครั้งแต่ไม่ประสบความสาเร็จ จึงอาจทาให้การพัฒนามีหลาย
เจ้าภาพ ไม่มีเจ้าภาพตัวจริง ไม่มีหน่วยประสานที่ได้ผล จึงถือเป็นนโยบายสาคัญประการแรกที่ควรได้รับการแก้ไข
อีกประการหนึ่ง หากพิจาณาข้อค้นพบจากตารางที่ 6.3 ความต้องการจาเป็นในการพัฒนาคุณลักษณะ
และสมรรถนะของครูการศึกษาขั้นพื้นฐานที่สอดคล้องกับความต้องการในอนาคต พบว่าคุณลักษณะที่ต้องได้รับ
การพัฒนาเป็นการด่วนเพราะสภาพจริงยังห่างจากสภาพที่พึงประสงค์อันดับแรกๆ ที่สาคัญมาก คือ ทักษะด้าน
การวิจัยคือ วิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้ การสอนและพัฒนาผู้เรียน การทาวิจัยในชั้นเรียนและนาไปสู่การพัฒนาการ
เรียนการสอนอย่างสม่าเสมอ ความสามารถประยุกต์ทฤษฎีและระเบียบวิธีวิจัยเพื่อสร้างความรู้ใหม่ อีกทักษะหนึ่ง
คือทักษะในการสอน ได้แก่ ความสามารถในการวัดและประเมินผลผู้เรียนเป็นรายบุคคลได้ตามสภาพจริงเพื่อ
เรียนรู้ พัฒนาผู้เรียน และประเมินการเรียนรู้ กับความสามารถในการเป็นผู้นาการขยายผลการจัดการเรียนการ
สอนที่มีประสิทธิผลให้ครูในโรงเรียนและโรงเรียนอื่น นอกจากนี้ยังพบว่าควรพัฒนาความสามารถด้านการสื่อสาร
และการใช้ภาษาไทยและภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศอย่างน้อย 1 ภาษา และความสามารถในการบริหาร
จัดการความเสี่ยงด้วย ข้อค้นพบดังกล่าวสอดคล้องกับงานวิจัยของพิมพันธ์ เดชะคุปต์ กับพรทิพย์ แข็งขัน (2551)
ที่เห็นว่าควรพัฒนาคุณลักษณะดังกล่าวเช่นกัน ทั้งนี้ ความรู้และทักษะดังกล่าวเป็นคุณลักษณะที่จาเป็นสาหรับครู
ในศตวรรษที่ 21 และเป็นคุณลักษณะที่พึงปรารถนาในการปรับหลักสูตรผลิตครูเป็นหลักสูตร 5 ปี และ
2) คุณภาพและประสิทธิภาพของการผลิตครูตามมาตรฐานวิชาการและวิชาชีพ ผลการวิจัยพบว่า
บัณฑิตที่สาเร็จการศึกษาหลักสูตร 5 ปี ยังมีปัญหาเชิงคุณภาพ และไม่ตอบสนองเปูาหมายในการสร้างคุณลักษณะ
ความเป็นครู ข้อค้นพบดังกล่าวไม่สอดคล้องกับงานวิจัยของวิชุดา กิ จธรธรรม และคณะ (2554) ที่ได้ทาการ
เปรียบเทียบการผลิตครูระหว่างหลักสูตร 4 ปี กับหลักสูตร 5 ปีแล้วพบว่าหลักสูตร 5 ปีที่มีการกาหนดมาตรฐาน
หลักสูตรจากองค์กรวิ ชาชีพ คือ คุรุสภามีการกาหนดสาระความรู้และสมรรถนะชัดเจนกว่าโดยหลักสูตรนี้เน้น
ความรู้และทักษะการวิจัยในชั้นเรียน ในด้านกระบวนการผลิตมีรูปแบบการเรียนการสอนที่หลากหลาย มีการจัด
กิจกรรมการเรียนการสอนทีเน้นการมีส่วนร่วมของผู้เรียน และลักษณะสาคัญของหลักสูตร 5 ปี คือ มีระยะเวลา
271
อัตรา เคมี มีผู้สมัคร 1,106 คน ตาแหน่งว่าง 26 อัตรา ชีววิทยา มีผู้สมัคร 1,572 คน ตาแหน่งว่าง 21 อัตรา
(ดูรายละเอียดในตารางที่ 5.10) จึงแสดงได้ว่า จานวนการผลิตและจานวนอัตราว่างที่มีรองรับบัณฑิตที่สาเร็จ
การศึกษาใหม่ไม่สอดคล้องกันทั้งในภาพรวมและสาขาวิชา และการที่ยังมีครูขาดแคลนในบางสาขาวิชานั้น ปรากฏ
ว่าสถาบันผลิตครูสามารถผลิตบัณฑิตในสาขาวิชานั้นๆ ได้เห็ นความต้องการ หากผู้เข้าสอบมีคุณภาพก็อนุมานได้
ว่ามีสาเหตุประการหนึ่งจากการที่มีอัตราว่างที่จะบรรจุครูใหม่ในสาขาวิชานั้นไม่เพียงพอ
การควบคุมให้การผลิตครูโดยใช้กลไกการออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูด้วยการรับรองหลักสูตรที่
ผ่านเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพจึงควรเป็นประเด็นที่นามาพิจารณาอีกประเด็นหนึ่ง อย่างไรก็ตามในกรณีจาเป็นเช่น
การขาดแคลนครูอาชีวศึกษาหรือสาขาวิชาที่ขาดแคลนก็อาจมีมาตรฐานต่างหากซึ่งคุรุสภาก็ได้เริ่มดาเนินการแล้ว
อาทิ การประกาศรับรอง 86 สาขาวิชา เป็นสาขาวิชาชีพที่ขาดแคลนที่สามารถสมัครสอบบรรจุเป็นข้าราชการครู
ได้ตามที่สานักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) เสนอโดยมีข้ อแม้ว่าเมื่อสอบบรรจุเป็นครูได้แล้ว ต้อง
ปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่คุรุสภากาหนด คือ ภายในระยะเวลา 2 ปี ต้องพัฒนาตนเองเพื่อให้ได้มาซึ่งใบอนุญาต
ประกอบวิชาชีพครู นอกจากนี้ผู้วิจัยได้สัมภาษณ์ผู้แทนจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นเพิ่มเติมได้ข้อสังเกตว่า
ในภาพรวมท้องถิ่นมีกรอบอัตรากาลัง แต่ยังไม่มีแผนความต้องการครูที่ชัดเจน เนื่องจากแต่ละท้องถิ่นมีความเป็น
อิสระในการกาหนดจานวนความต้องการครูและสาขาวิชาที่ต้องการ การสรรหาครูจะเป็นลักษณะของการสอบ
คัดเลือก ถ้าเป็นวิชาเฉพาะต้องเป็นการคัดเลือกพิเศษ เช่น วิชาคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ และภาษาต่างประเทศ
แต่มีปัญหาในการดาเนินการเนื่องจากมีระเบียบให้สถาบันอุดมศึกษาซึ่งโดยปกติ คือมหาวิทยาลัยราชภัฏเป็นผู้ออก
ข้อสอบ มีการจัดสอบอย่างเข้มงวด และใช้งบประมาณสูง แต่บางครั้งพบว่ามีจานวนผู้สมัครไม่มาก หรือไม่มีผู้สอบ
ผ่าน หรือต้องจัดสอบเพื่อรับบรรจุเพียงตาแหน่งเดียว ทาให้ต้องเสียงบประมาณจานวนมาก ปัจจุบันคือมีอัตราว่าง
จ านวนมากแต่ ไ ม่ ส ามารถบรรจุ ค รู ไ ด้ จึ ง มี ข้ อ เสนอให้ มี ก ารประสานงานระหว่ า งกระทรวงมหาดไทยกั บ
กระทรวงศึกษาธิการในด้านบัญชีผู้ผ่านการสอบบรรจุเป็นครู
อย่างไรก็ตามเกี่ยวกับการเสนอให้คุรุสภาพิจารณาทบทวนหลักเกณฑ์การออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ
ครูที่เชื่อมโยงกับกลไกการกาหนดมาตรฐานวิชาชีพครูโดยใช้ก ลไกการออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูเฉพาะ
แทนที่จะให้ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพทั่วไปที่ปฏิบัติอยู่ในปัจจุบัน โดยพิจารณาผลการทดสอบสมรรถนะครูของ
บัณฑิตครู เป็ น รายบุ คคลแทนการรับ รองหลั กสู ตรนั้น ปรากฏว่าประกาศคุรุส ภาฉบับล่ าสุด เรื่อง หลักเกณฑ์
คุณสมบัติของสถานศึกษาสาหรับปฏิบั ติการสอน และข้อบังคับคุรุสภา ว่าด้วยมาตรฐานวิชาชีพ พ.ศ.2556 ได้มี
การกาหนดให้ผู้สาเร็จการศึกษาที่ได้รับปริญญาหรือประกาศนียบัตรที่คุรุสภาให้การรับรองต้องผ่านการทดสอบ
เพื่อขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพตามที่คุรุสภากาหนดแล้ว แต่มีประเด็นที่ต้องพิจารณาต่อไปว่าการสอบเพื่อ
ขอรับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูจะสอบวัดด้านใด ทั้งนี้ การสอบดังกล่าวไม่ควรเป็นการวัดความรู้ความสามารถ
ในเชิงวิชาการอย่างเดียวแต่ควรเป็นเรื่องของการวัดสมรรถนะ (Competency) เช่น จิตวิญญาณครู ทักษะการ
สอน เป็นต้น นอกจากนี้เพื่อเป็นการส่งเสริมให้ครูได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจึงควรปรับระบบวิทยฐานะครูใหม่
ให้เชื่อมโยงกับการปฏิบัติงานครูตามข้อตกลงและผลสั มฤทธิ์ทางการเรียน ตลอดจนการพัฒนาตนเองทั้งด้าน
วิชาการและวิชาชีพอย่างเป็นระบบครบวงจร
5.2) คุรุสภากับการใช้ครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน คุรุสภามีบทบาทและอานาจหน้าที่ตามมาตรา
48 ในการกากับให้ผู้ซึ่งได้รับใบอนุญาตต้องประพฤติตนตามมาตรฐานและจรรยาบรรณของวิชาชีพตามที่กาหนด
ในข้อบังคับของคุรุสภาซึ่งประกอบด้วยมาตรฐานความรู้และประสบการณ์วิชาชีพ มาตรฐานการปฏิบัติงาน กับ
277
แคลน ในการบรรจุควรจัดสรรครูให้เพียงพอแม้จะเป็นสถานศึกษาขนาดเล็กและควรเพิ่มจานวนบุคลากรสาย
สนับสนุนในสถานศึกษา รวมทั้งเสนอให้ทบทวนกาหนดช่วงเวลาการสอบคัดเลือกและบรรจุครูในสถานศึกษาของ
รั ฐ ที่ไ ม่กระทบต่อการเรี ย นการสอนและไม่ให้ ครูข าดแคลนในบางช่ ว งเวลาโดยเฉพาะในสถานศึก ษาเอกชน
นอกจากนี้ ยั งควรหาแนวทางให้ ค รู ที่ บ รรจุ ต่ างสั งกั ดได้รับ การพัฒ นาและสร้ างเสริ มขวั ญก าลั ง ใจทั้งระหว่า ง
ปฏิบัติงานและหลังเกษียณอายุการปฏิบัติงานหรือสัญญาจ้างในมาตรฐานเดียวกัน ดังที่ผลการวิจัยพบปัญหาของ
ครูที่ปฏิบัติงานในสถานศึกษาเอกชน เป็นต้น
4) ในด้านการพัฒนาครู ผลการวิจัยพบว่าหน่วยงานที่ทาหน้าที่พัฒนาครูมีจานวนมาก แต่ยังมีปัญหาการ
ดาเนินงานหลายด้าน อีกทั้ง รูปแบบการพัฒนายังไม่ตรงความต้องการของครู และยังไม่แสดงให้เห็นว่าการที่ครู
ได้รับ การพัฒนาจะส่ งผลต่อคุณภาพของผู้ เรียนโดยตรง จึงน่าที่จะมีการทบทวนการดาเนินงานในหลายด้าน
ประการแรก ควรเน้นการพัฒนาครูโดยมีข้อตกลงการปฏิบัติงานหรือ Performance Agreement โดยเชื่อมโยง
การพัฒนาตนกับการเพิ่มผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียนอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งเชื่อมโยงกับระบบการประเมินผลการ
ปฏิบัติงานด้วย ประการที่ส อง ควรให้ กลุ่มสถาบันอุดมศึกษาโดยเฉพาะคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ร่วมกับ
กระทรวงศึกษาธิการ สานักงานเขตพื้นที่การศึกษา และสถานศึกษาจัดให้มีการพัฒนาครูและผู้บริหารสถานศึกษา
ในรูปแบบพี่เลี้ยงหรือ Coaching and Mentoring ที่กาลังดาเนินการอยู่และขยายเครือข่ายให้เกิดชุมชนแห่งการ
เรียนรู้และการพัฒนา (Performance development community) ประการที่สาม ปัจจุบันได้มีการจัดตั้ง
กองทุนพัฒนาและส่งเสริมครูตามนัยของกฎหมายแล้ว แต่ยังไม่มีการดาเนินการ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจึงควร
ติดตามและเร่งรัดการดาเนินการตามวัตถุประสงค์ของกองทุนดังกล่าว ประการที่สี่ ควรมีการนาระบบคูปองพัฒนา
ครูใช้ในทานองเดียวกับคูปองการศึกษาเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาตนของครูประจาการ ทั้งนี้ สานักงานเลขาธิการ
คุรุสภา ควรเป็นหน่วยงานที่ให้ความสาคัญกับการกากับดูแลเรื่อง “คุณภาพ” ของสถาบันการผลิตครูและคุณภาพ
ของครูก่อนประจาการและครูประจาการ
5) ในด้านวิชาชีพครู ผลการวิจัยพบว่าการกาหนดเส้นทางอาชีพ (Career Path) ที่แสดงความก้าวหน้า
ของผู้ ป ระกอบวิช าชีพครู เป็ น สิ่ งจ าเป็ น เพื่อจูงใจให้ ครูปฏิบัติงานในด้านการสอนแทนการเพิ่มวุฒิ เพื่อย้ายไป
ปฏิบัติงานในสายบริหาร ทาให้เกิดสภาพการขาดแคลนครูไม่สิ้นสุด วิชาชีพครูควรเป็นวิชาชีพที่ผู้ประกอบวิชาชีพมี
ความชานาญอย่างดิ่งเดี่ยว มีความตั้งใจเป็นครูอย่างมั่นคง และควรได้รับการสนับสนุนให้ปฏิบัติงานเป็นครูอย่าง
จริงจัง โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องน่าจะพิจารณากาหนดเส้นทางอาชีพของครูแยกจากเส้นทางอาชีพของผู้บริหาร
และแสดงให้เห็นความเท่าเทียมกันเพื่อจูงใจให้ปฏิบัติงานสอนต่อไปด้วย
280
ข้อเสนอแนะจากการวิจัยสู่ปฏิบัติ
1) สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา สานักงานคณะกรรมการ
การศึกษาขั้นพื้นฐาน กรมการปกครองส่วนท้องถิ่น สานักงานปลัดกระทรวงศึกษาธิการ สานักงบประมาณ คุรุสภา
และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับการจัดทาแผนการผลิตและการใช้ครูการศึกษาขั้นพื้นฐานในอีกสิบปีข้างหน้าเพื่อ
นาเสนอคณะกรรมการนโยบายและพัฒนาการศึกษา หรือซุปเปอร์บอร์ดการศึกษา (Super Board) หรือที่ตาม
(ร่าง) พระราชบัญญัติการศึกษาแห่ งชาติฉบับใหม่ เรียกว่า คณะกรรมการนโยบายการศึกษาและพัฒนามนุษย์
แห่งชาติ ซึ่งจะมีหน้าที่เสนอแนะนโยบายแนวทางการขับเคลื่อนการพัฒนาการศึกษา ยกระดับคุณภาพการศึกษา
และการเรียนรู้ตามนโยบายรัฐบาล ให้ความเห็นชอบเพื่อให้การผลิตครูการศึกษาขั้นพื้นฐานสอดคล้องกับการใช้ครู
ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ
2) คุรุสภาพึงปรับปรุงการออกใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูโดยกาหนดให้มีใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู
เฉพาะสาหรับครูปฐมวัย ครูประถมศึกษา ครูมัธยมศึกษา ครู กศน. ครูวัดผล ครูแนะแนว และอื่นๆ
3) คุรุสภาพึงใช้วิธีการทดสอบและประเมินสมรรถนะตามมาตรฐานวิชาชีพที่คุรุสภากาหนดในการออก
ใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูแทนการรับรองหลักสูตร
4) คุรุสภาพึงพัฒนาระบบและกลไกในการต่อใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครูให้เชื่อมโยงกับการปฏิบัติงาน
ตามมาตรฐานที่กาหนดรวมทั้งการปฏิบัติตามจรรยาบรรณวิชาชีพครู การใช้ครู และการพัฒนาครู
5) สานักงานคณะกรรมการข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา พึงปรับปรุงระบบวิทยฐานะใหม่ให้
เชื่อมโยงกับการปฏิบัติงานปกติของครูส่งผลต่อผลสัมฤทธิ์ของผู้เรียน
6) สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาโดยความเห็นชอบของคณะกรรมการการอุดมศึกษาพึงรื้อฟื้น
โครงการคุรุทายาทเพื่อทดแทนโครงการผลิตครูมืออาชีพหรือครูพันธุ์ใหม่เพื่อให้ได้คนดี คนเก่ง มาเรียนครูและเป็น
ครูเพื่อศิษย์ในฐานะผู้ประกอบวิชาชีพชั้นสูงอย่างแท้จริง
7) สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษาร่วมมือกับเครือข่ายคณะศึกษาศาสตร์ 9 เครือข่ายและต้นสังกัด
ในการดาเนินโครงการผลิตและพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานในพื้นที่เพื่อยกคุณภาพการศึกษาของโรงเรียนของรัฐ
เอกชนและองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น
8) สานักปลัดกระทรวงศึกษาธิการ น่าจะดาเนินการเสนอให้ยกฐานะสถาบันพัฒนาครูคณาจารย์และ
บุคลากรทางการศึกษา (สคบศ.) ให้เป็นนิติบุคคลเพื่อให้มีเอกภาพและความคล่องตัวในการบริหารจัดการและจะ
ได้สามารถดาเนินการตามวัตถุประสงค์และเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ มาตรา 52
9) สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (สสวท.) ร่วมกับศูนย์มหาวิทยาลัยทั้ งในประเทศ
และนอกประเทศ พึงขยายโครงการผลิตครูผู้มีความสามารถพิเศษทางคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ (สควค.) โดย
เปิดโอกาสให้ผู้ สาเร็จการศึกษาประกาศนียบัตรทางวิทยาศาสตร์และคณิตศาสตร์ที่เป็นครูประจาการอยู่แล้ ว
สามารถสมัครศึกษาต่อปริญญาโททางการศึกษาโครงการ สควค. ได้ รวมทั้งผู้สาเร็จการศึกษาครุศาสตรบัณฑิต
281
ภาษาไทย
คณะกรรมกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน, สานักงาน. (ม.ป.ป.). หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช
2544. แหล่งทีม่ า:
http://academic.obec.go.th/resources/node/1/7/multimedia_sec_detail/313 [2558,
มีนาคม 9]
คณะกรรมการการอุดมศึกษา, สานักงาน. (2554). ประกาศกระทรวงศึกษาธิการ
เรื่อง มาตรฐานคุณวุฒิระดับปริญญาตรี สาขาครุศาสตร์และสาขาศึกษาศาสตร์ (หลักสูตรห้าปี).
แหล่งที่มา: http://www.mua.go.th/users/he-commission/doc/law/ministry%20law/1-
49%20TQF%20education5years.pdf [2558, เมษายน 11]
คณะกรรมการการอุดมศึกษา, สานักงาน. (2556). เอกสารประกอบการประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องแนวทาง
การผลิตครูให้สอดคล้องกับความต้องการทั้งเชิงปริมาณและคุณภาพ, 23 พฤศจิกายน 2556
ณ สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา.
คณะกรรมการการอุดมศึกษา, สานักงาน. (2556). รายงานข้อมูลนักศึกษาเข้าใหม๋ระดับปริญญาตรี หลักสูตร 5
ปี สาขาวิชาด้านครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ในปี 2555-2551. เอกสารประกอบการประชุมสัมมนา
การจัดทาแผนการผลิตกาลังคนสาขาครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ , 7 กุมภาพันธ์ 2556 ณ โรงแรมปริ๊น
พาเลส กรุงเทพมหานคร.
คณะกรรมการการอุดมศึกษา, สานักงาน. (2557). การผลิตและการพัฒนาครู. การประชุม
คณะกรรมการการอุดมศึกษา ครั้งที่ 7/2557, 3 กรกฎาคม 2557 ณ สานักงานคณะกรรมการ
การอุดมศึกษา.
คณะกรรมการการอุดมศึกษา, สานักงาน. (2558). นโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ประจาปี
งบประมาณ 2558. เอกสารประกอบการประชุมสัมมนา เรื่อง การปฏิรูประบบการผลิตและพัฒนาครู
ในอนาคต: ปัญหาและการแสวงหาแนวทางแก้ไข, 2 กุมภาพันธ์ 2558 ณ โรงแรมเดอะสุโกศล
กรุงเทพมหานคร.
คณะกรรมการการอุดมศึกษา, สานักงาน. (2558). การจัดทาแผนการผลิตและพันาครู สังกัดสานักงาน
คณะกรรมการการอาชีวศึกษา. เอกสารประกอบการประชุมสัมมนา เรื่อง การปฏิรูประบบการผลิต
และพัฒนาครูในอนาคต: ปัญหาและการแสวงหาแนวทางแก้ไข, 2 กุมภาพันธ์ 2558 ณ โรงแรม
เดอะสุโกศล กรุงเทพมหานคร.
283
ภาษาอังกฤษ
Arizona State Universiy. (2000). Arizona State University information technology strategic plan
[Online]. Available from: www.asu.edu./it/fyi/strategic/plans/stratplan00.html
[2006, October 21]
Park, John Ellis. (1997). A case study analysis of strategic planning in a continuing higher
education organization. [Online]. Abstract from: dissertation Abstract Online. (Volume
58-05)
Parkay, F.W. & Stanford, B.. (2001). Becoming a teacher. 5 ed. Boston: Allyn and Bacon.
288
บรรณานุกรม
คณะกรรมการปฏิรูประบบผลิตและพัฒนาครู. (2557). รายงานการประชุมคณะกรรมการปฏิรูประบบการผลิต
และพัฒนาครู ครั้งที่ 2/2557 วันศุกร์ที่ 24 มกราคม 2557, 6-8.
คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. (2555). รายงานฉบับสมบูรณ์โครงการพัฒนาครูกลุ่มสาระการเรียนรู้
ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ บรรณารั กษ์ และแนะแนว สั งกัดสานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้น
พื้น ฐาน ปีงบประมาณ 2555 เสนอคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ.
(อัดสาเนา).
คณะทางานการวางแผนการผลิตและการพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษานอกระบบ. (2553). เอกสาร
การประชุมการวางแผนการผลิตและพัฒนาครูและบุคลากรทางการศึกษา. (อัดสาเนา).
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช. (2556). รายงานการประเมินโครงการพัฒนาครูทั้งระบบ ปีงบประมาณ 2555
และวิจัยรูปแบบการพัฒนาครูทั้งระบบ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน เสนอสานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทรวงศึกษาธิการ. (อัดสาเนา).
สถาบันวิจัยและพัฒนาคุณภาพ สมศ.. (2553). รายงานฉบับสมบูรณ์ผลการศึกษาแนวทางการดาเนินโครงการ
ผลการวิ เ คราะห์ แ ละประมวลผลการด าเนิ น งานจากรายงานการประเมิ น ผลสั ม ฤทธิ์ ข อง
สถาบันอุดมศึกษาทุกแห่งที่พัฒนาหลักสูตรและฝึกอบรมผู้บริหารสถานศึกษาและครู เสนอสานักงาน
คณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน กระทาวงศึกษาธิการ. (อัดสาเนา).
ส่วนแผนและงบประมาณทางการศึกษาท้องถิ่น สานักงานประสานและพัฒนาการจัดการศึกษาท้องถิ่น
กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย. แผนพัฒนาการศึกษาท้องถิ่นระยะที่ 3 (พ.ศ.
2558-2560).
289
ภาคผนวก ก
ประเด็นสาหรับการประชุมสนทนากลุ่ม (Focus Group Discussion)
โครงการวิจัย เรื่อง “การศึกษาสภาพและปัญหา การผลิต การใช้และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานที่
สอดคล้องกับความต้องการในอนาคต”
ในวันพุธที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2558
ภาคผนวก ข
แบบสอบถามสภาพปัจจุบัน สภาพปัญหา และสภาพที่พึงประสงค์ของการผลิต การใช้ และการพัฒนาครู
การศึกษาขั้นพื้นฐาน
---------------------------------------------
โครงการวิจัย เรื่อง “การศึกษาสภาพและปัญหา การผลิต การใช้และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ที่สอดคล้องกับความต้องการในอนาคต” เป็นโครงการที่ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับทุน
สนับสนุนจากสานักงานเลขาธิการคุรุสภาให้ดาเนินการ โดยมีวัตถุประสงค์ คือ (1) เพื่อศึกษาสภาพและปัญหา
การผลิ ต การใช้ และการพัฒ นาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ในช่ว งปี พ.ศ.2546-2556) (2) เพื่อศึกษาความ
ต้องการในการผลิต การใช้ และการพัฒนาครู การศึกษาขั้นพื้นฐานในอนาคต (ในช่วงปี พ.ศ. 2557-2566)
และ (3) เพื่อ จั ด ทาข้ อเสนอเชิง นโยบายด้ านการผลิ ต การใช้ และการพัฒ นาครูการศึ กษาขั้น พื้นฐานที่
สอดคล้องกับความต้องการในอนาคต แบบสอบถามนี้แบ่งออกเป็น 4 ส่วน คือ (1) ข้อมูลทั่วไปของผู้ออกแบบ
สอบถาม (2) ความเห็นเกี่ยวกับสภาพปัจจุบัน และสภาพที่พึงประสงค์ของการผลิต การใช้ และการพัฒนาครู
การศึกษาขั้นพื้นฐาน (3) ความเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะและสมรรถนะของครูไทย และ (4) ข้อเสนอแนะ
เพิ่มเติม
---------------------------------------------
ส่วนที่ 1 ข้อมูลทั่วไปของผู้ตอบแบบสอบถาม
คาชี้แจง โปรดทาเครื่องหมาย หรือ ในช่อง และกรอกข้อมูลที่ตรงกับความเห็นของท่าน
1. ตาแหน่ง……………………………………………………………………………………………………….
2. หน่วยงาน………………………………………………………………………………………………………
3. อายุ……………………………………………………………………………………………………………..
4. เพศ
หญิง ชาย
5. ระดับการศึกษา
ปริญญาตรี ปริญญาโท ปริญญาเอก อื่นๆ ……………………(โปรดระบุ)
6. ท่านเกี่ยวข้องกับขั้นตอนใดของการผลิต การใช้ และการพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน (ตอบได้
มากกว่า 1 ข้อ)
การผลิตครู การใช้ การพัฒนา
อื่นๆ …………………………………………………………………..…(โปรดระบุ)
291
ส่วนที่ 2 (ต่อ)
ประเด็น สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์
5 4 3 2 1 5 4 3 2 1
8. ผู้สาเร็จการศึกษาในสาขาวิชาที่เป็นสาขาหลักที่ไม่มีวุฒิทาง
ครูได้รับใบอนุญาตประกอบวิชาชีพครู
9. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีการกาหนดมาตรฐานการผลิตครูของ
สถาบันการผลิตครูทั้งประเทศ
10. มีระบบการติดตามและประเมินผลการผลิตครูที่เป็น
มาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ
การใช้
1. สถาบันบรรจุครูการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ปฏิบัติหน้าที่ตรงกับ
วุฒิที่สาเร็จการศึกษา
2. สถาบันมอบหมายภาระงานให้กับครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
อย่างเหมาะสม
3. สถาบันและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีหลักเกณฑ์การประเมินครู
ที่เป็นมาตรฐานและจูงใจให้ครูการศึกษาขั้นพื้นฐานสามารถ
ปฏิบัติหน้าที่อย่างมีคณ
ุ ภาพ
4. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีระบบเงินเดือนและสวัสดิการที่จูงใจ
ครูการศึกษาขั้นพื้นฐานให้ทางานได้อย่างมีคุณภาพ
5. ครูการศึกษาขั้นพื้นฐานมีความก้าวหน้าทางสายงานที่
เหมาะสม
6. สถาบันและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีระบบการรับฟังความ
ต้องการและข้อเสนอแนะจากครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
7. สถาบันและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีระบบครูพเี่ ลี้ยงที่ส่งเสริม
การปฏิบัติงานของครูการศึกษาขัน้ พื้นฐานที่ปฏิบัติในช่วงแรก
8. สถาบันและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีระบบที่ส่งเสริมขวัญและ
กาลังในการปฏิบตั ิหน้าที่ของครู เช่น ความก้าวหน้าทางสาย
งาน และการให้รางวัล เป็นต้น
9. หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมีระบบจัดสรรครูการศึกษาขั้นพื้นฐาน
ให้ปฏิบัติหน้าที่ในท้องที่ที่เหมาะสม เช่น ตรงกับความต้องการ
ของท้องถิ่น และครูเป็นคนในท้องถิ่น เป็นต้น
10. มีระบบการติดตามและประเมินผลการปฏิบตั ิงานครูที่เป็น
มาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ
293
ส่วนที่ 2 (ต่อ)
ประเด็น สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์
5 4 3 2 1 5 4 3 2 1
การพัฒนา
1. ครูได้รับการพัฒนาให้มีทักษะและสมรรถนะสาหรับ
การศึกษาในศตวรรษที่ 21
2. ครูได้รับการพัฒนาเพื่อสร้างพัฒนาการเรียนการสอนอย่าง
สม่าเสมอและต่อเนื่อง
3. มีองค์กรพัฒนาครูการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จัดการพัฒนาครู
อย่างสม่าเสมอและต่อเนื่อง
4. กฎ ระเบียบ ข้อบังคับ เอื้อต่อการพัฒนาครูการศึกษาขั้น
พื้นฐาน
5. มีรูปแบบการพัฒนาครูที่เหมาะสมกับครูทมี่ ีประสบการณ์
ทางานในแต่ละช่วย เช่น ช่วงปีแรก ช่วง 5-10 ปี และช่วง
หลังจาก 10 ปีขึ้นไป เป็นต้น
6. มีระบบการวิเคราะห์ความต้องการในการพัฒนาครูการศึกษา
ขั้นพื้นฐาน
7. มีระบบการพัฒนาทีต่ รงกับความต้องการของครู
8. รัฐบาลจัดสรรงบประมาณให้กับสถาบันเพื่อพัฒนาครูอย่าง
เพียงพอ
9. สถาบันจัดสรรงบประมาณเพื่อพัฒนาครูให้กับครูการศึกษา
ขั้นพื้นฐานอย่างเพียงพอ
10. ระบบการติดตามและประเมินผลการพัฒนาครูที่เป็น
มาตรฐานเดียวกันทั้งประเทศ
294
ส่วนที่ 3 ความเห็นเกี่ยวกับคุณลักษณะและสมรรถนะของครูไทย
ประเด็น สภาพปัจจุบัน สภาพที่พึงประสงค์
5 4 3 2 1 5 4 3 2 1
1. มีความรู้ในเนื้อหาวิชาทีส่ อน และเนื้อหาวิชาที่เกี่ยวข้อง
2. มีความสามารถด้านการสื่อสารและการใช้ภาษาไทยและ
ภาษาอังกฤษหรือภาษาต่างประเทศอย่างน้อย 1 ภาษา
3. มีความสามารถในการใช้คอมพิวเตอร์พื้นฐาน
4. มีความสามารถในการพัฒนาและประเมินหลักสูตร
5. มีความสามารถในการจัดการเรียนรู้ได้อย่างเหมาะสมกับ
วัยของผู้เรียน
6. มีความสามารถในการจัดการเรียนรู้ที่เน้นผู้เรียนเป็น
สาคัญ
7. มีความสามารถในการบริหารจัดการชั้นเรียนเพื่อการ
เรียนรู้
8. สามารถใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรมทาง
การศึกษาเพื่อการเรียนรู้และเพื่อการสื่อสาร
9. สามารถวัดและประเมินผลผู้เรียนเป็นรายบุคคลได้ตาม
สภาพจริงเพื่อเรียนรู้ พัฒนาผู้เรียนและประเมินการเรียนรู้
10. สามารถวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนรู้การสอนและพัฒนา
ผู้เรียน
11. มีความสามารถด้านจิตวิทยาสาหรับครู ช่วยเหลือ
ผู้เรียนเป็นรายบุคคลให้ได้เรียนรู้และพัฒนาตามศักยภาพ
ของตน
12. มีความสามารถในการสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน
13. มีกัลยาณมิตรธรรม คุณธรรม จริยธรรม และ
จรรยาบรรณวิชาชีพมีความกล้าหาญทางจริยธรรม ปฏิบัติ
ตนเป็นแบบอย่างที่ดี มีจิตสานึกสาธารณะ และเสียสละให้
สังคม
14. มีภาวะผู้นาและการทางานเป็นทีมร่วมกับผู้เรียนและ
ผู้ร่วมงานทุกกลุ่ม
15. มีความสามารถในการพัฒนาตนเองและวิชาชีพ
16. มีความสามารถในการพัฒนาคุณลักษณะของผู้เรียน
ด้านคุณธรรมจริยธรรม ความเป็นไทย ความเป็น
ประชาธิปไตย และทักษะชีวิต
295
ส่วนที่ 4 ความเห็นเพิ่มเติม
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
……………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ขอขอบพระคุณทุกท่านที่ให้ความร่วมมือ
298
ภาคผนวก ค
วงล้ออนาคต
ช่วง 5 ปี
ช่วง 10 ปี
299
ภาคผนวก ง
รายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ
ผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานใช้ครู
1) ผู้แทนเลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (นายพิชัย แก้วสุวรรณ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ
ด้านส่งเสริมการจัดการศึกษาเอกชน)
2) ผู้ อ านวยการกลุ่ ม งานโรงเรี ย นอาชี ว ศึ ก ษา ส านั ก งานคณะกรรมการส่ ง เสริ ม การศึ ก ษาเอกชน
(นางพวงพรรณ ขันติธรรมากร)
3) ผู้อานวยการโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยม (ผู้ช่วยศาสตราจารย์ชัยศักดิ์ ชั่งใจ)
4) ผู้แทนผู้อานวยการโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายประถม (ผู้ช่วยศาสตราจารย์เฉลิมพล
เดาวเรือง)
5) ผู้อานวยการโรงเรียนฤทธิยะวรรณาลัย (นายวิสิทธิ์ ใจเถิง)
6) ผู้อานวยการโรงเรียนในเครือภาษานุสรณ์ (อาจารย์ชาญณรงค์ ลักษณียนาวิน)
7) ผู้อานวยการโรงเรียนเพลินพัฒนา (รองศาสตราจารย์ลัดดา ภู่เกียรติ)
8) ผู้อานวยการโรงเรียนบางชวดอนุสรณ์ (นางงามเนตร เบ็ญจมาศ)
9) ผู้อานวยการโรงเรียนสังข์อ่าวิทยา (นางสาวลัดดา อิ่มอกใจ)
10) ผู้อานวยโรงเรียนวัดเปรมประชากร (นางนันทกิจ เที่ยงพูนโภค)
11) ผู้อานวยการโรงเรียนวัดมกุฎกษัตริยาราม (นายธงชัย โคระทัต)
12) ผู้อานวยการโรงเรียนวัดมะลิ (ดร.กิ่งแก้ว วานิชกูล)
13) ผู้อานวยการโรงเรียนวัดวิจิตรการนิมิต (นายสักการะ พิทักษ์วงศ์)
14) ผู้อานวยการเขตพื้นที่การศึกษาเขตมัธยม เขต 1 (ว่าที่ร้อยตรีอานนท์ สุขภาคกิจ)
15) ผู้อานวยการโรงเรียนสารพัดช่างพระนคร (นางยุพิน พิมศร)
16) ผู้อานวยการวิทยาลัยอาชีวศึกษาธนบุรี (ดร.ณพสร สวัสดิบุญญา)
301
ภาคผนวก จ
นิสิตและเจ้าหน้าที่ช่วยงานวิจัย
จากคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ประวัติและผลงานของหัวหน้าโครงการวิจัย
รองศาสตราจารย์ ดร.ชนิตา รักษ์พลเมือง
1. ประวัติส่วนตัว
1.1 วัน เดือน ปี เกิด 19 มีนาคม พ.ศ. 2497
1.2 อายุ 61 ปี
2. ประวัติการศึกษา
คุณวุฒิ ปีที่จบ สถานศึกษา
2.1 น.บ. (เกียรตินิยม) 2518 มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
2.2 M.A. (Socio-Philosophical Foundations of 2519 Michigan State University
Education)
2.3 Ph.D. (Socio-Philosophical Foundations of 2523 Michigan State University
Education)
3. ประวัติการรับราชการ/ปฏิบัติงาน
3.1 ดารงตาแหน่งนักวิชาการศึกษา 4 ธันวาคม พ.ศ. 2523 –
ฝุายงานนโยบายและการศึกษาเปรียบเทียบ กรกฎาคม พ.ศ. 2524
สานักงานคณะกรรมการการศึกษาแห่งชาติ
สานักนายกรัฐมนตรี
3.2 ดารงตาแหน่งอาจารย์ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2524
3.3 ดารงตาแหน่งผู้ช่วยศาสตราจารย์ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2525
3.4 ดารงตาแหน่งรองศาสตราจารย์ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2528
3.5 ดารงตาแหน่งคณบดีคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ 17 ธันวาคม 2555 – 30 กันยายน 2557
มหาวิทยาลัย
4. ตาแหน่งปัจจุบัน
4.1 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
4.1.1 อาจารย์ประจาสาขาวิชาพัฒนศึกษา ภาควิชานโยบาย การจัดการและความเป็นผู้นาทาง
การศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
4.2 Comparative Education Society of Asia (CESA)
4.2.1 President, Comparative Education Society of Asia (CESA) (2012 – ปัจจุบัน)
4.3 กรรมการอื่นๆ
4.3.1 กรรมการการวิจัยและพัฒนา สภาผู้แทนราษฎร
305
5.2 ด้านวิชาการ
5.2.1 หนังสือ ตารา และบทความ
5.2.1.1 Chanita Rukspollmuang (2013). “The Thai Academic Profession in
Transition”. Paper presented at XV Comparative Education World Congress,
Buenos Aires, June, 24 – 28, 2013.
5.2.1.2 Chanita Rukspollmuang (2013). “Comparative Education in K to
12Curriculum”, Paper presented at The Philippine Educators Management
Consultants Inc. (PEMCI) International Curriculum Planning Seminar,
Baguio City, Republic of the Philippines, April, 28 - 30, 2013.
5.2.1.3 Chanita Rukspollmuang (2013). “Science Education Curriculum Framework
and Policy of Thailand”, Paper presented at East-West Conference in
Science Education, The National Center for Teacher Education, Philippine
Normal University, Manila, Republic of the Philippines, April, 27, 2013.
5.2.1.4 Chanita Rukspollmuang (2013). “Education for International Understanding
and its Roles for Living Together in a Changing World”, Paper presented at
the ๓rd IOCES (Indian Ocean Comparative Education Society) Conference:
Challenging Education for Future Change, Khon Kaen University, Thailand,
January, 21-23, 2013.
5.2.1.5 Chanita Rukspollmuang (2012). “Practices and Trends in Internationalization
of Higher Education to Promote Education Hubs”. Paper presented at the ๘
th Biennial Conference of the Comparative Education Society of Asia (CESA)
at Chulalongkorn University, Bangkok, July, 8-11, 2012.
5.2.1.6 Chanita Rukspollmuang (2010), “The Role of HE in Promoting Intellectual
Property under the Creative Economy Policy”. Paper presented at the 7th
Biennial Conference of the Comparative Education Society of Asia (CESA) at
Gwangju University of Education, Republic of Korea, November, 10-13, 2010.
5.2.1.7 Chanita Rukspollmuang (2010), “EIU in Thai Higher Education: a Case Study
307
5.2.2 งานวิจัย
5.2.2.1 ชนิตา รักษ์พลเมือง (หัวหน้าโครงการ) และคณะ. โครงการวิจัยนโยบายและทิศทางการ
ส่งเสริมการศึกษาข้ามชาติ/ข้ามพรมแดน (Transnational Education) ของนานาชาติ.
กาลังดาเนินการ.แหล่งทุน: สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา.
5.2.2.2 ชนิตา รักษ์พลเมือง (หัวหน้าโครงการ) และคณะ (2555). โครงการประเมินผลการพัฒนา
กระบวนการเข้าสู่ตาแหน่งทางวิชาการของคณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา. แหล่งทุน:
สานักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา.
5.2.2.3 ชนิตา รักษ์พลเมือง (หัวหน้าโครงการ) และคณะ (2554). ทิศทางและแนวโน้มการจัด
การศึกษาระหว่างประเทศเพื่อการเป็นศูนย์กลางทางการศึกษา แหล่งทุน: สานักงาน
เลขาธิการสภาการศึกษา.
5.2.2.4 ชนิตา รักษ์พลเมือง (2553). แนวทางการพิจารณาคดีปกครองที่เกี่ยวข้องกับครู
คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา. แหล่งทุน: สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา.
5.2.2.5 ชนิตา รักษ์พลเมือง (2553). แนวทางการตรากฎหมายเพื่อส่งเสริมทรัพย์สินทางปัญญาใน
สถาบันอุดมศึกษา แหล่งทุน: สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา.
5.2.2.6 ชนิตา รักษ์พลเมือง (หัวหน้าโครงการ) และคณะ (2553). การติดตามและประเมินผล
ความก้าวหน้าของ นปร. รุ่นที่ 2 ในการดารงตาแหน่งในหน่วยงานภาครัฐที่มีความสาคัญ
เชิงยุทธศาสตร์. แหล่งทุน; สถาบันส่งเสริมการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดี สานักงาน
คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)
5.2.2.7 ชนิตา รักษ์พลเมือง (หัวหน้าโครงการ) และคณะ (2553). แนวทางการจัดการศึกษา
เพื่อความเข้าใจอันดีระหว่างประเทศ. แหล่งทุน: คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
5.2.2.8 ชนิตา รักษ์พลเมือง (หัวหน้าโครงการ) และคณะ (2550). การวิจัยและพัฒนารูปแบบ
ความร่วมมือในการจัดการศึกษาขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น แหล่งทุน :
กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น กระทรวงมหาดไทย
310
5.3 ด้านอื่นๆ
5.3.1 กรรมการการวิจัยและพัฒนา สภาผู้แทนราษฎร กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ (สิงหาคม 2549 –
ปัจจุบัน)
อนุ กรรมการพิจ ารณาให้ทุนอุด หนุนการวิจัยประเภทนิสิ ตนักศึกษา (ธันวาคม 2548 –
ปัจจุบัน)
5.3.1 อนุ กรรมการสภาการศึก ษาด้า นกฎหมายการศึ กษา ส านัก งานเลขาธิก ารสภาการศึก ษา
311
(กรกฎาคม 2551-2555)
5.3.1 กรรมการบริหารกองทุนยุติธรรม กระทรวงยุติธรรม (กุมภาพันธ์ 2553 –สิงหาคม 2555)
5.3.1 กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและ
ค่าใชัจ่ายแก่จาเลยในคดีอาญา กระทรวงยุติธรรม (ตุลาคม 2553 – ตุลาคม 2555)
5.3.1 ประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาค่าตอบแทนผู้เสียหายและค่าทดแทนและค่าใชัจ่ายแก่
จาเลยในคดีอาญา (กรุงเทพมหานคร 2) กระทรวงยุติธรรม (พ.ศ.2554 - ปัจจุบัน)
5.3.1 กรรมการพัฒนานโยบายและขับเคลื่อนด้านการจัดการศึกษาและ
การวิจัยเพื่อผลิตบัณฑิตครุศาสตร์และพัฒนาวิชาชีพครู มหาวิทยาลัยราชภัฎราชนครินทร์
(กรกฎาคม 2553 – 2554)
5.3.1 กรรมการมูลนิธิสถาบันวิจัยและพัฒนาคุณภาพ (สวพ.) (พฤศจิกายน 2552 – ปัจจุบัน)
5.3.1 กรรมการบริหารสมาคมนักเรียนเก่าเตรียมอุดมศึกษา ในพระบรมราชูปถัมภ์
ประจาปี 2553–2554 (สิงหาคม 2553 –กรกฎาคม 2554)
5.3.1 กรรมการเจรจาข้อตกลงและประเมินผลส่วนราชการ สานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบ
ราชการ (ก.พ.ร.) ประจาปีงบประมาณ พ.ศ. 2551, 2552, 2553 และ 2554.
5.3.1 คณะทางานด้านการผลิตและใช้ครู คณาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษา ในอนุกรรมการ
คุรุศึกษาแห่งชาติ (มิถุนายน – สิงหาคม 2553)
5.3.1 กรรมการวิ เ ทศสั ม พั น ธ์ ส านั ก งานรั บ รองมาตรฐานและประเมิ น คุ ณ ภาพการศึ ก ษา
(สมศ.) (ธันวาคม 2551 – 2553)
5.3.1 ผู้ทรงคุณวุฒิของสานักงานรับรองมาตรฐานและประเมินคุณภาพการศึกษา (สมศ.) ในการ
ประเมินสถาบันการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ปีงบประมาณ 2549 และ 2550 ตามการ
มอบหมายของสานักงานคณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ (ก.พ.ร.)
5.3.1 คณะกรรมาธิการปูองกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร
เลขานุการประจาคณะกรรมาธิการ พ.ศ. 2546 – 2547
ที่ปรึกษากิติมศักดิ์ พ.ศ.2545 – 2546
อนุกรรมาธิการกฎหมายและวิชาการ พ.ศ.2544 – 2547.
5.3.1 คณะกรรมาธิการการศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม สภาผู้แทนราษฎร
ที่ปรึกษากิติมศักดิ์ พ.ศ.2540.
5.3.1 สมาคมนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อุปนายกฝุายวิชาการ ชุดที่ 9 พ.ศ.2535 – 2537.
ที่ปรึกษา ชุดที่ 11 พ.ศ. 2539 – 2541 ชุดที่ 12 พ.ศ.2541-2543
และชุดปัจจุบัน พ.ศ.2547 – 2549.
5.3.1 สยามสมาคมในพระบรมราชูปถัมภ์
บรรณารักษ์กิติมศักดิ์ พ.ศ.2537 – 2538.
312
คณะกรรมการบริหาร พ.ศ.2539-2540.
5.3.1 คณะทางานในการประชุมนิติศาสตร์แห่งชาติ (National Congress of Law) จัดโดย
คณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ สาขานิติศาสตร์ร่วมกับคณะกรรมการสภาวิจัยแห่งชาติ
กลุ่มกฎหมายการศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม ครั้งที่ 1, 14-15 กันยายน พ.ศ.2543 และ
ครัง้ ที่ 2, วันที่ 27-28 กันยายน พ.ศ. 2544.
กลุ่มพัฒนากฎหมาย ครั้งที่ 2, วันที่ 27-28 กันยายน พ.ศ. 2544.
5.3.1 คณะอนุกรรมการ โครงการผลิตชุดฝึกอบรมต้นแบบเพื่อเตรียมความพร้อมสาหรับการปฏิรูป
การศึกษา (ชุดผู้นาชุมชน) สานักงานปฏิรูปการศึกษา พ.ศ. 2544.
5.4รางวัล
5.4.1 รางวัลนักเรียนเก่าดีเด่น สมาคมนักเรียนเก่าราชินีในพระบรมราชินูปถัมภ์, ประจาปี 2555.
5.4.2 รางวัลนักเรียนเก่าดีเด่น สมาคมนักเรียนเก่าราชินีในพระบรมราชินูปถัมภ์, ประจาปี 2554.
5.4.3 รางวัลผลงานวิจัยดีมาก กองทุนรัชดาภิเษกสมโภช จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ประจาปี 2549.
5.4.4 รางวัลศิษย์เก่าดีเด่นผู้สร้างชื่อเสียงและทาคุณประโยชน์แก่มหาวิทยาลัย เนื่องในโอกาส
ครบรอบ 70 ปีแห่งการสถาปนามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2547.
5.4.5 รางวัลศิษย์เก่าผู้ทาคุณประโยชน์แก่มหาวิทยาลัย มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พ.ศ. 2539.
5.4.6 รางวัลผลงานวิจัยดี กองทุนรัชดาภิเษกสมโภช จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประจาปี 2547.
5.4.7 Hiratsuka Memorial Award 1985, Japan Comparative Education Society.
313
ประวัติและผลงานของผู้ร่วมวิจัย
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.สมหวัง พิธิยานุวัฒน์
2. ประวัติส่วนตัว
สถานที่ติดต่อ (ที่ทางาน) โครงการจัดตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาเพื่อปฏิรูปการศึกษา
มหาวิทยาลัยเนชั่น
โทรศัพท์/โทรสาร 081 8386777, 02 9421523
E-mail – address somwung.P@gmail.com
somwung.P@chula.ac.th
3. ประวัติการศึกษา
คุณวุฒิ ปีที่จบ สถานศึกษา
2.1 ครุศาสตรบัณฑิตเกียรตินิยมอันดับ 2 สาขาการ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
สอนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัย
2.2 ครุศาสตรมหาบัณฑิตสาขาวิจัยการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย
2.3 Ph.D. (Educational Psychology) University of Minnesota,
เน้นหนักด้านการวัดและประเมินผลการศึกษา USA.
5. ผลงาน
5.1 ผลงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสารระดับชาติและนานาชาติ
5.1.1 Somwung Pitiyanuwat. (2011). Chapter 16 Quality Assurance in South-East Asian
Higher Education. In Brock, C. & Symaco, L.P. (Editors). Oxford Studies in
comparative education. Symposium Books Ltd, United Kingdom: Hobbs the
Printers, Southamton, 305-322.
5.1.2 Somwung Pitiyanuwat. (๒๐๐๗). School Assessment in Thailand: Roles and
314
5.4 รางวัลผลงานวิจัยที่เคยได้รับ
5.4.1 ได้รับรางวัลชมเชยจากสานักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติจากผลงานวิจัยเรื่อง Civic
Education in Thailand เมื่อปี 2547
5.4.2 ได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีเด่น จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เรื่อง การประเมินโครงการพัฒนาและ
ส่งเสริมผู้มีความสามารถพิเศษทางวิทยาศาสตร์(พสวท.) ระยะที่ 1, 2532.
5.4.3 ได้รับรางวัลนักวิจัยดีเด่นแห่งชาติประจาปี 2548 สาขาการศึกษาจากสภาวิจัยแห่งชาติ
5.5 สาขาที่เชี่ยวชาญ
5.5.1 การประเมินและการประกันคุณภาพการศึกษา
5.5.2 การวิจัยการศึกษา
5.5.3 การคุรุศึกษา
5.5.4 การศึกษาเพื่อเป็นพลเมืองดีและพลโลกที่ดี
315
5.6 งานวิจัยที่รับผิดชอบในปัจจุบัน
5.6.1 การวิจัยประเมินผลเพื่อจัดระดับคุณภาพเขตพื้นที่การศึกษา ซึ่งจะเสร็จสิ้นในเดือนธันวาคม 2554
มีนักวิจัยรับผิดชอบ 5 คน
5.6.2 การสารวจสถานภาพตัวบ่งชี้ 1.6 ผู้สาเร็จการศึกษาระดับอุดมศึกษามีคุณภาพระดับสากลและ
เป็นไปตามกรอบมาตรฐานคุณวุฒิ จะเสร็จสิ้นในเดือนมิถุนายน 2555 มีนักวิจัยรับผิดชอบ 5 คน
316
ประวัติและผลงานของผู้ร่วมวิจัย
ดร.รังสรรค์ มณีเล็ก
1. ประวัติส่วนตัว
วัน เดือน ปี เกิด 20 เมษายน พ.ศ. 2500
สถานที่ติดต่อ สานักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน
กระทรวงศึกษาธิการ ดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300
โทร 022885858 โทรสาร 022827895
2. ประวัติการศึกษา
คุณวุฒิ ปีที่จบ สถานศึกษา
2.1 กศ.บ. ฟิสิกส์/คณิตศาสตร์ 2522 มศว. บางแสน
2.2 ค.ม. วัดผลการศึกษา 2528 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2.3 กศ.ด. วัดผลการศึกษา 2540 มศว. ประสานมิตร
2.4 วปอ. การปูองกันราชอาณาจักร 2552 วิทยาลัยปูองกัน
ราชอาณาจักร
3. ประวัติการรับราชการ/ปฏิบัติงาน
3.1 ข้าราชการครู อาเภอบ้านสร้าง จังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ.2518-2524
3.2 ศึกษานิเทศก์อาเภอเมืองปราจีนบุรี พ.ศ.2525-2527
3.3 ศึกษานิเทศก์จังหวัดปราจีนบุรี พ.ศ.2528-2529
3.4 วิชาการศึกษา สานักนิเทศและพัฒนามาตรฐานการศึกษา
สปช. กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2530-2541
3.5 เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน กองนโยบายและแผน
3.6 สปช. กระทรวงศึกษาธิการ พ.ศ.2542-2545
ผู้อานวยการกองนโยบายและแผน สปช. พ.ศ.2545-2546
3.7 รองผู้อานวยการสานักนโยบายและแผน สพฐ. พ.ศ.2546-2549
3.8 ผู้เชี่ยวชาญด้านการวิจัยการศึกษาขั้นพื้นฐาน พ.ศ.2549-2551
3.9 ผู้อานวยการสานักนโยบายและแผน สพฐ. พ.ศ.2551-2555
3.10 รักษาการที่ปรึกษาด้านพัฒนากระบวนการเรียนรู้ สพฐ. พ.ศ.2555-25
3.11 รักษาการที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผน พ.ศ.2556
317
4. ตาแหน่งปัจจุบัน ผู้อานวยการสานักนโยบายและแผน
รักษาการในตาแหน่ง ที่ปรึกษาด้านนโยบายและแผน
5. ผลงาน
5.1 งานตารา
ชื่อตารา ปีที่ทา ผู้ร่วมผลิตงาน
5.1.1 แนวทางการประเมินตามสภาพที่แท้จริง 2541 กลุ่มวิจัยและประเมินคุณภาพ
การศึกษาระดับประถมศึกษา
5.1.2 เอกสารชุดประกันคุณภาพการศึกษา 2541 กลุ่มวิจัยและประเมินคุณภาพ
การศึกษาระดับประถมศึกษา
5.1.3 แนวทางการดาเนินงานของคณะกรรมการ 2543 คณะทางานทั้งส่วนกลางและส่วน
โรงเรียน ภูมิภาค
5.1.4 การวางแผนกลยุทธ์สาหรับสถานศึกษาขั้น 2546
พื้นฐาน
5.2 งานวิจัย
ชื่องานวิจัย ปีที่ทา ผู้ร่วมทาวิจัย
5.2.1 รายงานวิจัย เรื่อง ผลการทดลองใช้แบบ 2525
ฝึกทักษะการอ่าน
5.2.2 รายงานการวิจัย เรื่อง การเปรียบเทียบ 2527 วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท
ความเที่ยงของแบบสอบอิงเกณฑ์เมื่อใช้
วิธีการกาหนดจุดตัดที่ต่างกัน
5.2.3 รายงานการสามะโนนักเรียน 2531
5.2.4 รายงานการประเมินโครงการคุรุทายาท 2532
5.2.5 รายงานการประเมินคุณภาพ 2534
นักเรียนชั้น ป.6
5.2.6 รายงานการวิจัย เรื่อง ผลของตัวแปรบาง 2540 วิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก
ตัวต่อความเที่ยงตรงเชิงสภาพและจานวน
ข้อสอบที่ใช้ในการทดสอบแบบปรับเหมาะ
ด้วยคอมพิวเตอร์
5.2.7 รายงานการวิจัย เรื่อง รูปแบบการจัด 2542
การศึกษาที่เหมาะสมสาหรับโรงเรียน
ประถมศึกษาขนาดเล็ก
318
ประวัติและผลงานของผู้ร่วมวิจัย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. เฟื่องอรุณ ปรีดีดิลก
1. ประวัติส่วนตัว
1.1 ชื่อ-นามสกุล ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.เฟื่องอรุณ ปรีดีดิลก
Associate Professor Fuangarun Preededilok, Ph.D.
1.2 ตาแหน่งปัจจุบัน ผู้อานวยการศูนย์บรรณสารสนเทศทางการศึกษา คณะครุสาสตร์ จุฬาฯ
1.3 สถานที่ติดต่อ (ที่ทางาน) สาขาวิชาพัฒนศึกษา ภาควิชานโยบาย การจัดการและความเป็นผู้นา
ทางการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาฯ
1.4 โทรศัพท์ 0 2218-2565 โทรสาร 0 2218-2562
1.5 E-mail: fuangarun.p@chula.ac.th
2. ประวัติการศึกษา (เริ่มตั้งแต่ปริญญาตรี)
3. ประวัติการรับราชการ/ปฏิบัติงาน
พ.ศ. 2551-ปัจจุบัน อาจารย์ประจา สาขาวิชาพัฒนศึกษา ภาควิชานโยบาย การจัดการและความเป็น
ผู้นาทางการศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
1 ตุลาคม 2557-ปัจจุบัน เลขานุการคณะกรรมการบริ หารหลักสูตรครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชา
พัฒนศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พ.ศ. 2555-18 ธันวาคม 2557 เลขานุการภาควิชานโยบาย การจัดการและความเป็นผู้นาทาง
การศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
1 ตุลาคม 2557-18 ธันวาคม 2557 เลขานุการสาขาวิชาพั ฒนศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย
พ.ศ. 2552-ปัจจุบัน คณะกรรมการบริหารหลักสูตรสาขาวิชาธุรกิจและอาชีวศึกษา คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
พ.ศ. 2553-2557 ผู้ช่วยคณบดี (รับผิดชอบด้านแผนและงบประมาณ) คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
320
4. ตาแหน่งปัจจุบัน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ในสาขาวิชาพัฒนศึกษาและผู้อานวยการศูนย์บรรณสารสนเทศทาง
การศึกษา คณะครุสาสตร์ จุฬาฯ
5. ผลงาน
5.1 ด้านการบริหาร
5.1.1 พ.ศ. 2555-18 ธันวาคม 2557 เลขานุการภาควิชานโยบาย การจัดการและความเป็นผู้นาทาง
การศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
5.1.2 1 ตุลาคม 2557-18 ธันวาคม 2557 เลขานุการสาขาวิชาพัฒนศึกษา คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
5.1.3 พ.ศ. 2553-2557 ผู้ช่วยคณบดี (รับผิดชอบด้านแผนและงบประมาณ) คณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
5.1.4 พ.ศ.2555-2557 เลขานุการคณะกรรมการบริหารคณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
5.1.5 พ.ศ. 2551-2556 ผู้ช่วยเลขานุการ ภาควิชานโยบาย การจัดการและความเป็นผู้นาทาง
การศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
5.1.6 พ.ศ. 2553-2556 เลขานุการ สาขาวิชาพัฒนศึกษา คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
5.1.7 พ.ศ. 2554-2556 กรรมการบริ ห ารศู น ย์ ต าราและเอกสารทางวิ ช าการ คณะครุ ศ าสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
5.2 ด้านวิชาการ
5.2.1 เฟื่องอรุณ ปรีดีดิลก. การพัฒนาที่ยั่งยืนในวิถีชีวิตชาวเบอร์ลิน (SUSTAINABLE
DEVELOPMENT IN THE BERLINER WAY OF LIFE). วารสารพฤติกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย
ศรีนครินทรวิโรฒ ปีที่ 18 ฉบับที่ 2 (กรกฎาคม 2555) หน้า 33-42.
5.2.2 เฟื่องอรุณ ปรีดีดิลก. แนวโน้มและทิศการพัฒนาการศึกษานานาชาติเพื่อการเป็นศูนย์กลางทาง
321
in the Globalized Age: Thailand as case study.” Paper presented at “The 2015
Global Conference on Teaching and Learning with Technology (CTLT 2015).” .
Singapore, June 9-11, 2015.
5.3 งานวิจัย
5.3.1 จรูญศรี มาดิลกโกวิท ชื่นชนก โควินท์ เฟื่องอรุณ ปรีดีดิลก พรทิพย์ อันทิวโรทัย. (2553). การ
จัดการศึกษาตลอดชีวิตเพื่อส่งเสริมความเป็นประชาธิปไตย, สานักงานเลขาธิการรัฐสภา.
5.3.2 เฟื่องอรุณ ปรีดีดิลก. (2555). “ทิศทางการเปิดหลักสูตรนานาชาติของคณะครุศาสตร์
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย” พิมพ์อัดสาเนาเย็บเล่ม, กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย.
5.3.3 พัชราวลัย วงศ์บุญสินและคณะ (2555) “การพัฒนาบุคลากรและผลิตภาพบุคลากรเพื่อรองรับ
การเปิดเสรีอาเซียน (ฉบับปรับปรุงเพิ่มเติม)” พิมพ์อัดสาเนาเย็บเล่ม, กรุงเทพมหานคร:
ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
5.3.4 ชนิตา รักษ์พลเมือง ณัฎฐภรณ์ หลาวทอง กมลวรรณ ตังธนกานนท์ เฟื่องอรุณ ปรีดีดิลก
สุมิตร สุวรรณ . (2556). โครงการประเมินผลการพัฒนากระบวนการเข้าสู่ตาแหน่งทาง
วิชาการของคณาจารย์ในสถาบันอุดมศึกษา (พิมพ์ครั้งที่ 2). กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์แห่ง
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
323
ประวัติและผลงานของผู้ร่วมวิจัย
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. สุวิธิดา จรุงเกียรติกุล
1. ประวัติส่วนตัว
สถานที่ทางาน สาขาวิชาการศึกษานอกระบบโรงเรียน ภาควิชาการศึกษาตลอดชีวิต
คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
2. ประวัติการศึกษา
คุณวุฒิ ปีที่จบ สถานศึกษา
2.1 ครุศาสตรบัณฑิต (ค.บ.เกียรตินิยมอันดับ 1) 2547 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
(การศึกษานอกระบบโรงเรียน-ภาษาอังกฤษ)
2.2 M.A. (English as an International 2549 Graduate School,
Language) Chulalongkorn
Multidisciplinary and International University
Program
2.3 Research Fellowship in the Andragogy 2553- Lindenwood University,
Emphasis Specialty, 2554 MO, U.S.A., (ได้รับทุนทาวิจัย
Doctoral Program, School of Education, จากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
Instructional Leadership, Lindenwood
University, MO, U.S.A.
2.4 ครุศาสตรดุษฎีบัณฑิต 2554 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
(การศึกษานอกระบบโรงเรียน)
3. ตาแหน่งปัจจุบัน
3.1 ผู้ช่วยคณบดีฝุายวิรัชกิจงานต่างประเทศ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (2557-
ปัจจุบัน) 3.2 ผู้ช่วยคณบดีฝุายวิจัยและบริการวิชาการ คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
(2556-2557)
3.3 รองผู้อานวยการบริหารศูนย์วิจัยและพัฒนาการศึกษาเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน
คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3.4 กรรมการและเลขานุการคณะกรรมการบริหารหลักสูตรครุศาสตรดุษฏีบัณฑิต สาขาวิชา
การศึกษานอกระบบโรงเรียน ภาควิชาการศึกษาตลอดชีวิต คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
3.5 เลขานุการคณะกรรมการสมาคมการศึกษาเปรียบเทียบแห่งภูมิภาคเอเชีย (Assistant
Secretary of the Comparative Education Society of Asia: CESA) (2555- ปัจจุบัน)
324
4. ผลงานทางวิชาการ/งานวิจัย
4.1 งานวิจัย
4.1.1 สุวิธิดา จรุงเกียรติกุล. ยุทธศาสตร์การพัฒนาสถาบันอุดมศึกษา (มหาวิทยาลัย)สู่การเป็น
สถาบันการเรียนรู้ตลอดชีวิต. ได้รับทุนส่งเสริมนักวิจัยรุ่นใหม่ ประจาปี 2558 จากสานักงาน
กองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.) (อยู่ระหว่างการดาเนินการ)
4.1.2 อาชัญญา รัตนอุบล วีรฉัตร์ สุปัญโญ วีระเทพ ปทุมเจริญวัฒนา มนัสวาสน์ โกวิทยา วรรัตน์
ปทุมเจริญวัฒนา สุวิธิดา จรุงเกียรติกุล. การพัฒนาแนวทางการขับเคลื่อนมหาวิทยาลัยวัยที่
สามเพื่อการเรียนรู้ตลอดชีวิตสาหรับผู้สูงอายุไทย. ได้รับทุนโครงการยุทธศาสตร์การวิจัยเชิง
ลึก กองทุนรัชดาภิเษกสมโภช จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (อยู่ระหว่างการดาเนินการ)
4.1.3 อาชัญญา รัตนอุบล วีระเทพ ปทุมเจริญวัฒนา มนัสวาสน์ โกวิทยา วรรัตน์ ปทุมเจริญวัฒนา
ณัฏฐลักษณ์ ศรีมี มีชัย สุวิธิดา จรุงเกียรติกุล และคณะ. การวิจัยเชิงเปรียบเทียบกรอบด้าน
นโยบายและยุทธศาสตร์กรณีของประเทศในประชาคมอาเซียนในรอบ 3 ทศวรรษ:
กรณีศึกษาประเทศเวียดนาม มาเลเซีย และอินโดนีเซีย. ได้รับทุนสนับสนุนจากสานักงานสภา
วิจัยแห่งชาติ, 2546.
4.1.4 สุวิธิดา จรุงเกียรติกุล และคณะ. การประเมินผลการดาเนินงานการศึกษานอกระบบและ
การศึกษาตามอัธยาศัย ของสานักงาน กศน. ตามแนวพระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษา
นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย. ได้รับทุนสนับสนุนจากสานักงานส่งเสริมการศึกษา
นอกระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย กระทรวงศึกษาธิการ, 2555.
4.1.3 ชนิตา รักษ์พลเมือง, สุวิธิดา จรุงกียรติกุล และคณะ. นโยบายและทิศทางการส่งเสริมการจัด
การศึกษาข้ามชาติ / ข้ามพรมแดน (Transnational Education) ของนานาชาติ.
งานวิจัยได้รับทุนสนับสนุนจากสานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา. (อยู่ระหว่างการดาเนินการ,
2555)
4.1.6 อาชัญญา รัตนอุบล และสุวิธิดา จรุงเกียรติกุล. อนาคตภาพรูปแบบมหาวิทยาลัยวัยที่สาม.
คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. 2554.
4.1.7 อาชัญญา รัตนอุบล ปาน กิมปี สารีพันธุ์ ศุภวรรณ วีระเทพ ปทุมเจริญวัฒนา มนัสวาสน์
โกวิทยา วรรัตน์ ปทุมเจริญวัฒนา ณัฏฐลักษณ์ ศรีมีชัย สุวิธิดา จรุงเกียรติกุล และระวี
สัจจโสภณ. การพัฒนาแนวทางการส่งเสริมการจัดการศึกษา/การเรียนรู้เพื่อการพัฒนา
ศักยภาพผู้สูงอายุ. กรุงเทพมหานคร : สานักงานเลขาธิการสภาการศึกษา, 2553.
4.1.8 Charungkaittikul, S., & Loima, J. (in press). Leadership for Learning? A Case
Study on Self-Leadership and Learning Organizations in Basic Education
325
Schools in Thailand.
Wirathep Pathumcharoenwattana, Kiatiwan Amatayakul, Manasawas Kovitaya,
and Suwithida Charungkaittikul. Research Study on Effectiveness and
Achievement of Using Mother Tongue for Ethnic Minority Learners.
Bangkok: APPEAL, UNESCO , Bangkok Thailand. 2009.
4.1.9 Wirathep Pathumcharoenwattana and Suwithida Charungkaittikul. Lifelong
Learning in Thailand. Bangkok: APPEAL, UNESCO , Bangkok Thailand. 2009
4.2 บทความ
4.2.1 สุวิธิดา จรุงเกียรติกุล และคณะ. การประเมินผลการดาเนินงานการศึกษานอกระบบและ
การศึกษาตามอัธยาศัยของสานักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบและการศึกษาตาม
อัธยาศัย (สานักงาน กศน.) ตามแนวพระราชบัญญัติส่งเสริมการศึกษานอกระบบและ
การศึกษาตามอัธยาศัย พ.ศ. 2551. กรุงเทพมหานคร: คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์
มหาวิทยาลัย, 2555.
4.2.2 สุวิธิดา จรุงเกียรติกุล. บทบาทการศึกษาตลอดชีวิตต่อการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ในยุคสังคม
แห่งการเรียนรู้ ใน ณัฏฐลักษณ์ ศรีมีชัย (บรรณาธิการ). ความเป็นผู้นาทางการศึกษานอก
ระบบและการศึกษาตามอัธยาศัย. กรุงเทพมหานคร : ศูนย์ตาราและเอกสารทางวิชาการ
คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2554, หน้า 224-257.
4.2.3 Suwithida Charungkaittikul and John A. Henschke. (2014). Strategies for
developing a sustainable learning society: An analysis of lifelong learning in
Thailand. The International Review of Education. Vol. 60, 499–522. DOI
10.1007/s11159-014-9444-y
4.2.4 Suwithida Charungkaittikul and John A. Henschke. The Scenario of a Learning
Society Model Toward Promoting Positive Paradigm Shift for Communities.
In the Proceeding of the30th Annual Midwest Research-to-Practice Conference
in Adult, Continuing, Community, and Extension Education. September 21-23,
2011. Lindenwood University: St. Charles, MO, U.S.A.
4.2.5 สุวิธิดา จรุงเกียรติกุล. หน่วยที่ ๖ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ในองค์กรและชุมชน. เอกสารชุด
วิชา การจัดการศึกษานอกระบบ หน่วยที่ 1-8 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 1. นนทบุรี:
มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช, 2556.
4.4 รางวัลและผลงานอื่นๆ
บทความวิจัย เรื่องอนาคตภาพรูปแบบสังคมแห่งการเรียนรู้เพื่อการปรับเปลี่ยนกระบวนทัศน์เชิงบวก
สาหรับชุมชน (THE SCENARIO OF A LEARNING SOCIETY MODEL TOWARD A POSITIVE PARADIGM
SHIFT FOR COMMUNITIES) ได้รับรางวัลบทความวิจัย ดีเยี่ยม ระดับชาติ ด้านการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
โครงการประกวดบทความวิจัยด้านพัฒนบริหารศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ประจาปี
2555 และได้รับการยกย่องจากวุฒิสภา ให้เป็นงานวิจัยที่มีคุณค่าต่อสังคม ประจาปี 2556 อีกด้วย