Professional Documents
Culture Documents
Precast Concrete
ความเป็ นมา
ในระยะเวลา 5 - 6 ปี ที่ผา
่ นมา ประเทศไทยมีการเจริญเติบโตด้านอุตสาหกรรมและ
ระบบ Precast
การก่อสร้างอาคารสูง บ้านจัดสรร คอนโดมิเนี ยมที่เกิดขึ้นพร้อมๆ เพื่อตอบสนอง
ความต้อการของลูกค้า
กับอาคาร
การวิวัฒนาการอุตสาหกรรมการก่อสร้างก็ได้มีการเปลี่ยนจากเดิมมาย การนำาเอา
ระบบ Precast เข้ามาช่วยแก้ปัญหาการก่อสร้างต่างๆ ระบบ Precast ในปั จจ
รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ไม่ว่าจะเป็ นอาคารชุด ศูนย์การค้า หรือ อาคารสูงๆ
แต่อย่างไรก็ตามระบบ Precast ก็มีท้ังจุดเด่นและจุดด้อย ซึ่งวิศวกรจะนำามาประยุกต
ใช้กบ
ั งานให้เหมาะสมกับงานของตัวเอง
ระบบชิ้นส่วนสำาเร็จรูป( Precast Concrete )
ระบบก่อสร้างสำาเร็จรูปเกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองต่ออาคารที่พักอาศัยเป็ นหลักใน
ระยะเริ่มต้น อย่างไรก็ตามระบบก่อสร้างสำาเร็จรูปนี้ ได้ถูกทบทวนและนำามาเปรียบเทียบ
ข้อดีข้อเสีย กับระบบก่อสร้างแบบเดิมเพื่อตัดสินใจในการเลือกแนวทางการก่อสร้างอยู่เสมอ
ความไม่เข้าใจในระบบของผู้ออกแบบและผู้กอ ่ สร้างทำาให้การก่อสร้างด้วยระบบสำาเร็จรูป
ไม่เป็ นที่นิยมเมื่อเปรียบเทียบต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นอย่างมากของระบบสำาเร็จรูป และ
ไม่ประสบความสำาเร็จในหลายๆ โครงการ ทำาให้นักลงทุนหรือเจ้าของอาคารเลือกที่จะใช้
กระบวนการก่อสร้างแบบเดิมๆ ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าทำาให้ความต้องการการก่อสร้างระบบ
สำาเร็จรูปเต็มรูปแบบมีความนิ ยมลดน้อยลงเรื่อยๆ ในปั จจุบันเทคโนโลยีในการก่อสร้างและ
การขนส่ง เปิ ดโอกาสให้ระบบสำาเร็จกลับมาได้รับความนิ ยมอีกครั้ง หากผู้บริหารโครงการ
หันมาทำาความเข้าใจและศึกษาในหัวข้อนี้ อย่างจริงจัง ระบบสำาเร็จรูปก็น่าจะเป็ นทางเลือก
ในการก่อสร้างที่ดอ ี ีกทางหนึ่ ง เนื่ องจากสามารถดำาเนิ นการได้อย่างรวดเร็ว มีต้นทุนตำ่า
คุณภาพดี อีกด้วย
จุดเด่นของระบบ Precast คือ
1. จะต้องมีการขนย้ายในการติดตั้งอุปกรณ์เครื่องมือเป็ นพิเศษและค่าใช้จ่ายสูง
ระบบ Precast ที่นิยมใช้เมืองไทยมี ดังนี้
ระบบแบบผสม
mes ิ้ ส่วน Precast
ระบบนี้ จะใช้ชน นำามาต่อกันเป็ น Frame action ดังแ
กำาแพงรับแรง ( Bearing Wall Structure )
Precast แบบนี้ จะเหมาะสำาหรับอาคารอพาร์ทเมนท์ ซึ่งมีอิฐก่อกำาแพงค่อนข้างมากโดยกา
ห้กำาแพงทำาหน้าที่ท้ังเป็ นผนังและเสาไปในตัวพร้อมๆกัน การใช้กำาแพง Precast ทำาให้การ
้ กำาแพงความทึบแบบ Precast
ดเร็ว ผนังกำาแพงมีความเรียบร้อยและสวยงามมากขึน ย
งและทนต่อไฟไหม้ได้ดีกว่าอิฐธรรมดา
โครงสร้าง Precast กำาแพงรับแรงดันภายนอก ( Facade )
ครงสร้างแบบนี้ คล้ายกับแบบ Bearing Wall แต่จะติดตั้งอย่ภ
ู ายนอกอาคารทั้งหมด
กำาแพง Facade นี้ นอกจากจะออกไว้รับแรงแล้วยังมีการตกแต่งกำาแพงให้มีสีสรรลวด
ลายต่างๆ และรูปร่างที่สวยงาม
ง Precast ระบบพื้นและหลังคา (Precast Floors and Ro
recast Floors เป็ นที่นิยมใช้ในประเทศไทยกันอย่างแพร่หลาย ซึ่งมีการผลิตทันท
รูปแบบต่างๆ มากมาย จุดเด่นของงานระบบพื้น Precast ก็คือความสามารถที่จะ
าการก่อสร้างพื้นได้อย่างรวดเร็ว โดยไม่ตอ
้ งใช้ไม้แบบ หรือพื้นคำ้ายัน
โครงสร้าง Precast ระบบพื้น
โครงสร้าง Precast ระบบพื้น
โครงสร้าง Precast ระบบหลังคา
cast บ้าน Module สำาเร็จ ( Module System หรือ cell sys
ระบบ Precast แบบนี้ เป็ นการก่อสร้างบ้านทั้งหลังหรือบางส่วนของบ้านสำาเร็จจาก
ภายนอกและยกมาวาง โดยทั่วไปบ้านแบบ Module จะมีการตบแต่งพร้อมเสร็จเมื่อ
นำามาติดตั้งนั้น คือ ระบบไฟฟ้ าห้องนำ้า ไฟฟ้ าแสงสว่าง เฟอร์นิเจอร์ต่างๆ มาพร้อม
กับงานโครงสร้าง
ข้อดีของบ้านระบบนี้ คือ ความรวดเร็วในการเปิ ดอาคารให้ลก
ู ค้าได้ใช้ แต่มีข้อจำากัด
อยู่ตรงรูปร่างอาคารจะมีรูปแบบตายตัว และขนาดของ Module ต้องไม่ใหญ่มากนัก
มิฉะนั้นจะไม่สะดวกในการขนย้ายจากโรงผลิตมายังสถานที่ก่อสร้างได้
ระบบแบบผสม
- ชิน
้ ส่วนPrecast ควรจะมีรูปแบบเรียบง่าย และรูปแบบต้องซำ้ากันให้มากที่สด
ุ
เพื่อสะดวกในการลดจำานวนแบบที่ใช้ในการผลิตได้
-ทำหลี กเลี่ยงวิธีท่ีมก
ี ารเจาะทะลุแบบมากเกินไป เพราะจะทำาให้การทำางานยากและ
าให้ไม้ชำารุดได้ง่าย
- ชิน้ ส่วนมีขนาดและรูปร่างที่สามารถขนส่งจากโรงงานผลิตไปยังสถานที่
ก่อสร้าง โดยใช้รถขนส่งวัสดุท่ัวไป
-ขนย้
หลีกเลี่ยงชิน
้ ส่วนที่มแ
ายทำาได้ยาก
ี ขนขายื่นออกมา ซึง
่ จะทำาให้การขนส่งติดขัดและการ
-ขนย้
หลีกเลี่ยงชิ้นส่วนที่มีแขนขายื่นออกมา ซึ่งจะทำาให้การขนส่งติดขัดและการ
ายทำาได้ยาก
Connection
ใช้ ที่ทำางานง่ายในสนาม เพื่อความรวดเร็วและป้ อง
กันความผิดพลาด
- ควรจะออกแบบให้การติดตั้งใช้ Crane และเครื่องยกหนักให้นอ ้ ยที่สด ุ ชิ้นส่วน
หลักควรจะออกแบบให้สมารถแขวนลอย เพื่อการเคลื่อนย้ายชิ้นส่วนเข้าที่ได้เร็ว
ประหยัดเวลาการใช้เครน
-การตั
ต้องมียะระเผื่อสำาหรับความคลาดเคลื่อนของตำาแหน่ งที่ต้องต่อกัน เพื่อหลีกเลี่ยง
ดเจาะหรือขยายรอยต่อใหม่
1. ทั่วไป
3.1 จำาแนกตามความสำาคัญในการต้านทานแรง
การจำาแนกตามตำาแหน่ งของงงส่วนประกอบจำาแนกโดยพิจารณาว่าส่วนประกอบ
ู รงส่วนใดของอาคารปกติจำาแนกได้เป็ น 2 กลุ่มหลัก คือ ส่วนประกอบ
นั้น ๆ อย่ต
หรือโครงสร้างส่วนบน ( Super Structure ) ได้แก่ พื้น และคาน
และส่วนประกอบ หรือโครงสร้างส่วนล่าง ( Sub Structure ) ได้แก่
เสา และฐานราก ( ซึ่งหากมีเสาเข็มก็จะผนวกอยู่กับฐานราก) การจำาแนกเช่นนี้
เหมาะกับอาคาร หรือโครงสร้างจำาพวกสะพาน เสียมากกว่า เพราะในอาคาร
ทั่วไปบางครั้งที่ระดับเดียวกับฐานราก ก็มีคานอยู่ดว ้ ย หรือหมายความว่าคาน
เป็ นส่วนหนึ่ งของระบบฐานราก ดังกรณีอาคารที่มีช้น ั ใต้ดน
ิ หรืออาคารขนาดใหญ่
เป็ นต้น ซึ่งอาจทำาให้คนทั่วไปที่ไม่ใช่วิศวกรสับสนได้
3.3 จำาแนกตามระบบ หรือวิธีวิเคราะห์
รูปที่ 1 ตัวอย่างฐานแบบต่อเนื่ อง
4.2 ฐานเดี่ยว
ก. ฐานรากเดี่ยวแบบฐานแผ่
ข. ฐานรากเดี่ยววางบน
เสาเข็ม
รูปที่ 2 ตัวอย่างฐานเดี่ยว
4.3 ฐานร่วม
รูปที่ 3 ตัวอย่างฐานร่วม
4.4 ฐานตีนเป็ ด หรือฐานชิดเขต
รูปที่ 4 ตัวอย่างฐานรากตีนเป็ ด
4.4 ฐานแพ
ก. รับผนังค.ส.ล
ข. รับอาคารบางส่วน หรือทั้งหมด
รูปที่ 5 ตัวอย่างฐานรากแพ
5. เสาเข็ม
5.1 กลไกต้านทานแรง
5.1.2 แรงแบกทานที่ปลายเสาเข็ม
เสาเข็มอาจจำาแนกตามวิธีก่อสร้างได้ดง
ั นี้
7.1 นำ้าหนักบรรทุก
8.1 ระบบพื้นและตงไม้
รูปที่ 21 ตัวอย่างแผ่นพื้นกระทงทางเดียว
.1.6 แผ่นพื้นกระทงสองทาง ( Waffle slab )
เป็ นแผ่นพื้นสองทางที่มีขนาดใหญ่ มาก ๆ ดังนั้น ภายในแผ่นพื้น ( ภายในแผ่นพื้น
ซึ่งรองรับด้วยคานหลักที่เชื่อมยึดระหว่างหัวเสา) จึงแบ่งซอยเป็ นคานย่อย ๆ ทั้ง
สองทิศทาง จึงแลดูเสมือนประกอบด้วยแผ่นพื้นสองทางเล็ก ๆ หลายผืน แผ่นพื้น
ชนิ ดนี้ แม้จะใช้ได้กบ
ั อาคารที่มีช่วงระหว่างเสาห่างมาก ๆ แต่กก
็ ่อสร้างย่ง
ุ ยาก โดย
เฉพาะต้องเตรียมไม้แบบ ซับซ้อนตามรูปร่างของแผ่นพื้น และอาจมีปัญหายุ่งยาก
ในเรื่องวิศวกรรมระบบ เช่น การติดตั้งดวงโคมไฟฟ้ า การเดินสายไฟ หรือท่อนำ้า
ดับเพลิงเป็ นต้น รูปที่ 22 แสดงตัวอย่างแผ่นพื้นกระทงสองทาง
8.2 ระบบแผ่นพื้นกึ่งสำาเร็จ
ข. ยื่นสองด้านจากคานแม่บันได ค. ยื่นจากผนัง
10 . 1 หลังคาเรียบ
10 . 3 หลังคาที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อน
ตัวอย่างหลังคาที่มีโครงสร้างสลับซับซ้อนได้แก่ หลังคาคลุมอัฒจันทร์สนามกีฬา
อาคารสาธารณะขนาดใหญ่ ที่ตอ ้ งคลุมพื้นที่ใช้สอยมาก ๆ เน้นความสวยงาม ต้อง
คำานวณออกแบบ และการก่อสร้างอย่างพิถพ ี ิถนั ใช้ความชำานาญเป็ นพิเศษ ราคา
แพง จึงไม่เหมาะกับอาคารขนาดเล็ก หรือที่พักอาศัย
11 . ผนัง หรือกำาแพง
12 . 2 . 1 เข็มพืดไม้ใช้แผ่นไม้ตอกชิดติดต่อกันไป หรือใช้ไม้ท่ีมีรอ
่ ง และลิ้นตอก
ขัดกันต่อเนื่ องเป็ นแนว เข็มพืดไม้นิยมใช้กับงานที่มีการขุดดินไม่ลึก และงาน
โครงสร้างที่มีแรงดันดินกระทำาไม่มากนัก ปั จจุบันไม่คอ ่ ยนิ ยมใช้เพราะไม้ราคา
แพงขึ้น และผุกร่อนเสื่อมสลายได้
13 . สะพาน
โดยทั่วไปสะพานประกอบด้วยโครงสร้างหลัก 2 ส่วน คือโครงสร้างส่วนบน
( Super structure ) และโครงสร้างส่วนล่าง โครงสร้างส่วนบน
ประกอบด้วยระบบพื้น คาน สะพาน ( Slab or girder system )
ทางเท้า คานขอบ และราวสะพาน ส่วนโครงสร้างส่วนล่าง ประกอบด้วย คานขวาง
( Cross beam ) เสาตอม่อ ( Pier ) และฐานราก ฐานรากของสะพาน
อาจเป็ นฐานรากแผ่ ที่วางบนดินหรือหิน ( Spread footing ) หรือเป็ น
ฐานรากวางบนเสาเข็ม ( Pile footing ) เดิมสะพาน มักออกแบบให้
วางบนตอม่อที่มีลักษณะเป็ นแผงคล้ายกำาแพง ( Bearing wall ) ต่อมา
นิ ยมใช้ตอม่อที่เรียงเป็ นตับ หรือแถว โดยมีแกงแนง ( Bracer ) ยึดเป็ นระยะ
ๆ ( กรณีท่ีตอม่อสูงมาก) อย่างไรก็ตามทั้ง 2 กรณี จะนิ ยมก่อสร้างบนฐานราก
ร่วม หรือ
โดยทั่วไปสะพานประกอบด้วยโครงสร้างหลัก 2 ส่วน คือโครงสร้างส่วนบน
( Super structure ) และโครงสร้างส่วนล่าง โครงสร้างส่วนบน
ประกอบด้วยระบบพื้น คาน สะพาน ( Slab or girder system )
ทางเท้า คานขอบ และราวสะพาน ส่วนโครงสร้างส่วนล่าง ประกอบด้วย คานขวาง
( Cross beam ) เสาตอม่อ ( Pier ) และฐานราก ฐานรากของสะพาน
อาจเป็ นฐานรากแผ่ ที่วางบนดินหรือหิน ( Spread footing ) หรือเป็ น
ฐานรากวางบนเสาเข็ม ( Pile footing ) เดิมสะพาน มักออกแบบให้
วางบนตอม่อที่มีลก ั ษณะเป็ นแผงคล้ายกำาแพง ( Bearing wall ) ต่อมา
นิ ยมใช้ตอม่อที่เรียงเป็ นตับ หรือแถว โดยมีแกงแนง ( Bracer ) ยึดเป็ นระยะ
ๆ ( กรณีท่ีตอม่อสูงมาก) อย่างไรก็ตามทั้ง 2 กรณี จะนิ ยมก่อสร้างบนฐานราก
ร่วม หรือฐานรากแพ ( Combined or mat footing ) ในยุค
ปั จจุบันตอม่อสะพานมีลักษณะเป็ นโครงข้อแข็งที่ประกอบด้วย 2 เสา หรือแม้
กระทั่งตอม่อเดี่ยว สะพานตอม่อเดี่ยวคำานวณออกแบบง่าย และปราศจากปั ญหา
การทรุดตัวต่างระดับ ดังเช่นในกรณีของตอม่อคู่
คานขวางของสะพานอาจเป็ นคานคอนกรีตเสริมเหล็ก หรือคานคอนกรีตอัดแรง
ก็ได้ ขึ้นอยู่กับหลายปั จจัย เช่น งบประมาณ นำ้าหนักหรือแรง วิธีกอ
่ สร้าง และอื่น ๆ
บนคานขวางจะมีแท่น ( Plinth ) วางแผ่นยาง ( Elastomeric
bearing or elastomer ) รองรับโครงสร้างส่วนบน
ปกติจะจำาแนกประเภทของสะพานตามลักษณะของโครงสร้างส่วนบน สะพานที่ใช้
ระบบแผ่นพื้นทางเดี่ยว ( Slab type ) คำานวณออกแบบง่าย ก่อสร้าง
สะดวก เพราะท้องแบบเรียบ แต่มีข้อจำากัดที่ใช้ได้กับช่วงความยาวที่จำากัด เช่นไม่
เกิน 10 เมตร หากช่วงยาวกว่านี้ จะไม่ประหยัดเนื่ องจากนำ้าหนักส่วนใหญ่ จะเป็ น
นำ้าหนักคงที่ของพื้นสะพานที่เพิ่มขึ้นนั้นเอง ดังนั้นหากสะพานยาวมากก็จะต้องจัด
ให้มีหลาย ๆ ช่วง โดยความยาวแต่ละช่องอาจแตกต่างกัน ( Unbalanced
span ) ทั้งนี้เนื่ องจากจะต้องคำานึงถึงช่องเปิ ดของทางนำ้า การสัญจรทางนำ้า หรือ
อุปสรรคในการก่อสร้าง อาทิเช่น สะพานยาว 20 เมตรหากเลือกใช้ความยาวช่อง
ละ เมตร ( = เมตร) จะปรากฏเสาตอม่อที่กลางนำ้า หากจัดให้เป็ น ช่วงเช่น
= เมตร ก็จะหลีกเลี่ยงเสาตอม่อ กลางนำ้าได้ แม้จะมีเสาตอม่อเพิ่มขึ้นกว่ากรณี
แรก แต่ก่อสร้างสะดวกกว่า รวมแล้วอาจประหยัดกว่า หรือราคาพอ ๆ กัน
สะพานระบบแผ่นพื้นทางเดี่ยว หากมีทางเท้า ( สองข้างหรือข้างเดียว) ปกติ
ทางเท้าจะยกสูงกว่าระดับพื้นสะพาน และจะมีคานขอบ ( Edge beam ) เพื่อ
รับทางเท้าหรือต้านการบิด ดังนั้นในการคำานวณออกแบบอาจผนวกเอาขอบนี้ เป็ น
ส่วนหนึ่ งของแผ่นพื้น ทำาให้แผ่นพื้นมีความแข็งแกร่งมากขึ้นเรียกแผ่นพื้นทางเดียว
ชนิ ดขอบแข็ง ( Rigid edge ) อย่างไรก็ตามแผ่นพื้นระบบนี้ แม้จะทำาให้
การคำานวณออกแบบประหยัดกว่าระบบแผ่นพื้นทางเดียวปกติ แต่มีขอ ้ ยุ่งยากหาก
จะต้องขยายช่องทางวิ่งของสะพาน จึงควรระมัดระวัง
ช่วงสะพานที่ยาวขึ้นหากยังใช้ระบบคอนกรีตเสริมเหล็ก อาจเพิ่มความแข็งแกร่ง
ของแผ่นพื้นโดยทำาคล้ายเป็ นระบบพื้นกระทงทางเดียว ( One - way
girder ) เช่นใช้ระบบพื้นคานรูปตัวทีชน หรือเชื่อมต่อกันจะเป็ นเสมือนแผ่น
พื้น แต่กอ่ สร้างยุ่งยากขึน
้ เพราะต้องใช้ไม้แบบในการหล่อปี กคานอีกระบบหนึ่ งใช้
แผ่นพื้นกลวง หรือคานรูปกล่องกลวง ( Box - girder ) รูปกล่องกลวงทำาให้
นำ้าหนักคงที่ของสะพานเบาลง เมื่อนำามาเรียงชิดติดกันส่วนท้องพื้น และหลังคาน
รูปกล่องกลวงเรียบเป็ นเสมือนแบบที่จะหล่อ แผ่นพื้นสะพานผนวกเข้ากับคาน
สะพานเหล่านี้ แผ่นพื้น หรือคานรูปกล่องกลวงปกติใช้ระบบคอนกรีตอัดแรง และ
มักผลิตสำาเร็จรูปจากโรงงาน ดังนั้นหากการขนย้ายสะดวกก็จะทำาให้การก่อสร้าง
สะดวกรวดเร็ว คานรูปกล่องกลวงที่มีความลึกปกติ เช่น - เมตรโดยประมาณ จะ
ใช้ได้กบ
ั ช่วงความยาวที่จำากัด เช่นไม่เกิน - เมตร หากจะใช้รูปตัดขนาดใหญ่ขึ้น
เช่นมีความลึกมากขึ้นก็จะมีปัญหาหรือข้อยุ่งยากในการ
คำานวณออกแบบ การควบคุมคุณภาพ การขนย้าย หรือขนส่ง อีกทั้งนำ้าหนัก
เพิ่มมากขึ้น คานรูปกล่องขนาดใหญ่จึงเหมาะสำาหรับใช้เฉพาะกับงานขนาด
ใหญ่ เช่นทางแยกต่างระดับ หรือทางยกระดับ
คานสะพานคอนกรีตอัดแรงรูปตัวที หรือตัวไอ สามารถคำานวณออกแบบและ
ผลิตให้ใช้กับช่วงสะพานยาว ๆ ได้ เดิมสะพานคอนกรีตอัดแรงเหล่านี้ มีท้ังระบบ
Pre - tensioned และ Post - tensioned ปั จจุบันหากผลิต
จากโรงงานมักเป็ นแบบ Post - tensioned ( แต่ละช่วงอาจยาวถึง
40 เมตรขึ้น หรือกว่านั้น) และแม้กระทั่งหากมีอุปสรรคในการขนย้าย หรือ
ขนส่งก็อาจหล่อเป็ นท่อน แล้วไปประกอบยึดต่อกันภายหลังได้ สะพานเหล็ก ทั้ง
ระบบคานสะพาน ( Steel girder ) หรือระบบโครงถัก ( Steel
truss ) ปั จจุบันไม่นิยมก่อสร้างประกอบทาง อาจเนื่องด้วยมีราคาแพง
บำารุงรักษาลำาบาก หรือต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง ดังนั้นสำาหรับงานทางในปั จจุบัน
สะพานเหล็กจึงใช้เป็ นเพียงสะพานทางเบี่ยง หรือสะพานชั่วคราวเท่านั้น
สะพานระบบที่มีความย่ง ุ ยากซับซ้อนขึ้น เช่นสะพานขึง หรือสะพานแขวน ก็ไม่
เหมาะสำาหรับงานทาง โดยเฉพาะในประเทศไทย ซึ่งพื้นที่ส่วนใหญ่เป็ นที่ราบ
แม้มีพ้ ืนที่สูงชัน เนิ นเขา หรือหุบเขา หรือสะพานระหว่างแผ่นดินใหญ่กบั เกาะ
ต่าง ๆ ก็ยังอยู่ในวิสัยที่จะก่อสร้างสะพานระบบเสาตอม่อได้
แกร่ง ( Light - Weight but High Compressive St
ตมวลเบา Q - CON มีความหนาแน่ นแห้งเพียง 500 กก./ ลบ. ม. จึงมีน้ ำาหนักเบา
3 เท่า และเบากว่าคอนกรีต 4 - 5 เท่า ในการคำานวณโครงสร้างอาคาร สามารถลด
งอาคาร จากกรณีอิฐมอญ 180 กก./ ตร. ม. เหลือเพียงครึง ่ หนึ่ งหรือ 90 กก./ ตร. ม.
นลงทุนจากการลดขนาดโครงสร้างอาคารตั้งแต่ คาน เสา ฐานราก และเสาเข็ม
มารถรับแรงอัดได้สูงถึง 30 - 80 ksc . กล่าวคือ Q - CON Block ขนาด 20x60
นักได้สูงถึง 20 ตันขึ้นไป จึงสามารถนำาไปใช้งานได้ ทั้งกรณีผนังไม่รับนำ้าหนัก
นัก ( Load Bearing Wall ) อีกทั้งมีขนาดใหญ่ท่ีเหมาะสมสะดวกในการขนส่ง
ารก่อสร้าง โดยเฉพาะกรณีอาคารสูง และลดการแตกหักเสียหาย
มิติเที่ยงตรง แน่ นอน ( Accurate )
ฟองอากาศขนาดเล็กที่กระจายอย่ท
ู ่ัวไปอย่างสมำ่าเสมอในเนื้ อคอนกรีตมวลเบา
ก่อให้เกิดความเป็ นฉนวนกันความร้อนที่ดีเยี่ยม อันจะทำาให้ความร้อนจากภายนอกผ่านเข้าสู่
ภายในอาคารได้นอ ้ ยกว่าผนังอิฐมอญ หรือคอนกรีต 4-8 เท่า และไม่เก็บสะสมความร้อนไว้
ในตัวเองผิวผนังภายในไม่ร้อน ทำาให้ภายในเย็นสบายกว่า กรณีตด
ิ เครื่องปรับอากาศจะลดการ
ทำางานของ คอมเพรชเซอร์ จึงสามารถลดขนาดเครื่องปรับอากาศลงได้ และจากการทดสอบ
โดยมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า ธนบุรี สามารถประหยัดเงินค่าไฟฟ้ าลงได้ถึง 25%
กันเสียง และดูดซับเสียงได้ดี ( Good Acoustical Insulation
ผนังคอนกรีตมวลเบา Q -
หรือเสีช่ยวงสนทนากั
CON ยลดทอนความดั นในห้องงไม่ของให้ผ่านไปยังอีกห้องได้ อีก
เสี ยงที่ผ่านเนื
ประการหนึ ่ ง ้ ผนั
อวัสงดุ จากการ
ทดสอบผนั
คอนกรีตมวลเบางที่ความหนา ซม.
Q - CON10สามารถดู ดซับเสียงได้ดี จึง
ฉาบปู
เหมาะกั นบ ด้าน 8่ไม่มม
2อาคารที ให้.มีเจะมี ค่าองสะท้อน เช่น ห้องประชุม
สียงก้
อั ตราการป้ องกัเป็
โรงภาพยนตร์ นเสีนต้ยน
ง STC
( Sound Transmission
Class - Rating ) = 43 เดซิ
เบล หมายความว่าผนังคอนกรีต
มวลเบา Q - CON ช่วยป้ องกันเสียง
เครื่องยนต์
ละกันไฟได้นานกว่า 4 ชม. ( Ideal Protection Against