Professional Documents
Culture Documents
OPIOIDS
ผศ.พญ.ปิ ยะดา บุญทรง
ภาควิชาวิสญ
ั ญี วิทยา คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
ยากลุม่ opioids เป็ นยาระงับปวดกลุม่ ที+ได้ รับความนิยมมากที+สดุ ในการใช้ บําบัดรักษาอาการปวดจาก
สาเหตุตา่ งๆ เนื+องจากเป็ นยาที+มีประสิทธิภาพดี ออกฤทธิ6เร็ ว มียาและวิธีการบริ หารยาหลายวิธี แต่ในขณะเดียวกัน
ก็พบผลข้ างเคียงได้ การที+จะใช้ ยากลุม่ นี 8ได้ อย่างปลอดภัย จําเป็ นอย่างยิ+งที+ผ้ ใู ช้ ควรมีความรู้ ความเข้ าใจในเภสัช
วิทยาของยา ข้ อควรพิจารณาในการนํามาใช้ ทางคลินิก และการเฝ้าระวังต่างๆ เป็ นอย่างดี ในเอกสารนี 8ได้ กล่าวถึง
เภสัชวิทยา และการนํายากลุ่ม opioids มาใช้ ในทางคลินิกเพื+อบําบัดอาการปวดจากสาเหตุตา่ งๆ
Pharmacology of opioids
ฝิ+ นพบว่าถูกนํามาใช้ เพื+อบําบัดรักษาอาการปวดมานาน ซึง+ ฝิ+ นมีสารประกอบ alkaloids มากกว่า 25 ชนิด
แต่ที+พบว่ามีฤทธิ6ระงับปวดมีเพียงสองชนิดเท่านัน8 คือ morphine (ประมาณร้ อยละ10 จากนํ 8าหนักฝิ+ น) และ
codeine (ประมาณร้ อยละ0.5 จากนํ 8าหนักฝิ+ น) ซึง+ ผู้ที+สกัดสาร alkaloid ซึง+ ต่อมาได้ เรี ยกสารนันว่
8 า morphine ได้
สําเร็ จคือ Serturner ในปี ค.ศ. 1806 ส่วน codeine สกัดได้ ในปี ค.ศ.1832 และเมื+อมีการนํากระบอกฉี ดยาแก้ ว
และเข็มกลวงมาใช้ ในปี ค.ศ. 1853 จึงได้ มีการบริ หารยา morphine โดยการฉี ดตังแต่ 8 นนมา ั8
แต่เดิมเราเรี ยกยาที+สกัดจากฝิ+ นว่า opiates แต่ในปั จจุบนั มียาที+เป็ นอนุพนั ธ์กึ+งสังเคราะห์ และยาที+เป็ นสาร
สังเคราะห์ ซึง+ ออกฤทธิ6คล้ ายกับ morphine จึงเรี ยกยาในกลุม่ นี 8ทังหมดไม่
8 วา่ จะเป็ นสารสกัดจากธรรมชาติหรื อสาร
ที+สงั เคราะห์ขึ 8นว่า opioids ตารางที+ 1 แสดงถึงการแบ่งกลุม่ ของ ยากลุม่ opioids ตามการสังเคราะห์
การแบ่งกลุม่ ของ opioids อีกแบบ คือการแบ่งกลุม่ ตามการออกฤทธิ6ของ opiods ที+ opioid receptors ซึง+
การแบ่งกลุม่ แบบนี 8มีประโยชน์สําหรับนํามาใช้ ในทางคลินิก มากกว่าการแบ่งตามการสังเคราะห์ ซึง+ ในปั จจุบนั มี
การแบ่ง opioid receptors ออกเป็ น 3 ชนิดที+สําคัญ ได้ แก่ ได้ แก่ mu (µ), kappa (κ), delta (δ) โดยมี สาม mu
สาม kappa และ สอง delta แต่ละ receptor จะให้ ผลทางคลินิกที+คล้ ายคลึงกันและแตกต่างกัน (ตารางที+ 2) และ
opioid แต่ละชนิดอาจจะจับกับ receptor ได้ มากกว่าหนึ+งตัวก็ได้
2
Receptors Actions
Mu 1 Supraspinal and spinal analgesia, prolactin release, Increase feeding, sedation, euphoria,
miosis, bradycardia, hypothermia, urinary retention
Mu 2 Spinal analgesia, respiratory depression, constipation (marked), increase feeding, sedation,
physical dependence
Kappa 1 Analgesia, dysphoria, psychotomimetics, diuresis, sedation
Kappa 2 Pharmacology unknown
Kappa 3 Analgesia
Delta 1, 2 Supraspinal and spinal analgesia, respiratory depression, physical dependence,
constipation (mild), urinary retention
3
จากผลการออกฤทธ์ที+ opioid receptors สามารถแบ่งยากลุม่ opioids ได้ เป็ น 4 กลุม่ ดังนี 8 (ตารางที+ 3)
1. Agonists ยากลุม่ opioids ส่วนใหญ่จะอยู่ในกลุม่ นี 8 เมื+อยาจับกับ receptor จะพบว่ามีการออกฤทธิ6ของ
ยาเต็มที+ ไม่มีเพดานในการออกฤทธิ6 กล่าวคือยิ+งให้ ยาในขนาดที+สงู ขึ 8น จะได้ ฤทธิ6ที+มากขึ 8นไปด้ วย
ตัวอย่างเช่น morphine, pethidine, fentanyl, methadone เป็ นต้ น
2. Partial agonists คือยากลุ่มที+จบั กับ receptor จะออกฤทธิ6เหมือนกลุม่ agonists แต่เมื+อให้ ยาสูงจนถึง
ระดับหนึง+ แล้ ว ฤทธิ6ของยาจะไม่มากขึ 8น คือมีเพดานในการออกฤทธิ6นนั+ เอง ตัวอย่างยาเช่น
buprenorphine
3. Mixed agonist- antagonists คือกลุม่ ยาที+มีฤทธิ6 agonist ต่อ kappa receptor แต่มีฤทธิ6 antagonist ที+
mu receptor เมื+อบริ หารยากลุม่ นี 8พบว่ามีเพดานในการออกฤทธิ6เช่นเดียวกับกลุม่ ที+ 2 ตัวอย่างยาเช่น
nalbuphine, pentazocine, nalorphine
4. Antagonist เป็ นกลุม่ ยาที+เมื+อจับกับ receptor จะไม่มีฤทธิ6ทางเภสัชวิทยาใดๆ และมีความสามารถแย่งจับ
กับ receptor ได้ ดี ในกรณีที+ได้ รับยา opioids ในสามกลุม่ แรก จึงใช้ เป็ นยาแก้ ฤทธิ6ได้ ในกรณีที+ได้ รับยา
กลุม่ opioids ในสามกลุม่ แรกมากเกินไป ตัวอย่างยา เช่น naloxone, naltrexone
ตารางที+ 3 การแบ่งกลุม่ opioids ตามการออกฤทธิ6ที+ receptor
mu kappa delta
Agonists
Morphine +++ + +
Pethidine ++ + +
Fentanyl ++++ +
Methadone +++
Partial agonists
Buprenorphine Partial Agonist - -
Agonist-antagonists
Nalbuphine -- ++ +
Antagonist
Naloxone --- -- -
4
วิธีการให้ opioids เข้ าสูร่ ่างกายทําได้ หลายวิธี เช่น การรับประทาน ฉีดเข้ าหลอดเลือดดํา ฉี ดเข้ ากล้ ามเนื 8อ
ฉีดเข้ าใต้ ผิวหนัง ฉี ดเข้ าช่องไขสันหลัง (spinal opioid injection: ช่อง subarachnoid หรื อช่อง epidural) ซึมผ่าน
ทางผิวหนัง พ่นจมูก อมใต้ ลิ 8น อมในกระพุ้งแก้ ม เหน็บทวาร ในการให้ opioids ระหว่างให้ ยาระงับความรู้สึก นิยม
ให้ ทางหลอดเลือดดํามากที+สดุ ส่วนวิธีอื+นๆ นิยมให้ สําหรับเพื+อระงับปวดมากกว่า ซึง+ opioids สามารถใช้ เพื+อระงับ
ปวดได้ ทงภาวะปวดเฉี
ั8 ยบพลัน และเรื อ8 รัง (บางวิธีไม่มีในประเทศไทย)
เมื+อฉีดยาเข้ าหลอดเลือดดํา ระดับยาในเลือดจะสูงขึ 8นอย่างรวดเร็ ว หลังจากนันระดั
8 บยาในเลือดจะลดลง
อย่างรวดเร็ วเนื+องจากมีการกระจายของยาไปยังเนื 8อเยื+อต่างๆ เรี ยกระยะนี 8ว่า distribution phase หลังจากนัน8
ระดับยาในเลือดจะค่อยๆ ลดลงเนื+องจากยาถูกเปลี+ยนแปลงและขับออกจากร่างกาย เรี ยกระยะนี 8ว่า elimination
6
Metabolites Elimination
ผลหลักของยากลุม่ opioids ที+เราต้ องการคือการระงับปวด แต่เนื+องด้ วย opioid receptors มีอยูท่ วั+ ไปใน
ร่างกาย ทําให้ มีผลที+ไม่พงึ ประสงค์หลายอย่าง ดังนี 8
ผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง
ทําให้ เกิดอาการง่วงซึม การรับรู้ ตอ่ สิ+งแวดล้ อมลดลง ภาวะง่วงซึมเป็ นภาวะแทรกซ้ อนที+พบได้ บอ่ ย และ
เป็ นเหมือนสัญญาณเตือน ถ้ าง่วงซึมมากแสดงว่าขนาดยาเริ+ มมากไป จนอาจเกิดภาวะกดการหายใจตามมาได้
ควรระมัดระวังในผู้ป่วยสูงอายุ ผู้ป่วยที+มีอาการหนักหรื ออ่อนแอมาก
มีภาวะทางอารมณ์เปลี+ยนแปลงไป เช่น euphoria, dysphoria
Opioids ทําให้ เกิดการหดตัวของรูมา่ นตา ซึง+ เกิดจากการกระตุ้น mu receptor ที+ Edinger-Westpal
nucleus ของเส้ นประสาท oculomotor การหดตัวของรูม่านตาจะสัมพันธ์กบั ขนาดยาที+ให้ ด้วย คือยิ+งใช้ ขนาดสูง รู
ม่านตายิ+งจะหดตัวเล็กลงมาก
ในผู้ป่วยที+ออ่ นแรงมากๆหรื อผู้ป่วยหนัก เช่นผู้ป่วยมะเร็ งระยะสุดท้ าย ผู้ป่วยภาวะไตวาย ผู้ป่วยที+ได้
opioid ขนาดสูงหรื อได้ ยากลุม่ ที+มีผลต่อจิตประสาทร่วมด้ วย อาจพบอาการพูดเพ้ อเจ้ อและการเห็นภาพหลอน
(delirium และ hallucination) ได้
opioids ขนาดสูง ทําให้ เกิดการชักในสัตว์ทดลองได้ แต่ขนาดที+ใช้ ทางคลินิกมีโอกาสเกิดการชักน้ อยมาก
ตัวยาที+ควรระมัดระวังคือ pethidine เนื+องจาก metabolite ของ pethidine คือ norpethidine มีฤทธิ6กระตุ้นระบบ
ประสาทส่วนกลางได้ ทําให้ เกิดอาการกระสับกระส่าย มือสัน+ กระตุกของกล้ ามเนื 8อ จนถึงชักได้ ถ้าปริ มาณ
8
norpethidine สะสมมาก จึงควรเลี+ยงการใช้ pethidine ในขนาดสูง หรื อเลี+ยงการใช้ เป็ นระยะเวลานาน โดยปกติ
norpethidine จะถูกขับออกทางไต ดังนันการใช้
8 pethidine ในผู้ป่วยโรคไตควรระมัดระวังเป็ นอย่างมากด้ วย
การกดการหายใจ
เป็ นผลข้ างเคียงที+รุนแรงที+สดุ เพราะอาจทําให้ เสียชีวิตได้ ถ้ าแก้ ไขไม่ทนั เป็ นผลจากการกระตุ้น mu 2
receptor โดยมีผลต่อศูนย์ควบคุมการหายใจในสมองส่วน medulla ทําให้ มีการตอบสนองต่อการเพิ+มขึ 8นของก๊ าซ
คาร์ บอนไดออกไซด์ลดลงจนถึงไม่ตอบสนองเลย และมีการลดการตอบสนองต่อภาวะที+ขาดออกซิเจนด้ วย ยิ+งใช้
opioids ขนาดสูงผลการกดการหายใจก็จะเพิ+มมากขึ 8น จนหยุดหายใจได้ การกดการหายใจจะมีผลกดทังอั 8 ตรา
การหายใจและจังหวะของการหายใจ โดยจะเริ+ มจากผู้ป่วยจะง่วงซึมลงก่อน ตามด้ วยหายใจช้ าลงเรื+ อยๆ ถ้ ายา
ขนาดมากขึ 8น ผู้ป่วยจะเริ+ มหายใจแบบ Cheyne-Stokes และหยุดหายใจในที+สดุ ยา strong opioids ทุกตัว ถ้ าใช้
ที+ equivalent dose กันแล้ วมีฤทธิ6กดการหายใจไม่ตา่ งกัน (การเปรี ยบเทียบ potency ของฤทธิ6ระงับปวดของยา
ในกลุม่ นี 8 เราใช้ เทียบกับยาต้ นแบบ คือ morphine เป็ นหลัก โดยให้ morphine มี potency เท่ากับ 1 ตัวอย่าง ตาม
ตารางที+ 7)
ผลต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด
ในขนาดที+ใช้ ในการระงับปวดทัว+ ไป จะมีผลต่อระบบนี 8น้ อย อย่างไรก็ดี opioids ขนาดสูง ทําให้ มีการ
ลดลงของ sympathetic vascular tone ได้ จึงควรระมัดระวังในผู้ป่วยที+มีภาวะพร่ องนํ 8า เลือด ผู้ป่วยที+มี poor
cardiac function ผู้ป่วยสูงอายุ และยากลุม่ opiods บางตัวเช่น morphine, pethidine กระตุ้นให้ มีการหลัง+ สาร
ฮีสตามีนโดยตรง ทําให้ หลังการฉีดยาในผู้ป่วยบางรายจะสังเกตเห็นผื+นแดง คัน ลมพิษขึ 8นได้ ถ้ ามีการกระตุ้นการ
หลัง+ ฮีสตามีนออกมามากๆ จะทําให้ หลอดเลือดขยายตัวมาก ความต้ านทานของหลอดเลือดส่วนปลายลดลงมาก
เป็ นผลทําให้ ความดันโลหิตตํ+าลงได้ และควรระมัดระวังการใช้ ยากลุม่ ที+มีการกระตุ้นการหลัง+ ฮีสตามีนในผู้ป่วยที+มี
โรคหอบหืดหรื อ chronic obstructive pulmonary disease (COPD) ด้ วย
9
opioids ในขนาดสูงมากยังทําให้ หวั ใจเต้ นช้ าลง โดยเฉพาะ เมื+อใช้ fentanyl แต่ใน pethidine อาจทําให้
หัวใจเต้ นเร็ วขึ 8นได้ จากฤทธิ6ที+คล้ าย atropine แบบอ่อน
อาการคลื+นไส้ อาเจียน
เป็ นผลข้ างเคียงที+พบได้ บอ่ ยและก่อให้ เกิดความไม่สบายค่อนข้ างมาก จนทําให้ ผ้ ปู ่ วยส่วนหนึง+ ไม่อยาก
ใช้ opioids อาการคลื+นไส้ อาเจียนเกิดจากการกระตุ้น mu receptor ที+ chemoreceptor trigger zone ( CTZ )
ซึง+ เป็ นศูนย์ควบคุมการอาเจียน นอกจากนัน8 opioids ยังเพิ+ม vestibular sensitivity ทําให้ ผ้ ปู ่ วยแม้ มีการ
เคลื+อนไหวเพียงเล็กน้ อย เช่น หันศีรษะ ลุกจากเตียง ก็สามารถทําให้ เกิด อาการคลื+นไส้ อาเจียนได้
ผลต่อระบบทางเดินอาหาร
opioids ทําให้ การเคลื+อนไหวของระบบทางเดินอาหารลดลง การหลัง+ นํ 8าย่อยลดลง มี delayed gastric
emptying time เกิดภาวะท้ องอืด และท้ องผูกได้ ยากลุม่ opioids ยังมีผลต่อการหดตัวของ sphincter of Oddi
และเพิ+มความดันในท่อนํ 8าดีได้
ผลต่อระบบทางเดินปั สสาวะ
พบภาวะปั สสาวะลําบากได้ ไม่วา่ จะบริ หารยาทางไหน แต่จะพบบ่อยกว่าเมื+อบริ หารยาทางช่องไขสัน
หสัง เป็ นผลจากการทํางานไม่สมั พันธ์กนั ของกล้ ามเนื 8อ detrusor และกล้ ามเนื 8อหูรูดของท่อปั สสาวะ
อาการคัน
พบได้ ไม่วา่ จะบริ หารยาทางไหน แต่จะพบบ่อยกว่าเมื+อบริ หารยาทางช่องไขสันหสัง โดยจะพบจากการใช้
morphine บ่อยกว่าตัวอื+น เชื+อว่าอาการคันเกิดจากการกระตุ้น mu receptor บริ เวณ medullary dorsal horn
ไม่ได้ เกิดจากการหลัง+ สารฮีสตามีน แต่พบว่าการใช้ ยาต้ านฮีสตามีน ก็สามารถช่วยเลดอาการคันได้ ซึง+ คาดว่าเป็ น
ผลจากยาต้ านฮีสตามีนที+ทําให้ ง่วง
Myoclonus
พบได้ ในกรณีที+ใช้ opioids ขนาดสูงหรื อใช้ เป็ นเวลานานๆ ส่วนใหญ่จะพบอาการกระตุกของกล้ ามเนื 8อ
ช่วงที+เข้ าสูภ่ าวะนอนหลับหรื อช่วงที+นอนหลับไม่ลกึ โดยทัว+ ไปอาการจะไม่รุนแรงและหายไปได้ เอง
ภาวะดื 8อยา ( Tolerance)
มักพบว่าเมื+อใช้ opioid ไประยะหนึง+ ผู้ป่วยจะตอบสนองต่อยาลดลง กล่าวคือ เพื+อให้ ได้ ประสิทธิภาพของ
ยาเท่าเดิม ผู้ป่วยจะต้ องการยาในปริ มาณที+มากขึ 8น ถี+ขึ 8นเพราะระยะเวลาการออกฤทธิ6ของยาสันลงด้
8 วย ภาวะนี 8
เกิดจากการปรับตัวทางสรี รวิทยาของร่ างกายต่อยากลุม่ opioids กลไกการเกิดเชื+อว่า mu receptor มีการปรับตัว
10
โดยลดจํานวน receptor ที+ตอบสนองต่อยาลง และ cAMP เพิ+มจํานวนมากขึ 8น การเกิด tolerance ไม่ได้ เกิด
เฉพาะฤทธิ6ระงับปวดเท่านัน8 แต่เกิดกับผลข้ างเคียงอื+นๆของ opioids ด้ วยคือจะเกิด tolerance ต่อภาวะกดการ
หายใจ การง่วงซึม การคลื+นไส้ อาเจียน มีผลข้ างเคียงที+ไม่เกิด tolerance คืออาการท้ องผูกและการหดตัวของรูมา่ น
ตา
โดยทัว+ ไปเมื+อเกิดภาวะดื 8อยาขึ 8น และผู้ป่วยยังต้ องการยาเพื+อระงับปวด ก็จะเปลี+ยนไปใช้ ยา opioid กลุม่
agonists ตัวอื+นแทนแต่ก็อาจพบการดื 8อยา ( incomplete cross tolerance) จาก opioid ตัวใหม่ที+ใช้ ได้
ภาวะการติดยา ( Dependence)
Physical dependence: เมื+อใช้ opioid ในขนาดที+เพียงพอ สมํ+าเสมอ ต่อเนื+องไประยะเวลาหนึ+ง
โดยทัว+ ไปมักเกิดเมื+อได้ รับยา opioid สมํ+าเสมอนาน 1 ถึง 2 สัปดาห์ ร่างกายจะเกิดภาวะชินยา ทําให้ เวลาที+หยุด
ใช้ ยากลุม่ นี 8ทันที หรื อลดขนาดยาลงอย่างรวดเร็ ว หรื อได้ ยา antagonist เข้ าไป ร่างกายจะมีปฏิกิริยาถอนยา
(withdrawal) เกิดขึ 8นคือ มีอาการกระสับกระส่าย อารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉี ยว ขนลุก คลื+นไส้ อาเจียน หาวแต่นอนไม่
หลับ ปวดกล้ ามเนื 8อ กล้ ามเนื 8อกระตุก นํ 8าตาไหล นํ 8ามูกไหล เหงื+อออก ปวดท้ อง ท้ องเสีย กลไกการเกิดยังไม่ทราบ
แน่ชดั แต่คิดว่าอาจเกิดจากการเพิ+มขึ 8นของ cAMP อย่างรวดเร็ ว ทําให้ การทํางานของ adenylate cyclase
เพิ+มขึ 8นตาม
Addiction: ในปั จจุบนั ถือว่าเป็ นโรคทางระบบประสาท (neurobiology) ซึง+ มีพนั ธุกรรม จิตใจ สิ+งแวดล้ อม
และความสัมพันธ์ทางสังคมเข้ ามาเกี+ยวข้ อง ผู้ป่วยกลุม่ นี 8ถือเป็ นผู้ที+มีภาวะเสพติดยา มีพฤติกรรมการใช้ ยาอย่างไม่
เหมาะสม ใช้ ยาโดยไม่มีข้อบ่งชี 8แต่ใช้ เพื+อหวังผลทางจิตใจบางอย่าง มีพฤติกรรมที+ดิ 8นรนในการที+จะได้ ยามาอย่าง
มาก ส่วนใหญ่จะเสาะแสวงหายาโดยมิได้ คํานึงถึงความถูกต้ อง ทําให้ เกิดอันตรายต่อทังตนเองและผู 8 ้ อื+น ผู้ป่วย
กลุม่ นี 8เมื+อขาดยาจะพบอาการถอนยาที+รุนแรงจนอาจเสียชีวิตได้
Pethidine
pethidine ในประเทศไทยมีเฉพาะแบบ Injectable form สําหรับ ฉีดเข้ าหลอดเลือดดํา ฉีดเข้ ากล้ ามเนื 8อ
ฉีดเข้ าใต้ ผิวหนัง หรื อฉีดเข้ าช่องไขสันหลัง ( 1 ampule: 1 มิลลิลิตร: ยา pethidine 50 มิลลิกรัม) ระยะเวลาในการ
ออกฤทธิ6 และช่วงห่างของการบริ หารขึ 8นกับวิธีในการบริ หารยา
การใช้ pethidine ในทางคลินิกให้ ใช้ เพื+อระงับปวดในภาวะปวดแบบเฉียบพลันเท่านัน8 เนื+องจากถ้ าใช้ ระยะ
เวลานานจะมีการสะสมของเมตาบอไลท์คือ norpethidine ตามที+ได้ กล่าวไปแล้ ว และห้ ามใช้ ยานี 8ในผู้ป่วยที+ได้ รับ
ยา กลุม่ monoamine oxidase inhibitor มาก่อน เพราะจะทําให้ เกิด serotonin syndrome ได้
Fentanyl
ในประเทศไทยมี fentanyl สองรูปแบบดังนี 8
1. แบบฉี ด (Injectable form) สําหรับ ฉี ดเข้ าหลอดเลือดดํา หรื อฉี ดเข้ าช่องไขสันหลัง (1 ampule มีตวั ยา
fentanyl 0.1 มิลลิกรัม) ระยะเวลาในการออกฤทธิ6 และช่วงห่างของการบริ หารขึ 8นกับวิธีในการบริ หารยา
สามารถนําใช้ ใช้ ในทางวิสญ
ั ญี และใช้ เพื+อระงับปวดทังแบบเฉี
8 ยบพลันและเรื อ8 รังเช่นเดียวกับ morphine
2. แผ่นปิ ดผิวหนัง (Transdermal therapeutic system) fentanyl ละลายในไขมันได้ ดีและมีประสิทธิภาพสูง
เป็ นยา opioid ตัวแรกที+บริ หารโดยเป็ นแผ่นปิ ดผิวหนัง เป็ นการบริ หารยาที+ง่าย ไม่ยงุ่ ยาก แต่มีระยะเวลา
12
ในการออกฤทธิ6ช้ามาก คือ ประมาณ 12-24 ชัว+ โมง และยาออกฤทธิ6นาน 72 ชัว+ โมง วิธีการบริ หารแบบนี 8
ไม่เหมาะสําหรับการใช้ ในทางวิสญ
ั ญีหรื อการระงับปวดแบบเฉียบพลัน จะใช้ เฉพาะกรณีปวดแบบเรื อ8 รัง
เท่านันเช่
8 นปวดจากมะเร็ ง ขนาดของ fentanyl transdermal patch มีหลายขนาด (แผ่น 12.5, 25 และ 50
ไมโครกรัมต่อชัว+ โมง)
Methadone
ในประเทศไทยที+ใช้ สําหรับวัตถุประสงค์เพื+อระงับปวดมีเฉพาะแบบเม็ดเท่านัน8 1 เม็ดมียา 10 มิลลิกรัม
(methadone มีรูปแบบยานํ 8าด้ วยซึง+ ใช้ สําหรับผู้ตดิ ยาเสพติดที+ต้องการเลิกยา) methadone เป็ นยาที+มี elimination
half-life นานมาก เมื+อบริ หารยาซํ 8าๆ ทําให้ ยามีฤทธิ6นานขึ 8น เพราะมีการสะสมของยาในร่างกาย ทําให้ การปรับยา
ค่อนข้ างยาก นิยมใช้ ในการระงับปวดเรื อ8 รัง
Weak opioids ที+มีใช้ ในประเทศไทย
Codeine
codeine มีฤทธิ6ออ่ นกว่ามอร์ ฟีนมาก ในประเทศไทยมีเฉพาะรูปแบบรับประทาน ตัว codeine แทบไม่มี
ฤทธิ6ระงับปวด เมื+อรับประทานเข้ าไปในร่างกายจะถูกเปลี+ยนโดยเอนไซม์ CYP2D6 ในตับเป็ น morphine
(ประมาณ6-15%) ในรูปแบบรับประทานขนาด 30-60 มิลลิกรัม จะมีฤทธิ6ระงับปวดอยูไ่ ด้ นาน 6 ชัว+ โมง ใช้ บําบัด
อาการปวดซึง+ ไม่รุนแรงมาก ผลข้ างเคียงคล้ าย morphine แต่ไม่รุนแรงเท่า codeine ที+จําหน่ายในประเทศไทย มี
ในรูปแบบที+ผสมกับ paracetamol ด้ วย โดยผสม paracetamol 300 มิลลิกรัมต่อ codeine 15 หรื อ 30 มิลลิกรัม
ใช้ ได้ ทงภาวะปวดแบบเฉี
ั8 ยบพลัน และ เรื อ8 รัง ขนาดยาที+แนะนําให้ ใช้ คือ 15 ถึง 60 มิลลิกรัม ทุก 6 ชัว+ โมง
Tramadol
tramadol เป็ นยาสังเคราะห์ที+มีกลไกการออกฤทธิ6สองแบบ คือ ระงับปวดโดยการกระตุ้น mu receptor
แบบ weak agonist และออกฤทธิ6ยบั ยังการ8 reuptake ของ serotonin และ norepinephrine ในไขสันหลัง ยามีทงั 8
แบบฉี ดและแบบรับประทาน tramadol มีเมตาบอไลท์ที+มีฤทธิ6ระงับปวดด้ วยคือ M1(O-desmethyltramadol)
ซึง+ ฤทธิ6ระงับปวดของ M1 แรงกว่าตัว tramadol ผลข้ างเคียงเด่นๆ ของ tramadol คือ เวียนศีรษะ คลื+นไส้
อาเจียน ง่วงซึม ปากแห้ ง ปวดศีรษะ orthostatic hypotension ส่วนการกดการหายใจและอาการท้ องผูก พบได้
น้ อยกว่า morphine ใช้ ได้ ทงภาวะปวดแบบเฉี
ั8 ยบพลัน และ เรื อ8 รัง
ขนาดยาที+แนะนําให้ ใช้ คือ 50 ถึง 100 มิลลิกรัม ทุก 6 ชัว+ โมงโดยไม่ควรเกิน 400 มิลลิกรัมต่อวัน
tramadol ที+จําหน่ายในประเทศไทย มีในรูปแบบที+มีเฉพาะ tramadol คือ แบบแคปซูล 50 มิลลิกรัม แบบ
เม็ด 100 มิลลิกรัม แบบฉี ด 1 ampule มียา 100 มิลลิกรัม และยังมีที+ผสมกับ paracetamol เช่นกันในอัตราส่วน
tramadol 37.5 มิลลิกรัม และ paracetamol 325 มิลลิกรัม ซึง+ ในรูปแบบนี 8จะทําให้ ออกฤทธิ6ได้ เร็ วขึ 8น
13
รูปแบบที+มีใช้ ในประเทศไทยคือแบบฉี ด โดย 1 ampule มียา naloxone 0.4 มิลลิกรัม การให้ naloxone
เพื+อแก้ ฤทธิ6 opioid agonist ควรให้ ยาทีละน้ อย เพื+อหวังผลแก้ เฉพาะผลข้ างเคียง แต่ฤทธิ6ระงับปวดยังอยู่ เพราะ
ถ้ าให้ ขนาดสูงเลยฤทธิ6ระงับปวดจะถูกต้ านไปด้ วย ทําให้ ผ้ ปู ่ วยกลับมาปวดมากทันที นอกจากนี 8การให้ naloxone
ขนาดสูงเร็ วๆ อาจเกิดอันตรายได้ (ความดันโลหิตสูง หัวใจเต้ นเร็ วขึ 8นหรื อเต้ นผิดปกติ ความดันโลหิตในปอดสูงขึ 8น)
5. ปั สสาวะคัง+
อาจต้ องสวนปั สสาวะช่วยเป็ นครัง8 ๆ แต่ถ้ามีอาการอยู่ตลอด ให้ ลดขนาดยา opioid ลงหรื อ
พิจารณาเปลี+ยนชนิดของ opioid
6. อาการคัน
ใช้ ยาต้ านฮีสตามีน (ระวังอาจมีอาการง่วงซึมเพิ+ม) ถ้ าอาการรุนแรงพิจารณาให้ naloxone ขนาด
ตํ+า
สรุ ป
ยากลุม่ opioids เป็ นยาระงับปวดที+มีประสิทธิภาพดี สามารถนํามาใช้ ในทางวิสญ ั ญี และใช้ เพื+อบําบัดรักษา
ความปวดทังแบบเฉี
8 ยบพลันและเรื อ8 รังได้ ดี มียาให้ เลือกใช้ หลายตัว และบริ หารยาได้ หลายวิธี แต่การที+จะใช้ ยาได้
อย่างมีประสิทธิภาพและปลอดภัย จําเป็ นอย่างยิ+งที+ผ้ ใู ช้ และผู้ให้ การดูแลรักษาควรมีความรู้พื 8นฐานของเภสัชวิทยา
ของยา วิธีบริ หารยาที+เหมาะสม ข้ อควรระวังในยาแต่ละตัว การดูแลรักษาผลข้ างเคียงจากยา การเลือกผู้ป่วยที+
เหมาะสมกับยาแต่ละชนิด หรื อแต่ละวิธีบริ หารยา และ โดยเฉพาะอย่างยิ+ง ควรมีความรู้ในการประเมิน การ
ติดตาม และเฝ้าระวังผู้ป่วยอย่างสมํ+าเสมอ
16
บรรณานุกรม
1. Dickenson AH, Kieffer BL. Opioids: basic mechanism. In: McMahon SB, Koltzenburg M, Tracy I,
Turk DC, eds. Wall and Melzack’s textbook of pain 6th ed. Philadelphia: Elsevier Saunders, 2013;
413-28
2. Schug SA. Opioids: clinical use. In: McMahon SB, Koltzenburg M, Tracy I, Turk DC, eds. Wall
and Melzack’s textbook of pain 6th ed. Philadelphia: Elsevier Saunders, 2013; 429-43
3. Fukuda K. Opioid analgesics. In: Miller RD. ed. Anesthesia 8th ed. Philadelphia: Elsevier
Saunders, 2015; 864-914
4. Analgesic drugs. In: Calvey TN, Williams NE eds. Principles and practice of pharmacology for
anesthetists 5th ed, Oxford: Blackwell Publishing 2008; 195-226
5. Coda BA. Opioids. In: Barash PG, Cullen BF, Stoelting RK, eds. Clinical anesthesia 5th ed.
Philadelphia: Lippincott William & Wilkins, 2006; 353-83.
6. Macintyre PE, Schug SA. Pharmacology of opioids. In: Macintyre PE, Schug SA , et al. Acute
pain management 3rd ed. Edinburge; Saunders, 2007; 42-70
7. Miyoshi HR, Leckband SG. Systemic opioid analgesics. In Loeser JD et al. Bonica’s
management of pain 3rd ed. Philadelphia: Lippincott William & Wilkin, 2001; 1682-709
8. Opioid agonists and antagonists. In Stoelting RK, Hillier SC. Pharmacology and physiology in
anesthetic practice 4th ed. Philadelphia: Lippincott William & Wilkin, 2006; 87-126
9. Rowbotham DJ, Gomez AS, Heffernan A. Clinical pharmacology: opioids. In Macintyre PE,
Walker SM, Rowbotham DJ. Clinical pain management, Acute pain 2nd ed. London: Hodder
Arnold, 2008; 53-67